xs
xsm
sm
md
lg

ทำงานใหญ่ต้องมีความกล้าหาญ

เผยแพร่:   โดย: ลิขิต ธีรเวคิน

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำทางการเมืองที่ถึงขั้นรัฐบุรุษ เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ดี เซอร์วิลตัน เชอร์ชิลก็ดี ดร.ซุนยัดเซ็นก็ดี ฯลฯ ล้วนแล้วแต่จะต้องมีความกล้าหาญในการฝ่าฟันอุปสรรค ไม่เกรงกลัวต่อความยากลำบาก พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับผลที่ตามมาในทุกรูปแบบ ขณะเดียวกันความกล้าหาญที่กล่าวมาเบื้องต้นจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จ และการเข้าใจสถานการณ์อย่างแท้จริง

บุคคลที่ความกล้าหาญคือบุคคลที่ไม่เกรงกลัวต่ออุปสรรค ต่อความยากลำบาก พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆ ด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ ที่สำคัญที่สุดคือความกล้าหาญที่จะเผชิญกับโอกาสของความล้มเหลวและความผิดพลาด ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญ ใครก็ตามที่ไม่กล้าเผชิญกับความผิดพลาดหรือความล้มเหลว คนนั้นจะไม่กล้าทำงานใหญ่ได้ เพราะในเบื้องต้นกลายเป็นผู้แพ้ศึกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เริ่มมีการรบ

แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ ความกล้าหาญแตกต่างจากความกล้าบ้าบิ่น ในความเป็นจริงความกล้าอย่างบ้าบิ่นคือความขี้ขลาด จึงแสดงออกถึงความกล้าอย่างบ้าบิ่นเพื่อปกปิดปมด้อย

คนที่มีความกล้าหาญที่จะทำงานใหญ่โตได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ

ก)ต้องเข้าใจสถานการณ์ที่จะเข้าไปต่อสู้เพื่อเอาชนะ ถึงแม้จะไม่เข้าใจได้ทั้งหมดแต่ต้องมีข้อมูลมากพอว่าอยู่ในวิสัยที่จะสามารถบรรลุความสำเร็จได้ ตัวอย่างเช่น คนที่คิดจะทำการลงทุนธุรกิจบางอย่าง ต้องมองเห็นโอกาสของความสำเร็จของธุรกิจนั้นๆ โดยไม่คิดฝันกลางวันหรือมองโลกในแง่ดีเกินไป มีความเป็นไปได้ของการหาเงินกู้ ขณะเดียวกันมีความรู้ความสามารถที่จะจัดการเพื่อความเจริญเติบโตของธุรกิจนั้น ด้วยเหตุนี้ ในการลงทุนจึงต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ มีการสำรวจตลาด มีการคิดคาดคะเนถึงการเสี่ยงที่มีการคำนวณเรียบร้อยแล้วว่าโอกาสของความเป็นไปได้มีสูง

ตัวอย่างเช่น ถ้าคนที่มีความกล้าหาญต้องการบุกเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง โดยในมือมีอาวุธปืน หรือดาบ หรือหอก หรือธนู และมีแสงไฟที่จะส่องให้เห็นเป็นระยะทางพอสมควรว่ามีสัตว์ร้ายอะไรอยู่ในถ้ำบ้าง และหนทางที่เดินนั้นมีหลุม มีเหว มีบ่อ มีโขดหิน ที่สามารถจะเดินได้อย่างสะดวกได้มากน้อยเพียงใด โอกาสที่จะได้รับความเพลี่ยงพล้ำจนถึงแก่ชีวิตมีมากน้อยเพียงใด ซึ่งหมายความว่ายังมีความเสี่ยงอยู่แต่ก็มีความกล้าที่จะบุกเข้าไปสำรวจในถ้ำ ซึ่งหลายคนอาจจะไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าถ้ำนั้นเลย นี่คือความกล้าหาญที่ผู้กล้าเข้าใจสถานการณ์ดีพอสมควร แต่ถ้าถ้ำนั้นมืดมิดสนิทมีแสงเพียงสลัวพอเห็นอะไรได้รางๆ ก็ยังมีการฝืนที่จะบุกเข้าไปสำรวจ นั่นไม่ใช่ความกล้าหาญ แต่เป็นความกล้าอย่างบ้าบิ่นและโง่เขลา

ข)คนที่จะกล้าทำงานใหญ่ไม่ว่าจะเป็นงานทางการเมือง การประกอบธุรกิจ การทำสงคราม หรืองานอื่นใดก็ตาม จะต้องเข้าใจศักยภาพของตนเอง หรือขององค์กรของตนว่ามีสมรรถนะมากน้อยเพียงใด นั่นคือการเข้าใจจุดแข็งของตนและขององค์กร ขณะเดียวกันจะต้องตระหนักถึงข้อจำกัดหรือจุดอ่อนของตนเองและขององค์กร ว่ามีมากน้อยเพียงใด และเมื่อนำเอาทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนมาชั่งน้ำหนักดูแล้วเพื่อเทียบกับภารกิจหรืองาน หรืออุปสรรค ที่จะต้องต่อสู้ก็ต้องวิเคราะห์และคำนวณอย่างวัตถุวิสัยว่าโอกาสของความสำเร็จมีมากน้อยเพียงใด ถ้าโอกาสของความสำเร็จมีครึ่งต่อครึ่งก็อาจจะใช้ความกล้าหาญบากบั่นจนทำให้บรรลุความสำเร็จได้ แม้โอกาสของความล้มเหลวจะเป็นไปได้พอๆ กับความสำเร็จก็ตาม แต่ถ้าโอกาสของความสำเร็จมีเพียง 30 ใน 100 ก็ยังพยายามดันทุรัง ความเสี่ยงย่อมมีสูง และหมิ่นเหม่ที่จะกลายเป็นมีความกล้าแบบบ้าบิ่น

ค)ความกล้าหาญที่ต้องให้น้ำหนักมากที่สุดก็คือ ความกล้าหาญที่จะรับผิดชอบต่อภารกิจที่ได้รับมอบหมาย รวมตลอดทั้งการจรรโลงไว้ซึ่งความถูกต้อง ความยุติธรรม และจริยธรรม ตัวอย่างที่เห็นได้ก็คือ บุคคลที่เป็นผู้นำทางการเมืองจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความกล้าหาญโดยการมีความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับอาณัติจากประชาชน ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในลักษณะของบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต รักษาคำพูดและคำมั่นสัญญา พ่อแม่ที่มีครอบครัวจะต้องมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับอุปสรรคในการทำมาหากินเพื่อดูแลครอบครัวให้มีความสุข อบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้เป็นคนดีของสังคมและประเทศชาติ จนสามารถประกอบอาชีพเป็นฝั่งเป็นฝา และเป็นพลเมืองดีของสังคมได้ ครูบาอาจารย์ แพทย์ พยาบาล นักบวช นักพรต ฯลฯ ที่ประกอบภารกิจอย่างกล้าหาญ ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพของตน คือบุคคลที่มีความกล้าหาญที่น่ายกย่อง กลับกัน บุคคลที่ส่งเสียงดัง ใช้อาวุธทำร้ายผู้อื่น ยกพวกทำร้ายซึ่งกันและกัน ขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความรวดเร็วโดยไม่คำนึงถึงผลลบที่จะเกิดต่อชีวิตและร่างกายของตนเองและของผู้อื่น ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นความกล้าหาญที่จอมปลอม ในส่วนลึกๆ คือบุคคลที่ขี้ขลาดไม่กล้ารับผิดชอบต่อสังคม ความกล้าหาญแบบบ้าบิ่น เช่น การยกพวกทำร้ายกันนั้นเป็นความบ้าคลั่งและขี้ขลาดตาขาว ไร้สติและสิ้นคิด บุคคลเหล่านี้ไม่ใช่คนกล้าหาญ บุคคลเหล่านี้ไร้ประโยชน์ต่อสังคม เป็นสวะของสังคมที่ต้องกำจัดให้หมดสิ้นไป

ในการวัดความกล้าหาญและกล้าเสี่ยงนั้น ได้มีการศึกษาโดยนักวิชาการเกี่ยวกับความกล้าหาญและกล้าเสี่ยง โดยกล้าหาญอย่างมีเหตุผล กับความกล้าหาญอย่างบ้าบิ่น ด้วยการให้ทอยเหล็กรูปเกือกม้าไปยังเสาหลักที่ฝังอยู่ไกลออกไปช่วงระยะๆ หนึ่ง (เช่นอาจจะ 30 เมตร) จากนั้นก็ให้ผู้ที่จะทำการทดลองขว้างเหล็กรูปเกือกม้าโดยส่งเหล็กให้ 10 ชิ้น คนกลุ่มหนึ่งจะยืนระยะที่พอดิบพอดีแล้วขว้างเหล็กรูปเกือกม้า 10 ชิ้นดังกล่าว ให้เสียบเข้าไปกลางเสา กลุ่มบุคคลที่ยืนอยู่พอดิบพอดีอาจจะขว้างเหล็กรูปเกือกม้า 10 ชิ้นนั้น โดยติดเข้าไป 6 ชิ้น นั่นเป็นกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะยืนใกล้ๆ และขว้างเหล็กรูปเกือกม้าเข้าไปที่เสาดังกล่าวโดยให้เหล็กรูปเกือกม้าติดที่เสา 8-9 ชิ้นจาก 10 ชิ้น อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายอาจจะยืนไกลออกไปมาก เสี่ยงขว้างเข้ามาจาก 10 ชิ้น อาจจะติดเพียง 1-2 ชิ้นเท่านั้น

ทั้งสามกลุ่มย่อมมีความกล้าหาญที่จะเสี่ยงต่างกัน กลุ่มสุดท้ายที่ขว้างจากที่ไกลๆ มักจะเป็นผู้มีแนวโน้มที่จะชอบการเสี่ยงแบบการพนันในลักษณะหวือหวา ทำการค้าแบบรวยฉับพลัน หรือล้มละลายในพริบตาเดียว เทหมดหน้าตักทำนองเดียวกับการเล่นการพนัน บุคคลกลุ่มนี้กล้าที่จะไปผจญภัยในต่างแดนอพยพย้ายถิ่นโดยที่ไม่รู้อนาคตของตัวเอง ซึ่งก็มีอยู่บ้างที่ประสบความสำเร็จ บุคคลกลุ่มนี้มีลักษณะกล้าบ้าบิ่น แบบเสี่ยงโชคแบบการพนัน เอาความแน่นอนไม่ได้ เผลอไผลครอบครัวลูกเมียจะลำบาก และในชีวิตจริงนอกจากประกอบธุรกิจแล้วอาจจะนิยมเล่นการพนันพร้อมๆ กันไป

ส่วนกลุ่มที่ยืนพอดิบพอดีนั้นคือผู้ซึ่งมีความกล้าหาญแบบมั่นคง สม่ำเสมอ คำนวณถึงผลดีผลเสีย โอกาสของความเป็นไปได้ ไม่เสี่ยงอย่างบุ่มบ่ามจนเกิดความเสียหาย แต่ก็กล้าเสี่ยงในระดับหนึ่งเพื่อความเจริญก้าวหน้า กลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่มีความมั่นคง ถ้าเป็นผู้บริหารก็จะเป็นผู้บริหารที่จะทำให้ประสบความสำเร็จอย่างเรียบร้อย แต่จะไม่มีอะไรหวือหวาในลักษณะที่ก่อให้เกิดผลในทางลบได้ กลุ่มที่อยู่ใกล้และประสบความสำเร็จในการขว้างรูปเกือกม้าติดไว้กับเสาเป็นจำนวนมากนั้น เป็นกลุ่มซึ่งต้องการความมั่นคงสูง และไม่ต้องการเสี่ยงอะไรทั้งสิ้น กลุ่มดังกล่าวมักจะเทียบได้กับกลุ่มข้าราชการ มีสวัสดิการพร้อม แก่ตัวก็มีบำนาญ ทำงานโดยขาดความกระตือรือร้น ถ้าเป็นนักธุรกิจก็จะเป็นร้านค้าเล็กๆ ทำพอมีกำไร ไม่เสี่ยงแต่ก็ไม่มีโอกาสร่ำรวย กลุ่มที่สองน่าจะร่ำรวยได้ในลักษณะมั่นคง ส่วนกลุ่มที่ขว้างจากที่ไกลนั้นโชคดีก็รวยอย่างข้ามคืน ถ้าพลาดพลั้งก็จะกลายเป็นคนติดหนี้สินพะรุงพะรัง หรือต้องหนีหนี้

คำถามก็คือความกล้าหาญควรจะอยู่ ณ จุดใด กลุ่มที่อยู่ตรงกลางคงจะเป็นคำตอบ แต่ในแง่หนึ่งถ้าสามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ ถ้าตระหนักถึงโอกาสของความเป็นไปได้ ถ้ามั่นใจในศักยภาพของตน ก็น่าจะขยับอยู่ระหว่างกึ่งกลางของกลุ่มที่มีความมั่นคงสูงคือกลุ่มที่สอง กับกลุ่มที่ชอบเสี่ยงคือกลุ่มที่สาม นั่นก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการแสดงความกล้าหาญ โดยมีความมั่นคงสุขุมคัมภีรภาพเป็นพื้นฐาน แต่บางครั้งถ้าไม่เป็นการเสี่ยงเกินไปก็อาจจะขยับสูงขึ้นแต่ไม่ถึงจุดของกลุ่มคนที่ขว้างมาจากไกลๆ ก็น่าจะเป็นความกล้าที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายมากนัก

ผู้ที่จะทำงานใหญ่และต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นงานทางการเมือง การทำธุรกิจ การทำสงคราม หรือเรื่องอื่นใดก็ตาม จะต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ในการต่อสู้ และในการเผชิญกับปัญหาหรืออุปสรรค และที่สำคัญคือพร้อมที่จะเผชิญกับความล้มเหลวในกรณีที่เกิดความพลาดพลั้ง

ความกล้าหาญไม่ใช่กล้าอย่างบ้าบิ่น กล้าอย่างไร้ความคิด แต่เป็นความกล้าหาญที่ตั้งอยู่บนฐานของการใช้ความคิด ใช้เหตุผล มีสติ มีความมั่นคงทางจิตใจ และความรับผิดชอบ กล้าที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง และกล้าที่จะกระทำการใหญ่บนพื้นฐานของความเข้าใจสถานการณ์และการมองเห็นความเป็นไปของความสำเร็จ

ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน
ราชบัณฑิต
www.dhiravegin.com
กำลังโหลดความคิดเห็น