เอเอฟพี – บรรดาผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ระบุ อินเดียกลายเป็นมหาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจซึ่งไม่อาจฉุดรั้งได้ และอาจรับบทบาทเป็นตัวถ่วงดุลอำนาจกับจีน
กามาล นาฐ รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมของอินเดียกล่าวระหว่างการประชุมที่จัดขึ้นโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อินเดียเมื่อวันพุธ (1) ว่า “พวกเราไม่ได้หารือกันเรื่อง อนาคตของอินเดีย แต่พวกเราพูดถึง อินเดียคืออนาคต”
เขาคาดการณ์ว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า อินเดียจะมีสัดส่วนผู้อ่านออกเขียนได้ 100% และจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีพื้นฐานเดียวกับของสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังสามารถแก้ปัญหาเรื่องแคว้นแคชเมียร์กับปากีสถานได้ด้วย
การประชุมดังกล่าวซึ่งเป็นการประชุมเพียง 1 วันในกรุงวอชิงตันเพื่อประเมินความสัมพันธ์ของสหรัฐฯและอินเดียในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 30 ปีข้างหน้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ
นาฐระบุว่า อินเดียเป็นนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพมาก พร้อมเสริมว่า ยอดการลงทุนของอินเดียในอังกฤษสูงกว่ายอดการลงทุนของอังกฤษในอินเดีย และการลงทุนของอินเดียในออสเตรเลียก็สูงกว่าการลงทุนของออสเตรเลียในอินเดียด้วย
เขากล่าวต่อว่า “หรือแม้กระทั่งจีน ซึ่งยอดการค้ากับอินเดียในทศวรรษที่ผ่านมามีเพียง 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ตอนนี้อยู่ที่กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน”
นอกจากนี้ นาฐเชื่อว่า ภายในปี 2035 อินเดียจะมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีสำหรับประชาชน อย่างน้อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานการดำรงชีวิตของประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน
ทั้งนี้เขาระบุว่า จะไม่เปรียบเทียบอินเดียกับจีน เพราะการเปรียบเทียบดังกล่าวเป็นเรื่องที่ “ไม่ยุติธรรม” ทว่าเขาอ้างคำกล่าวของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งแดนปลาดิบว่า การลงทุนของญี่ปุ่นในจีนปรับตัวลดลง
เขาอ้างคำกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าไปลงทุนในจีน แต่เป็นเรื่องยากที่จะคงอยู่ในตลาดแดนมังกร ขณะที่เป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปลงทุนในอินเดีย แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะอยู่ในตลาดอินเดีย”
เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวว่า อินเดียซึ่งมีคลังแสงสรรพาวุธนิวเคลียร์และทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก “จะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจ” แต่จะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความมุ่งหมายของสหรัฐฯเพื่อเป็นตัวถ่วงดุลกับจีน พร้อมระบุว่า จะมี “ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น”ระหว่างอินเดียและสหรัฐฯตลอดช่วงทศวรรษหน้านี้ โดยจะกลายเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์” ของอินเดีย
กระนั้นก็ดี เขาปฏิเสธคำกล่าวที่ว่า สหรัฐฯจะใช้อินเดียเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจของแดนมังกร ซึ่งอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองที่เพิ่มขึ้นกระตุ้นให้เกิดความกังวลจากหลายฝ่ายในรัฐบาลแดนอินทรี
ทว่าแอชเลย์ เทลลิส จากคาร์เนกี้ เอ็นดาวเมนต์ ฟอร์ อินเตอร์เนชันแนล พีซ กล่าวว่า การรักษาสมดุลของอำนาจในเอเชียผ่านประเทศที่ล้อมรอบจีนเป็น “ผลประโยชน์ด้านความมั่นคงที่สำคัญของสหรัฐฯ” โดยจะช่วยให้จีนมีอิทธิพลมากขึ้นในระยะยาว
ด้านรากูราม ราชัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า การผุดขึ้นของอินเดียในฐานะที่เป็นประเทศมหาอำนาจจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการสร้างงานสำหรับคนหนุ่มสาวของแดนภารตะ ซึ่ง 1 ใน 4 ของประชากรมีอายุต่ำกว่า 25 ปี ตลอดจนสามารถแก้ปัญหาโครงสร้างปัจจัยพื้นฐานและความไม่เท่าเทียมกันในประเทศ
กามาล นาฐ รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมของอินเดียกล่าวระหว่างการประชุมที่จัดขึ้นโดยสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อินเดียเมื่อวันพุธ (1) ว่า “พวกเราไม่ได้หารือกันเรื่อง อนาคตของอินเดีย แต่พวกเราพูดถึง อินเดียคืออนาคต”
เขาคาดการณ์ว่า ในอีก 30 ปีข้างหน้า อินเดียจะมีสัดส่วนผู้อ่านออกเขียนได้ 100% และจะกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยมีพื้นฐานเดียวกับของสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังสามารถแก้ปัญหาเรื่องแคว้นแคชเมียร์กับปากีสถานได้ด้วย
การประชุมดังกล่าวซึ่งเป็นการประชุมเพียง 1 วันในกรุงวอชิงตันเพื่อประเมินความสัมพันธ์ของสหรัฐฯและอินเดียในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 30 ปีข้างหน้าระหว่างอินเดียและสหรัฐฯ
นาฐระบุว่า อินเดียเป็นนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพมาก พร้อมเสริมว่า ยอดการลงทุนของอินเดียในอังกฤษสูงกว่ายอดการลงทุนของอังกฤษในอินเดีย และการลงทุนของอินเดียในออสเตรเลียก็สูงกว่าการลงทุนของออสเตรเลียในอินเดียด้วย
เขากล่าวต่อว่า “หรือแม้กระทั่งจีน ซึ่งยอดการค้ากับอินเดียในทศวรรษที่ผ่านมามีเพียง 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี แต่ตอนนี้อยู่ที่กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน”
นอกจากนี้ นาฐเชื่อว่า ภายในปี 2035 อินเดียจะมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่ดีสำหรับประชาชน อย่างน้อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานการดำรงชีวิตของประเทศที่พัฒนาแล้วในปัจจุบัน
ทั้งนี้เขาระบุว่า จะไม่เปรียบเทียบอินเดียกับจีน เพราะการเปรียบเทียบดังกล่าวเป็นเรื่องที่ “ไม่ยุติธรรม” ทว่าเขาอ้างคำกล่าวของผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งแดนปลาดิบว่า การลงทุนของญี่ปุ่นในจีนปรับตัวลดลง
เขาอ้างคำกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าไปลงทุนในจีน แต่เป็นเรื่องยากที่จะคงอยู่ในตลาดแดนมังกร ขณะที่เป็นเรื่องยากที่จะเข้าไปลงทุนในอินเดีย แต่เป็นเรื่องง่ายที่จะอยู่ในตลาดอินเดีย”
เฮนรี คิสซิงเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯกล่าวว่า อินเดียซึ่งมีคลังแสงสรรพาวุธนิวเคลียร์และทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก “จะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจ” แต่จะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความมุ่งหมายของสหรัฐฯเพื่อเป็นตัวถ่วงดุลกับจีน พร้อมระบุว่า จะมี “ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดเพิ่มมากขึ้น”ระหว่างอินเดียและสหรัฐฯตลอดช่วงทศวรรษหน้านี้ โดยจะกลายเป็น “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์” ของอินเดีย
กระนั้นก็ดี เขาปฏิเสธคำกล่าวที่ว่า สหรัฐฯจะใช้อินเดียเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจของแดนมังกร ซึ่งอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองที่เพิ่มขึ้นกระตุ้นให้เกิดความกังวลจากหลายฝ่ายในรัฐบาลแดนอินทรี
ทว่าแอชเลย์ เทลลิส จากคาร์เนกี้ เอ็นดาวเมนต์ ฟอร์ อินเตอร์เนชันแนล พีซ กล่าวว่า การรักษาสมดุลของอำนาจในเอเชียผ่านประเทศที่ล้อมรอบจีนเป็น “ผลประโยชน์ด้านความมั่นคงที่สำคัญของสหรัฐฯ” โดยจะช่วยให้จีนมีอิทธิพลมากขึ้นในระยะยาว
ด้านรากูราม ราชัน หัวหน้าฝ่ายวิจัยของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวว่า การผุดขึ้นของอินเดียในฐานะที่เป็นประเทศมหาอำนาจจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการสร้างงานสำหรับคนหนุ่มสาวของแดนภารตะ ซึ่ง 1 ใน 4 ของประชากรมีอายุต่ำกว่า 25 ปี ตลอดจนสามารถแก้ปัญหาโครงสร้างปัจจัยพื้นฐานและความไม่เท่าเทียมกันในประเทศ