เอเอฟพี – สมาคมหนังสือพิมพ์โลก (ดับเบิลยูเอเอ็น) ระบุ ยอดขายหนังสือพิมพ์ทั่วโลกปี 2004 พุ่งขึ้นกว่า 2% โดยจีน อินเดีย และญี่ปุ่น ครอง 3 อันดับแรกของตลาดที่ใหญ่สุดในโลก ขณะที่รายได้จากโฆษณาพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดับเบิลยูเอเอ็นเปิดเผยรายงานการสำรวจแนวโน้มอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์โลกประจำปีวานนี้ (30) ว่า ในปี 2004 มีการจำหน่ายหนังสือพิมพ์ในแต่ละวันถึง 395 ล้านฉบับ โดยมีผู้อ่านราว 1,000 ล้านคนทั่วโลก
ทั้งนี้จีน อินเดีย และญี่ปุ่นถือเป็นตลาดหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปีที่ผ่านมา โดยจีนสามารถชิงตำแหน่งประเทศที่มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์มากที่สุด 100 อันดับแรกของโลกจากญี่ปุ่นไปครองได้เป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้ 3 ใน 4 ของหนังสือพิมพ์รายวันที่ขายดีที่สุด 100 อันดับแรกทั่วโลก เป็นหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในเอเชีย โดยมียอดขายสูงขึ้น 4.1%
อนึ่ง รายงานดังกล่าวถูกเผยแพร่ในงานประชุมของสภาหนังสือพิมพ์โลกและที่ประชุมผู้สื่อข่าวโลก อันเป็นการชุมนุมของสื่อครั้งใหญ่สุดในเอเชียซึ่งจัดขึ้นในกรุงโซล โดยมีผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ บรรณาธิการ และผู้บริหารหนังสือพิมพ์ระดับอาวุโสจาก 81 ประเทศเข้าร่วมกว่า 1,300 คน
รายงานกล่าวต่อว่า ยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ทั่วโลกทะยานขึ้น 2.1% โดยยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวันเพิ่มขึ้น 2% ส่วนรายได้จากโฆษณาทะยานขึ้น 5.3% นับเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่สุดในรอบ 4 ปี
ทิโมธี บัลดิ้ง ผู้อำนวยการใหญ่แห่งดับเบิลยูเอเอ็นชี้ว่า “เห็นได้ชัดว่าอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์โลกกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวด้วยการออกผลิตภัณฑ์ ใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงรูปแบบ ชื่อเรียก วิธีการนำเสนอ ตลอดจนระบบการจัดจำหน่ายและการตลาดที่ดีขึ้น”
นอกจากนี้ แม้สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ตลาดโฆษณากลับขยายตัว และสร้างรายได้ให้กับหนังสือพิมพ์ต่างๆ มากขึ้น แม้สัดส่วนของโฆษณาสื่อสิ่งพิมพ์จะค่อยๆลดลงก็ตาม กล่าวคือ จาก 30.5% ในปี 2003 อยู่ที่ 30.1% ในปี 2004
“ถึงแม้มีสิ่งท้าทายในการแข่งขันในตลาดโฆษณาอยู่มาก แต่ธุรกิจหนังสือพิมพ์ก็ไปได้สวย และรายได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย” บัลดิ้งกล่าว
ในปีที่ผ่านมา รายได้ในจีนพุ่งขึ้น 29% เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปี 2003 หรือทะยานขึ้น 116% จากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ด้านสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดโฆษณาใหญ่อันดับ 1 ของโลกเพิ่มขึ้น 3.93% สูงขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อน
อย่างไรก็ดี แม้รายได้เพิ่มสูงขึ้น ทว่าหนังสือพิมพ์หลายฉบับกลับยังสูญเสียผู้อ่านในหลายๆ ที่มั่นดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงยุโรปด้วย แม้ว่าการลดลงนี้จะน้อยกว่าปีที่แล้วอย่างมากก็ตาม
ทั้งนี้ยอดขายหนังสือพิมพ์ในแดนมังกรยังคงสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยระดับโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3.7% หรือดีดตัวขึ้น 26.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนยอดขายแดนภารตะสูงขึ้น 8% ในปี 2004 หรือคิดเป็น 14% ในช่วงเวลา 5 ปี
สำหรับตลาดอื่นๆในเอเชีย ยอดขายก็ทะยานขึ้นเช่นกัน โดยในสิงคโปร์ไต่ขึ้น 3% มาเลเซีย 4% อินโดนีเซีย 6.5% รวมถึงหนังสือพิมพ์มองโกเลียที่ทะยานขึ้นถึง 31%
ดับเบิลยูเอเอ็นระบุอีกว่า ตลาดหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่สุด 3 อันดับแรกอยู่ในเอเชีย โดยจีนขึ้นนำอันดับ 1 ด้วยยอดขาย 93.5 ล้านฉบับต่อวัน ตามมาคืออินเดีย 78.8 ล้านฉบับต่อวัน อันดับ 3 คือญี่ปุ่น 70.4 ล้านฉบับต่อวัน ถัดมาคือสหรัฐฯ 48.3 ล้านฉบับ และเยอรมนี 22.1 ล้านฉบับ
รายงานเสริมว่า ยอดขายใน 3 ตลาดใหญ่ของเอเชียกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ยอดขายแดนมะกันและเมืองเบียร์กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนหนังสือพิมพ์ที่ขายดีที่สุดในโลกยังคงเป็นหนังสือพิมพ์โยมิอุริ ชิมบุงจากแดนอาทิตย์อุทัย ด้วยยอดขาย 14,067,000 ล้านฉบับต่อวัน
รายงานทิ้งท้ายว่า ยอดขายในเอเชียปี 2004 สูงขึ้น 4.1% จากปีที่ผ่านมา อเมริกาใต้พุ่งขึ้น 6.3% แอฟริกาเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่แถบยุโรปลดลง 1.4% อเมริกาเหนือตกลง 0.2% ออสเตรเลียและประเทศแถบโอเชียเนียลดลง 1%
ดับเบิลยูเอเอ็นเปิดเผยรายงานการสำรวจแนวโน้มอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์โลกประจำปีวานนี้ (30) ว่า ในปี 2004 มีการจำหน่ายหนังสือพิมพ์ในแต่ละวันถึง 395 ล้านฉบับ โดยมีผู้อ่านราว 1,000 ล้านคนทั่วโลก
ทั้งนี้จีน อินเดีย และญี่ปุ่นถือเป็นตลาดหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปีที่ผ่านมา โดยจีนสามารถชิงตำแหน่งประเทศที่มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์มากที่สุด 100 อันดับแรกของโลกจากญี่ปุ่นไปครองได้เป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้ 3 ใน 4 ของหนังสือพิมพ์รายวันที่ขายดีที่สุด 100 อันดับแรกทั่วโลก เป็นหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์ในเอเชีย โดยมียอดขายสูงขึ้น 4.1%
อนึ่ง รายงานดังกล่าวถูกเผยแพร่ในงานประชุมของสภาหนังสือพิมพ์โลกและที่ประชุมผู้สื่อข่าวโลก อันเป็นการชุมนุมของสื่อครั้งใหญ่สุดในเอเชียซึ่งจัดขึ้นในกรุงโซล โดยมีผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์ บรรณาธิการ และผู้บริหารหนังสือพิมพ์ระดับอาวุโสจาก 81 ประเทศเข้าร่วมกว่า 1,300 คน
รายงานกล่าวต่อว่า ยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์ทั่วโลกทะยานขึ้น 2.1% โดยยอดจำหน่ายหนังสือพิมพ์รายวันเพิ่มขึ้น 2% ส่วนรายได้จากโฆษณาทะยานขึ้น 5.3% นับเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งใหญ่สุดในรอบ 4 ปี
ทิโมธี บัลดิ้ง ผู้อำนวยการใหญ่แห่งดับเบิลยูเอเอ็นชี้ว่า “เห็นได้ชัดว่าอุตสาหกรรมหนังสือพิมพ์โลกกำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวด้วยการออกผลิตภัณฑ์ ใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงรูปแบบ ชื่อเรียก วิธีการนำเสนอ ตลอดจนระบบการจัดจำหน่ายและการตลาดที่ดีขึ้น”
นอกจากนี้ แม้สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจจะมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด แต่ตลาดโฆษณากลับขยายตัว และสร้างรายได้ให้กับหนังสือพิมพ์ต่างๆ มากขึ้น แม้สัดส่วนของโฆษณาสื่อสิ่งพิมพ์จะค่อยๆลดลงก็ตาม กล่าวคือ จาก 30.5% ในปี 2003 อยู่ที่ 30.1% ในปี 2004
“ถึงแม้มีสิ่งท้าทายในการแข่งขันในตลาดโฆษณาอยู่มาก แต่ธุรกิจหนังสือพิมพ์ก็ไปได้สวย และรายได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย” บัลดิ้งกล่าว
ในปีที่ผ่านมา รายได้ในจีนพุ่งขึ้น 29% เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปี 2003 หรือทะยานขึ้น 116% จากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ด้านสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดโฆษณาใหญ่อันดับ 1 ของโลกเพิ่มขึ้น 3.93% สูงขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อน
อย่างไรก็ดี แม้รายได้เพิ่มสูงขึ้น ทว่าหนังสือพิมพ์หลายฉบับกลับยังสูญเสียผู้อ่านในหลายๆ ที่มั่นดั้งเดิมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงยุโรปด้วย แม้ว่าการลดลงนี้จะน้อยกว่าปีที่แล้วอย่างมากก็ตาม
ทั้งนี้ยอดขายหนังสือพิมพ์ในแดนมังกรยังคงสูงกว่าเกณฑ์เฉลี่ยระดับโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 3.7% หรือดีดตัวขึ้น 26.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ส่วนยอดขายแดนภารตะสูงขึ้น 8% ในปี 2004 หรือคิดเป็น 14% ในช่วงเวลา 5 ปี
สำหรับตลาดอื่นๆในเอเชีย ยอดขายก็ทะยานขึ้นเช่นกัน โดยในสิงคโปร์ไต่ขึ้น 3% มาเลเซีย 4% อินโดนีเซีย 6.5% รวมถึงหนังสือพิมพ์มองโกเลียที่ทะยานขึ้นถึง 31%
ดับเบิลยูเอเอ็นระบุอีกว่า ตลาดหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่สุด 3 อันดับแรกอยู่ในเอเชีย โดยจีนขึ้นนำอันดับ 1 ด้วยยอดขาย 93.5 ล้านฉบับต่อวัน ตามมาคืออินเดีย 78.8 ล้านฉบับต่อวัน อันดับ 3 คือญี่ปุ่น 70.4 ล้านฉบับต่อวัน ถัดมาคือสหรัฐฯ 48.3 ล้านฉบับ และเยอรมนี 22.1 ล้านฉบับ
รายงานเสริมว่า ยอดขายใน 3 ตลาดใหญ่ของเอเชียกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ยอดขายแดนมะกันและเมืองเบียร์กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง
ส่วนหนังสือพิมพ์ที่ขายดีที่สุดในโลกยังคงเป็นหนังสือพิมพ์โยมิอุริ ชิมบุงจากแดนอาทิตย์อุทัย ด้วยยอดขาย 14,067,000 ล้านฉบับต่อวัน
รายงานทิ้งท้ายว่า ยอดขายในเอเชียปี 2004 สูงขึ้น 4.1% จากปีที่ผ่านมา อเมริกาใต้พุ่งขึ้น 6.3% แอฟริกาเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่แถบยุโรปลดลง 1.4% อเมริกาเหนือตกลง 0.2% ออสเตรเลียและประเทศแถบโอเชียเนียลดลง 1%