ไฟแนนเชียล ไทมส์ – ผู้คุมกฎแบงก์แดนอาทิตย์อุทัยประกาศ วิกฤตหนี้เสียที่รุมกินโต๊ะเหล่าธนาคารใหญ่ที่สุดของประเทศมานาน 16 ปี และทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวเรื้อรังกว่าทศวรรษ บัดนี้สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการแล้ว
ทัตสึยะ อิโตะ รัฐมนตรีกระทรวงบริการการเงิน กล่าวเมื่อวันพุธ (25) ว่าเป้าหมายของสำนักงานบริการการเงิน (เอฟเอสเอ) ในการกำหนดให้ธนาคารขนาดใหญ่ลดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อเกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ให้เหลือครึ่งหนึ่งของหนี้ทั้งหมดเมื่อเทียบกับระดับในปี 2002 ภายในเดือนมีนาคมปีนี้ บรรลุผลแล้ว อันถือเป็นการปูทางสำหรับขั้นตอนต่อไปของการฟื้นตัวในภาคการธนาคาร
คำแถลงของเอฟเอสเอมีขึ้นไม่นานหลังจากที่เอ็มทีเอฟจี และยูเอฟเจออกมารายงานผลประกอบการก่อนเปิดให้ผู้ถือหุ้นลงมติเกี่ยวกับข้อเสนอควบรวมกิจการ เพื่อกลายเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของโลกภายในปีนี้
การประกาศดังกล่าวตอกย้ำบทบาทสำคัญของมาตรการปฏิรูป ที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศสู่การฟื้นตัว
การแก้วิกฤตหนี้เสีย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอัดฉีดเงิน 9 ล้านล้านเยน (83,500 ล้านดอลลาร์) เข้าสู่ธนาคารหลายแห่งในทศวรรษ 1990 เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์เชิงระบบนั้น บีบให้มิซูโฮะต้องรายงานภาวะขาดทุนครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ด้วยตัวเลข 400,000 ล้านเยน รวมถึงทำให้ต้องโอนเรโซนาเข้าเป็นกิจการของรัฐ และกระตุ้นยูเอฟเจให้หาหุ้นส่วนผนวกกิจการ หากไม่อยากล้มละลาย
จากข้อมูลของเอฟเอสเอ ปี 2002 คือช่วงที่วิกฤตหนี้พุ่งถึงจุดสูงสุด โดยบรรดาแบงก์ใหญ่มีหนี้เสียรวมกันถึง 27 ล้านล้านเยน ขณะที่ภาคเอกชนประเมินว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านั้นเกือบสองเท่า และโดยรวมแล้ว ทางการโตเกียวต้องใช้เงินเบ็ดเสร็จราว 50 ล้านล้านเยนในการกู้วิกฤต
อนึ่ง วันพุธ เอ็มทีเอฟเจรายงานว่า กำไรสุทธิในปีการเงินที่สิ้นสุดเดือนมีนาคมที่ผ่านมาลดลง 39.7% อยู่ที่ 338,000 ล้านเยน อันเป็นผลจากการขาดทุนที่เกี่ยวเนื่องกับเอ็นพีแอล ขณะที่ยูเอฟเจรายงานว่า ขาดทุนสุทธิ 554,000 ล้านเยนจากสาเหตุเดียวกัน อย่างไรก็ดี ผลประกอบการณ์ของทั้งสองแบงก์สอดคล้องกับการคาดการณ์
ภายในสัปดาห์นี้เช่นกัน เอสเอ็มเอฟจีรายงานว่า ขาดทุนสุทธิ 234,000 ล้านเยน ส่วนมิซูโฮะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 54% อยู่ที่ 627,000 ล้านเยน โดยธนาคารที่ขาดทุนทั้งหมดนี้คาดว่าจะฟื้นกำไรสุทธิได้ในปีการเงิน 2006
ขณะที่เรโซนา ธนาคารใหญ่อันดับ 5 ของญี่ปุ่น ที่เคยได้รับเงินอัดฉีดฉุกเฉิน 1.9 ล้านล้านเยนจากรัฐบาลนั้น มีกำไรสุทธิ 365,000 ล้านเยน จากก่อนหน้านี้ที่ขาดทุน 1,660,000 ล้านเยน
ทัตสึยะ อิโตะ รัฐมนตรีกระทรวงบริการการเงิน กล่าวเมื่อวันพุธ (25) ว่าเป้าหมายของสำนักงานบริการการเงิน (เอฟเอสเอ) ในการกำหนดให้ธนาคารขนาดใหญ่ลดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อเกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ให้เหลือครึ่งหนึ่งของหนี้ทั้งหมดเมื่อเทียบกับระดับในปี 2002 ภายในเดือนมีนาคมปีนี้ บรรลุผลแล้ว อันถือเป็นการปูทางสำหรับขั้นตอนต่อไปของการฟื้นตัวในภาคการธนาคาร
คำแถลงของเอฟเอสเอมีขึ้นไม่นานหลังจากที่เอ็มทีเอฟจี และยูเอฟเจออกมารายงานผลประกอบการก่อนเปิดให้ผู้ถือหุ้นลงมติเกี่ยวกับข้อเสนอควบรวมกิจการ เพื่อกลายเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของโลกภายในปีนี้
การประกาศดังกล่าวตอกย้ำบทบาทสำคัญของมาตรการปฏิรูป ที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจของประเทศสู่การฟื้นตัว
การแก้วิกฤตหนี้เสีย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอัดฉีดเงิน 9 ล้านล้านเยน (83,500 ล้านดอลลาร์) เข้าสู่ธนาคารหลายแห่งในทศวรรษ 1990 เพื่อหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์เชิงระบบนั้น บีบให้มิซูโฮะต้องรายงานภาวะขาดทุนครั้งมโหฬารที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ด้วยตัวเลข 400,000 ล้านเยน รวมถึงทำให้ต้องโอนเรโซนาเข้าเป็นกิจการของรัฐ และกระตุ้นยูเอฟเจให้หาหุ้นส่วนผนวกกิจการ หากไม่อยากล้มละลาย
จากข้อมูลของเอฟเอสเอ ปี 2002 คือช่วงที่วิกฤตหนี้พุ่งถึงจุดสูงสุด โดยบรรดาแบงก์ใหญ่มีหนี้เสียรวมกันถึง 27 ล้านล้านเยน ขณะที่ภาคเอกชนประเมินว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านั้นเกือบสองเท่า และโดยรวมแล้ว ทางการโตเกียวต้องใช้เงินเบ็ดเสร็จราว 50 ล้านล้านเยนในการกู้วิกฤต
อนึ่ง วันพุธ เอ็มทีเอฟเจรายงานว่า กำไรสุทธิในปีการเงินที่สิ้นสุดเดือนมีนาคมที่ผ่านมาลดลง 39.7% อยู่ที่ 338,000 ล้านเยน อันเป็นผลจากการขาดทุนที่เกี่ยวเนื่องกับเอ็นพีแอล ขณะที่ยูเอฟเจรายงานว่า ขาดทุนสุทธิ 554,000 ล้านเยนจากสาเหตุเดียวกัน อย่างไรก็ดี ผลประกอบการณ์ของทั้งสองแบงก์สอดคล้องกับการคาดการณ์
ภายในสัปดาห์นี้เช่นกัน เอสเอ็มเอฟจีรายงานว่า ขาดทุนสุทธิ 234,000 ล้านเยน ส่วนมิซูโฮะมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 54% อยู่ที่ 627,000 ล้านเยน โดยธนาคารที่ขาดทุนทั้งหมดนี้คาดว่าจะฟื้นกำไรสุทธิได้ในปีการเงิน 2006
ขณะที่เรโซนา ธนาคารใหญ่อันดับ 5 ของญี่ปุ่น ที่เคยได้รับเงินอัดฉีดฉุกเฉิน 1.9 ล้านล้านเยนจากรัฐบาลนั้น มีกำไรสุทธิ 365,000 ล้านเยน จากก่อนหน้านี้ที่ขาดทุน 1,660,000 ล้านเยน