เอเอฟพี – อีซีบีชี้ ความไร้สมดุลของดุลบัญชีเดินสะพัดทั่วโลก เป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพตลาดการเงิน พร้อมระบุ การประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไปผลักดันให้ราคาตราสารหนี้สูงเกินจริง
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (31 พ.ค.) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เปิดเผยในรายงานไฟแนนเชียล สตาบิลิตี้ รีวิว ฉบับล่าสุดว่า “ความไร้สมดุลทางการเงินในวงกว้างที่กำลังขยายตัวมากขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงระยะกลางต่อเสถียรภาพของตลาดเงินตราต่างประเทศและตลาดการเงินอื่นๆอย่างต่อเนื่อง”
อีซีบีกล่าวว่า ยังคงมีความเป็นไปได้เกี่ยวกับการปรับตัวอย่างไร้ระเบียบของยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสหรัฐฯ และยอดเกินดุลในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความไร้สมดุลเหล่านี้อาจเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ อีซีบียังระบุว่า แนวโน้มที่สหรัฐฯ จะจ่ายเงินจำนวนมหาศาลไปกับการนำเข้าสินค้า และการคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะยังคงเติบโตแข็งแกร่งล้ำหน้าประเทศอื่นใดในโลกในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านั้น ต่างบ่งชี้ถึงการขยายตัวในวงกว้างของความไร้สมดุลโลก
ทั้งนี้ธนาคารกลางในเอเชีย ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังคงเต็มใจให้เงินหล่อเลี้ยงการขาดดุลของสหรัฐฯ แต่หากธนาคารเหล่านี้สูญเสียความต้องการสินทรัพย์สหรัฐฯ ก็อาจทำให้เกิดการปรับตัวอย่างไร้ระเบียบขึ้นได้
“ความกังวลเหล่านี้อาจเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ในการปรับสมดุลอย่างไร้ระเบียบอีกครั้งซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการปรับบัญชีเงินทุน และความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างแรง ควบคู่กับการทะยานขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว”
อีซีบีเน้นย้ำว่า ความไร้สมดุลโลก รวมถึงราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและมีความผันผวน ตลอดจนการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแอ สะท้อนถึงความเสี่ยงต่อแนวโน้มการเติบโตของยูโรโซน (ประเทศที่ใช้เงินยูโร) พร้อมเสริมว่า การประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไปผลักดันให้ราคาตราสารหนี้และสินทรัพย์บางประเภทมีมูลค่าสูงเกินจริง
กล่าวคือ ความเข้าใจว่าความเสี่ยงในตลาดการเงินมีอยู่ในระดับต่ำนั้น ทำให้บรรดานักลงทุนเต็มใจที่จะถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง จนนำไปสู่ “การไล่ล่าผลตอบแทน” ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
และเมื่อไม่นานมานี้ความเข้าใจลักษณะดังกล่าวได้แพร่ขยายจากตลาดตราสารหนี้ไปยังตลาดสินทรัพย์อื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นที่มีมูลค่าจดทะเบียนขนาดเล็กและขนาดกลาง อีกทั้งยังเป็นตัวเร่งการขยายตัวของเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี การปรับตัวของการเพิ่มขึ้นของราคาเหล่านี้ยังมีความเป็นไปได้ในอนาคต โดยระบุว่า “การประเมินความเสี่ยงครั้งใหม่ ซึ่งรวมถึงปรับพลวัตในตลาดยูโรโซนนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต”
อีซีบีเพิ่มเติมว่า ภาคการธนาคารได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนตราสารหนี้เป็นพิเศษ โดยระบุว่า “สถาบันการเงินในแถบยูโรโซนบางแห่ง รวมถึงธนาคารต่างๆ อาจต้องอดทนต่อภาวะขาดทุนอย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงสั้นๆ จากแนวโน้มขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาว”
กระนั้นก็ดี แม้ศักยภาพการทำกำไรของภาคการธนาคารโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ทว่าภาคธุรกิจนี้ในแถบยูโรโซนอาจยังคงมีความเปราะบางอยู่ และดีมานด์ภายในประเทศที่เบาบางอาจทำให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางมีความเสี่ยงต่อปัญหาดังกล่าวได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้เป็นเครื่องทดสอบได้ดีถึงความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินของบรรดาบริษัทขนาดเล็ก
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (31 พ.ค.) ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) เปิดเผยในรายงานไฟแนนเชียล สตาบิลิตี้ รีวิว ฉบับล่าสุดว่า “ความไร้สมดุลทางการเงินในวงกว้างที่กำลังขยายตัวมากขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงระยะกลางต่อเสถียรภาพของตลาดเงินตราต่างประเทศและตลาดการเงินอื่นๆอย่างต่อเนื่อง”
อีซีบีกล่าวว่า ยังคงมีความเป็นไปได้เกี่ยวกับการปรับตัวอย่างไร้ระเบียบของยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสหรัฐฯ และยอดเกินดุลในเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความไร้สมดุลเหล่านี้อาจเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ อีซีบียังระบุว่า แนวโน้มที่สหรัฐฯ จะจ่ายเงินจำนวนมหาศาลไปกับการนำเข้าสินค้า และการคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งจะยังคงเติบโตแข็งแกร่งล้ำหน้าประเทศอื่นใดในโลกในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้านั้น ต่างบ่งชี้ถึงการขยายตัวในวงกว้างของความไร้สมดุลโลก
ทั้งนี้ธนาคารกลางในเอเชีย ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังคงเต็มใจให้เงินหล่อเลี้ยงการขาดดุลของสหรัฐฯ แต่หากธนาคารเหล่านี้สูญเสียความต้องการสินทรัพย์สหรัฐฯ ก็อาจทำให้เกิดการปรับตัวอย่างไร้ระเบียบขึ้นได้
“ความกังวลเหล่านี้อาจเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ในการปรับสมดุลอย่างไร้ระเบียบอีกครั้งซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการปรับบัญชีเงินทุน และความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างแรง ควบคู่กับการทะยานขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาว”
อีซีบีเน้นย้ำว่า ความไร้สมดุลโลก รวมถึงราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและมีความผันผวน ตลอดจนการบริโภคภาคเอกชนที่อ่อนแอ สะท้อนถึงความเสี่ยงต่อแนวโน้มการเติบโตของยูโรโซน (ประเทศที่ใช้เงินยูโร) พร้อมเสริมว่า การประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไปผลักดันให้ราคาตราสารหนี้และสินทรัพย์บางประเภทมีมูลค่าสูงเกินจริง
กล่าวคือ ความเข้าใจว่าความเสี่ยงในตลาดการเงินมีอยู่ในระดับต่ำนั้น ทำให้บรรดานักลงทุนเต็มใจที่จะถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง จนนำไปสู่ “การไล่ล่าผลตอบแทน” ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
และเมื่อไม่นานมานี้ความเข้าใจลักษณะดังกล่าวได้แพร่ขยายจากตลาดตราสารหนี้ไปยังตลาดสินทรัพย์อื่นๆ รวมถึงตลาดหุ้นที่มีมูลค่าจดทะเบียนขนาดเล็กและขนาดกลาง อีกทั้งยังเป็นตัวเร่งการขยายตัวของเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี การปรับตัวของการเพิ่มขึ้นของราคาเหล่านี้ยังมีความเป็นไปได้ในอนาคต โดยระบุว่า “การประเมินความเสี่ยงครั้งใหม่ ซึ่งรวมถึงปรับพลวัตในตลาดยูโรโซนนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในอนาคต”
อีซีบีเพิ่มเติมว่า ภาคการธนาคารได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของผลตอบแทนตราสารหนี้เป็นพิเศษ โดยระบุว่า “สถาบันการเงินในแถบยูโรโซนบางแห่ง รวมถึงธนาคารต่างๆ อาจต้องอดทนต่อภาวะขาดทุนอย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงสั้นๆ จากแนวโน้มขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยระยะยาว”
กระนั้นก็ดี แม้ศักยภาพการทำกำไรของภาคการธนาคารโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ทว่าภาคธุรกิจนี้ในแถบยูโรโซนอาจยังคงมีความเปราะบางอยู่ และดีมานด์ภายในประเทศที่เบาบางอาจทำให้บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางมีความเสี่ยงต่อปัญหาดังกล่าวได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้เป็นเครื่องทดสอบได้ดีถึงความแข็งแกร่งของสถานะทางการเงินของบรรดาบริษัทขนาดเล็ก