รอยเตอร์/เอเอฟพี-ยาตัวใหม่ที่มุ่งช่วยเสริม "ความอึด" ของฝ่ายชาย เป็นการยืดเวลาอันสุขสมระหว่างเพศสัมพันธ์ให้ยาวนานขึ้นกว่าเดิม สามารถผ่านการทดสอบทางคลินิกโดยคณะผู้วิจัยระบุว่าได้ผลน่าพอใจ และหากผ่านด่านต่อไป นั่นคือได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ คาดว่าจะเป็นยาขายดิบขายดียิ่งกว่าไวอะกร้า เพราะผู้ชายซึ่งประสบปัญหานกกระจอกไม่ทันกินน้ำ มีจำนวนมากกว่าพวกนกเขาไม่ขันเป็นไหนๆ
ยามหัศจรรย์ตัวใหม่นี้มีนามว่า "ดาพ็อกซิไทน์" (dapoxetine) อวดโฉมสู่สาธารณชนเมื่อวันจันทร์(23) ในการประชุมประจำปีของสมาคมศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะอเมริกัน โดยยานี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั่วโลกที่มีปัญหาหลั่งเร็ว อันส่งผลทำให้ชีวิตทางเพศไม่สุขสมเต็มที่ หรือในหลายกรณีถึงขั้นทำลายชีวิตคู่ครองได้ทีเดียว
แม้ว่า "ภาวะองคชาติไม่แข็งตัว" (erectile dysfunction หรือ อีดี) ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการกินยาจำพวกไวอะกร้า ได้รับการประโคมข่าวจนเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันมากกว่า แต่นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า "ภาวะการหลั่งเร็ว" (premature ejaculation หรือ พีอี) กลับเป็นปัญหาของผู้ชายจำนวนมหึมากว่ากันนัก
ตามตัวเลขของสมาคมศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะอเมริกัน ชายที่มีอาการพีอี หรือนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ มีจำนวนระหว่าง 27-34% และเป็นกันในชายทุกกลุ่มอายุ ขณะที่อาการอีดี หรือ นกเขาไม่ขัน มีอยู่ในชายประมาณ 10-12% และส่วนใหญ่พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ
ภาวะการหลั่งเร็วนั้น คณะนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ให้คำนิยามว่า หมายถึงผู้ชายที่หลั่งน้ำอสุจิออกมาในเวลา 1.8 นาที นับตั้งแต่ที่เริ่มการประกอบกามกิจ หรือกระทั่งก่อนการสอดใส่ด้วยซ้ำ เปรียบเทียบกับชายส่วนใหญ่ซึ่งจะใช้เวลาราว 7.3 นาที
นายแพทย์ จอน พรายเออร์ หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยมินนิโซตา และเป็นผู้นำการวิจัยยาดาพ็อกซิไทน์ ในขั้นคลินิก กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มียาซึ่งสามารถบำบัดภาวะการหลั่งเร็วอย่างได้ผล แถมยายังออกฤทธิ์รวดเร็ว โดยสามารถกินก่อนมีเพศสัมพันธ์ราว 1-3 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมีแทบไม่มีผลข้างเคียง แต่สำหรับรายที่ปรากฏนั้น ผลข้างเคียงซึ่งพบบ่อยคืออาการคลื่นไส้และปวดศีรษะ
ตามรายงานการศึกษาทางคลินิกซึ่งเสนอต่อที่ประชุมคราวนี้ ไพรเออร์บอกว่า ผู้ชายที่กินยาดาพ็อกซิไทน์ ไม่ว่าขนาด 30 มิลลิกรัม หรือ 60 มิลลิกรัม ต่างสามารถเพิ่มระยะเวลาก่อนหลั่งได้เป็น 3 -4 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชายซึ่งกินยาหลอก
ยิ่งกว่านั้น ยาตัวนี้สามารถเพิ่มความอึดได้ตั้งแต่ได้รับยาครั้งแรกสุด และต่อๆ มา ก็ประคับประคองให้ยืดเวลาได้ตลอดระยะของการศึกษา
นอกจากนี้ จำนวนเปอร์เซ็นต์ของชายที่ให้คะแนนความสามารถควบคุมการหลั่งเอาไว้ในระดับ "พอใช้" ไปจนถึง "ดีมาก" ก็เพิ่มขึ้นจาก 2.5% ในช่วงก่อนกินยา เป็น 51.8% สำหรับชายที่ได้รับยาแบบ 30 มิลลิกรัม และ เพิ่มจาก 3.3% เป็นกว่า 58% สำหรับชายซึ่งได้ยา 60 มิลลิกรัม
ในส่วนของชายซึ่งได้รับยาหลอกนั้น มี 3.5% ที่บอกว่า พอใช้ ไปจนถึง ดีมาก ในเวลาก่อนกินยา และหลังกินยาไปแล้วแม้จะเป็นยาหลอก พวกซึ่งให้คำตอบระดับนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 26.4%
ทางด้านคู่ของผู้ชายเหล่านี้ ก่อนช่วงกินยามีเพียงราว 20-25% ที่ตอบว่ารู้สึกพอใจกับชีวิตเพศสัมพันธ์ แต่ภายหลังการกินยาโดยเฉพาะในกลุ่มชายที่กินยา 60 มิลลิกรัม คู่ของพวกเขาที่พึงพอใจมีจำนวนเพิ่มขึ้น 47% หรือ เพิ่มเป็นประมาณสองเท่าตัวทีเดียว
ทั้งนี้ ในการทดสอบ คณะผู้วิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างเพศชายอายุ 18-77 ปี จำนวน 2,614 คน โดยทั้งหมดบอกว่าตัวเองมีความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวมากกว่า 6 เดือน และปวดใจจากภาวะหลั่งเร็วเกินไป กลุ่มตัวอย่างแต่ละคนจะได้รับดาพ็อกซิไทน์ขนาด 30 หรือ 60 มิลลิกรัม ประมาณ 12 สัปดาห์ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะได้รับยาหลอกเพื่อเปรียบเทียบ
การทดลองคราวนี้เป็นการทดลองทางคลินิกขั้นที่ 3 ก่อนเสนอผลให้องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ(เอฟดีเอ) พิจารณาอนุญาตให้ใช้เป็นยารักษาโรคได้ต่อไป
สำหรับบริษัทที่พัฒนายาตัวนี้ได้แก่ อัลซา คอร์ป ร่วมกับ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ฟาร์มาซูติคอล เซอร์วิเซส โดยที่ ออร์โธ ฟาร์มาซูติตอล จะเป็นผู้จัดจำหน่ายในสหรัฐฯเมื่อผ่านเอฟดีเอ ทั้ง 3 บริษัทนี้ต่างก็เป็นกิจการในเครือของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
ยามหัศจรรย์ตัวใหม่นี้มีนามว่า "ดาพ็อกซิไทน์" (dapoxetine) อวดโฉมสู่สาธารณชนเมื่อวันจันทร์(23) ในการประชุมประจำปีของสมาคมศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะอเมริกัน โดยยานี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ทั่วโลกที่มีปัญหาหลั่งเร็ว อันส่งผลทำให้ชีวิตทางเพศไม่สุขสมเต็มที่ หรือในหลายกรณีถึงขั้นทำลายชีวิตคู่ครองได้ทีเดียว
แม้ว่า "ภาวะองคชาติไม่แข็งตัว" (erectile dysfunction หรือ อีดี) ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการกินยาจำพวกไวอะกร้า ได้รับการประโคมข่าวจนเป็นที่รู้จักมักคุ้นกันมากกว่า แต่นักวิทยาศาสตร์ชี้ว่า "ภาวะการหลั่งเร็ว" (premature ejaculation หรือ พีอี) กลับเป็นปัญหาของผู้ชายจำนวนมหึมากว่ากันนัก
ตามตัวเลขของสมาคมศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะอเมริกัน ชายที่มีอาการพีอี หรือนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ มีจำนวนระหว่าง 27-34% และเป็นกันในชายทุกกลุ่มอายุ ขณะที่อาการอีดี หรือ นกเขาไม่ขัน มีอยู่ในชายประมาณ 10-12% และส่วนใหญ่พบมากในกลุ่มผู้สูงอายุ
ภาวะการหลั่งเร็วนั้น คณะนักวิจัยที่ศึกษาเรื่องนี้ให้คำนิยามว่า หมายถึงผู้ชายที่หลั่งน้ำอสุจิออกมาในเวลา 1.8 นาที นับตั้งแต่ที่เริ่มการประกอบกามกิจ หรือกระทั่งก่อนการสอดใส่ด้วยซ้ำ เปรียบเทียบกับชายส่วนใหญ่ซึ่งจะใช้เวลาราว 7.3 นาที
นายแพทย์ จอน พรายเออร์ หัวหน้าภาควิชาศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ มหาวิทยาลัยมินนิโซตา และเป็นผู้นำการวิจัยยาดาพ็อกซิไทน์ ในขั้นคลินิก กล่าวว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มียาซึ่งสามารถบำบัดภาวะการหลั่งเร็วอย่างได้ผล แถมยายังออกฤทธิ์รวดเร็ว โดยสามารถกินก่อนมีเพศสัมพันธ์ราว 1-3 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมีแทบไม่มีผลข้างเคียง แต่สำหรับรายที่ปรากฏนั้น ผลข้างเคียงซึ่งพบบ่อยคืออาการคลื่นไส้และปวดศีรษะ
ตามรายงานการศึกษาทางคลินิกซึ่งเสนอต่อที่ประชุมคราวนี้ ไพรเออร์บอกว่า ผู้ชายที่กินยาดาพ็อกซิไทน์ ไม่ว่าขนาด 30 มิลลิกรัม หรือ 60 มิลลิกรัม ต่างสามารถเพิ่มระยะเวลาก่อนหลั่งได้เป็น 3 -4 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชายซึ่งกินยาหลอก
ยิ่งกว่านั้น ยาตัวนี้สามารถเพิ่มความอึดได้ตั้งแต่ได้รับยาครั้งแรกสุด และต่อๆ มา ก็ประคับประคองให้ยืดเวลาได้ตลอดระยะของการศึกษา
นอกจากนี้ จำนวนเปอร์เซ็นต์ของชายที่ให้คะแนนความสามารถควบคุมการหลั่งเอาไว้ในระดับ "พอใช้" ไปจนถึง "ดีมาก" ก็เพิ่มขึ้นจาก 2.5% ในช่วงก่อนกินยา เป็น 51.8% สำหรับชายที่ได้รับยาแบบ 30 มิลลิกรัม และ เพิ่มจาก 3.3% เป็นกว่า 58% สำหรับชายซึ่งได้ยา 60 มิลลิกรัม
ในส่วนของชายซึ่งได้รับยาหลอกนั้น มี 3.5% ที่บอกว่า พอใช้ ไปจนถึง ดีมาก ในเวลาก่อนกินยา และหลังกินยาไปแล้วแม้จะเป็นยาหลอก พวกซึ่งให้คำตอบระดับนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็น 26.4%
ทางด้านคู่ของผู้ชายเหล่านี้ ก่อนช่วงกินยามีเพียงราว 20-25% ที่ตอบว่ารู้สึกพอใจกับชีวิตเพศสัมพันธ์ แต่ภายหลังการกินยาโดยเฉพาะในกลุ่มชายที่กินยา 60 มิลลิกรัม คู่ของพวกเขาที่พึงพอใจมีจำนวนเพิ่มขึ้น 47% หรือ เพิ่มเป็นประมาณสองเท่าตัวทีเดียว
ทั้งนี้ ในการทดสอบ คณะผู้วิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างเพศชายอายุ 18-77 ปี จำนวน 2,614 คน โดยทั้งหมดบอกว่าตัวเองมีความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียวมากกว่า 6 เดือน และปวดใจจากภาวะหลั่งเร็วเกินไป กลุ่มตัวอย่างแต่ละคนจะได้รับดาพ็อกซิไทน์ขนาด 30 หรือ 60 มิลลิกรัม ประมาณ 12 สัปดาห์ ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะได้รับยาหลอกเพื่อเปรียบเทียบ
การทดลองคราวนี้เป็นการทดลองทางคลินิกขั้นที่ 3 ก่อนเสนอผลให้องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ(เอฟดีเอ) พิจารณาอนุญาตให้ใช้เป็นยารักษาโรคได้ต่อไป
สำหรับบริษัทที่พัฒนายาตัวนี้ได้แก่ อัลซา คอร์ป ร่วมกับ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ฟาร์มาซูติคอล เซอร์วิเซส โดยที่ ออร์โธ ฟาร์มาซูติตอล จะเป็นผู้จัดจำหน่ายในสหรัฐฯเมื่อผ่านเอฟดีเอ ทั้ง 3 บริษัทนี้ต่างก็เป็นกิจการในเครือของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน