“ทิพ” ทุ่ม 100ล้านบาท เร่งตอกย้ำแบรนด์สร้างจุดต่าง ดึงนักวิชาการการันตี-สร้างความแข็งแกร่งจุดขาย “เพื่อสุขภาพ” รับกระแสพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ปรับระบบจัดจำหน่ายดึงสหพัฒน์แก้จุดบอดเทรดดิชั่นนัลส่วนภูมิภาค ล่าสุดผุดโครงการ “รถเข็นไข่เจียวเพื่อสุขภาพ” สร้างประสบการณ์ร่วมประเดิม 100 คัน อัดแคมเปญ “หยิบทิพ หยิบล้าน” แจกทอง สิ้นปียอดขายพุ่ง 25% กวาด 1,800 ล้านบาท
ม.ร.ว.สุภาณี ดิศกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพ อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองตราทิพ เปิดเผยว่า แผนการทำตลาดปีนี้บริษัทจะเน้นตอกย้ำตราสินค้า “ทิพ”ให้มีความแข็งแกร่งเพื่อสร้างความแตกต่างสินค้าที่มีอยู่ในตลาด รวมทั้งตอกย้ำในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการของผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ทำให้การตัดสินใจจะคำนึงถึงตราสินค้ามากกว่าปัจจัยด้านราคา โดยเฉพาะในกรณีที่หากราคาสินค้าเท่ากัน ผู้บริโภคจะคำนึงถึงตราสินค้าเป็นหลัก โดยการทำตลาดปีนี้เป็นการต่อยอดหลังจากในปีที่ผ่านมา ทิพได้รีแบรนด์ดิ้งใหม่ ส่งผลให้การรับรู้ตราสินค้าของกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 20% ขณะที่ยอดขายเพิ่ม 50%
“เพื่อตอกย้ำจุดขายในเรื่องสุขภาพน้ำมันถั่วเหลืองทิพให้มากขึ้น บริษัทจึงได้จับมือร่วมกับห้องปฏิบัติการทดสอบ คณะวิทยาศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อการันตีถึงคุณภาพของน้ำมันถั่วเหลือง อีกทั้งยังร่วมกันพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ที่จะมีส่วนผสมระหว่างน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันชนิดอื่นๆเปิดตัวลงสู่ตลาดในปีนี้ ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทยังร่วมกับโรงพยาบาลต่างๆ จัดงานสัมมนาให้ความรู้และประโยชน์จากน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อสร้างการรับรู้ใหม่ๆไปยังกลุ่มผู้บริโภค”
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้ปรับระบบการกระจายสินค้าในส่วนของเทรดดิชั่นนัลในส่วนของภูมิภาคใหม่ โดยได้ให้สหพัฒน์ฯเป็นผู้กระจายสินค้าในลักษณะเงินสดแทน จากเดิมบริษัทจะเป็นผู้กระจายสินค้าเองแต่ไม่สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่งสหพัฒน์ได้เริ่มจำหน่ายให้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ในช่วง 6 เดือนได้รับการตอบรับที่ดีมาก ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คือ 30,000 ลังต่อเดือน หรือคิดเป็น 10-15%ของยอดขายรวม 36,000 ตันต่อปี โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขายมาจากโมเดิร์นเทรด 50% และเทรดดิชั่นนัล 50%
สำหรับปีนี้บริษัทใช้งบการตลาดเกือบ 100 ล้านบาท แบ่งเป็นงบอะโบฟเดอะไลน์ 30-40% บีโลว์เดอะไลน์ 60-70% โดยบริษัทจะเน้นกลยุทธ์สร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก ซึ่งล่าสุดเปิดโครงการ “รถเข็นไข่เจียวเพื่อสุขภาพ”โดยให้ผู้ที่สนใจต้องเขียนจดหมายเข้าร่วมโครงการจะได้รับรถเข็นไข่เจียวฟรี ในเบื้องต้นตั้งเป้าแจก 20 คัน จากจำนวนทั้งสิ้น 100 คัน โดยโครงการจะเริ่มในปีนี้ ประเดิมในย่านสวนจตุจักร และถนนข้าวสาร รวมทั้งขยายไปยังตลาดต่างจังหวัด อีกทั้งยังได้ทุ่มงบ 40 ล้านบาท เปิดแคมเปญ “หยิบทิพ หยิบล้าน”แจกทองมูลค่า 1 ล้านบาทชิงโชค เริ่มตั้งแต่เดือนก.ค.-ธ.ค.48 ซึ่งคาดว่าแคมเปญดังกล่าวจะกระตุ้นยอดขายให้ทิพ 100%
แนวโน้มตลาดน้ำมันพืชบรรจุขวดมูลค่า 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมันปาล์ม 60-65% น้ำมันถั่วเหลือง 30% และน้ำมันพรีเมี่ยมข้าวโพด ทานตะวัน 10% ไม่ค่อยมีอัตราการเติบโตมากนัก เพราะเนื่องจากสงครามราคาส่งผลให้ราคาน้ำมันพืชลดจาก 38 บาท เหลือเพียง 32-35 บาท อีกทั้งยังเป็นเพราะราคาวัตถุดิบลดลง 10-15% อย่างไรก็ตามตลาดน้ำมันถั่วเหลืองปีนี้คาดว่าจะเติบโตถึง10% เนื่องจากคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
สำหรับผลประกอบปีที่ผ่านมามีรายได้ 900 ล้านบาท เป็นน้ำมันถั่วเหลือง 700-800 ล้านบาท และอีก 100 ล้านบาท เป็นน้ำมันพรีเมียม ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 25% หรือมีรายได้ 1,600-1,800 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการส่งออกคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นหลังจากที่บริษัทเพิ่งเริ่มขยายตลาด โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมามีรายได้ 2,800 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมายอดขายส่งออก 4,000 ตันต่อปี ปัจจุบันทิพมีส่วนแบ่งตลาด 20% เป็นอันดับสามของตลาด ส่วนองุ่นเป็นผู้นำครองส่วนแบ่ง 50% และกุ๊กมากกว่า 20%
ม.ร.ว.สุภาณี ดิศกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิพ อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลืองตราทิพ เปิดเผยว่า แผนการทำตลาดปีนี้บริษัทจะเน้นตอกย้ำตราสินค้า “ทิพ”ให้มีความแข็งแกร่งเพื่อสร้างความแตกต่างสินค้าที่มีอยู่ในตลาด รวมทั้งตอกย้ำในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการของผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ทำให้การตัดสินใจจะคำนึงถึงตราสินค้ามากกว่าปัจจัยด้านราคา โดยเฉพาะในกรณีที่หากราคาสินค้าเท่ากัน ผู้บริโภคจะคำนึงถึงตราสินค้าเป็นหลัก โดยการทำตลาดปีนี้เป็นการต่อยอดหลังจากในปีที่ผ่านมา ทิพได้รีแบรนด์ดิ้งใหม่ ส่งผลให้การรับรู้ตราสินค้าของกลุ่มผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 20% ขณะที่ยอดขายเพิ่ม 50%
“เพื่อตอกย้ำจุดขายในเรื่องสุขภาพน้ำมันถั่วเหลืองทิพให้มากขึ้น บริษัทจึงได้จับมือร่วมกับห้องปฏิบัติการทดสอบ คณะวิทยาศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อการันตีถึงคุณภาพของน้ำมันถั่วเหลือง อีกทั้งยังร่วมกันพัฒนาสินค้าตัวใหม่ ที่จะมีส่วนผสมระหว่างน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันชนิดอื่นๆเปิดตัวลงสู่ตลาดในปีนี้ ขณะเดียวกันปีนี้บริษัทยังร่วมกับโรงพยาบาลต่างๆ จัดงานสัมมนาให้ความรู้และประโยชน์จากน้ำมันถั่วเหลือง เพื่อสร้างการรับรู้ใหม่ๆไปยังกลุ่มผู้บริโภค”
นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้ปรับระบบการกระจายสินค้าในส่วนของเทรดดิชั่นนัลในส่วนของภูมิภาคใหม่ โดยได้ให้สหพัฒน์ฯเป็นผู้กระจายสินค้าในลักษณะเงินสดแทน จากเดิมบริษัทจะเป็นผู้กระจายสินค้าเองแต่ไม่สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่งสหพัฒน์ได้เริ่มจำหน่ายให้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา ในช่วง 6 เดือนได้รับการตอบรับที่ดีมาก ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คือ 30,000 ลังต่อเดือน หรือคิดเป็น 10-15%ของยอดขายรวม 36,000 ตันต่อปี โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขายมาจากโมเดิร์นเทรด 50% และเทรดดิชั่นนัล 50%
สำหรับปีนี้บริษัทใช้งบการตลาดเกือบ 100 ล้านบาท แบ่งเป็นงบอะโบฟเดอะไลน์ 30-40% บีโลว์เดอะไลน์ 60-70% โดยบริษัทจะเน้นกลยุทธ์สร้างประสบการณ์ร่วมระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก ซึ่งล่าสุดเปิดโครงการ “รถเข็นไข่เจียวเพื่อสุขภาพ”โดยให้ผู้ที่สนใจต้องเขียนจดหมายเข้าร่วมโครงการจะได้รับรถเข็นไข่เจียวฟรี ในเบื้องต้นตั้งเป้าแจก 20 คัน จากจำนวนทั้งสิ้น 100 คัน โดยโครงการจะเริ่มในปีนี้ ประเดิมในย่านสวนจตุจักร และถนนข้าวสาร รวมทั้งขยายไปยังตลาดต่างจังหวัด อีกทั้งยังได้ทุ่มงบ 40 ล้านบาท เปิดแคมเปญ “หยิบทิพ หยิบล้าน”แจกทองมูลค่า 1 ล้านบาทชิงโชค เริ่มตั้งแต่เดือนก.ค.-ธ.ค.48 ซึ่งคาดว่าแคมเปญดังกล่าวจะกระตุ้นยอดขายให้ทิพ 100%
แนวโน้มตลาดน้ำมันพืชบรรจุขวดมูลค่า 8,000 ล้านบาท แบ่งเป็นน้ำมันปาล์ม 60-65% น้ำมันถั่วเหลือง 30% และน้ำมันพรีเมี่ยมข้าวโพด ทานตะวัน 10% ไม่ค่อยมีอัตราการเติบโตมากนัก เพราะเนื่องจากสงครามราคาส่งผลให้ราคาน้ำมันพืชลดจาก 38 บาท เหลือเพียง 32-35 บาท อีกทั้งยังเป็นเพราะราคาวัตถุดิบลดลง 10-15% อย่างไรก็ตามตลาดน้ำมันถั่วเหลืองปีนี้คาดว่าจะเติบโตถึง10% เนื่องจากคนหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น
สำหรับผลประกอบปีที่ผ่านมามีรายได้ 900 ล้านบาท เป็นน้ำมันถั่วเหลือง 700-800 ล้านบาท และอีก 100 ล้านบาท เป็นน้ำมันพรีเมียม ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 25% หรือมีรายได้ 1,600-1,800 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการส่งออกคาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นหลังจากที่บริษัทเพิ่งเริ่มขยายตลาด โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมามีรายได้ 2,800 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 20 ล้านบาท จากในปีที่ผ่านมายอดขายส่งออก 4,000 ตันต่อปี ปัจจุบันทิพมีส่วนแบ่งตลาด 20% เป็นอันดับสามของตลาด ส่วนองุ่นเป็นผู้นำครองส่วนแบ่ง 50% และกุ๊กมากกว่า 20%