www.suvinai-dragon.com
ในการจะเดินอยู่บน วิถีแห่งกลยุทธ์เชิงบูรณาการ ในยุคปัจจุบัน เราคงไม่จำเป็นต้องสุ่มเสี่ยงไปจับดาบประลองแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เหมือนกับยุคของมูซาชิอีกต่อไปแล้ว แม้เราไม่จำเป็นต้องเอาอย่างมูซาชิ แต่เราควรเอาเยี่ยงมูซาชิ ในแง่ของการใช้ชีวิตอย่างมีวินัย หมั่นฝึกปรือตนเอง และรักการศึกษาหาความรู้ที่หลากหลายอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย
ในทัศนะของผู้เขียน การจะเชี่ยวชาญใน "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" ซึ่งเป็น การประยุกต์ภูมิปัญญาของเต๋า ในระดับ รวมหมู่ นั้น เราสามารถฝึกฝนความเป็นนักกลยุทธ์ใน ระดับรวมหมู่ ได้อย่างดีเลิศได้ ด้วย การฝึกฝนหมากล้อม แต่ถ้าเราจะเชี่ยวชาญใน "คัมภีร์ห้าห่วง" ของมูซาชิหรือการฝึกความเป็นนักกลยุทธ์ใน ระดับปัจเจก เราไม่จำเป็นต้องฝึกดาบคู่เหมือนอย่างมูซาชิก็ได้ เพราะการฝึกด้วยสองมือเปล่าอย่างมวยไท้เก๊ก (ไท่จี๋ฉวน) ซึ่งเป็น การประยุกต์ภูมิปัญญาเต๋า ในระดับ ปัจเจก น่าจะให้ผลที่ดีกว่ามาก เพราะฉะนั้น บทเสนอ เกี่ยวกับการเดินบนวิถีแห่งกลยุทธ์เชิงบูรณาการของผู้เขียนก็คือ เราควรบูรณาการ "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" และ "คัมภีร์มวยไท้เก๊ก" ของจางซันเฟิง เข้าด้วยกันทั้งในภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยผ่านการบูรณาการการฝึกหมากล้อมกับการฝึกมวยไท้เก๊กเข้าด้วยกัน จนแตกฉานในหลักกลยุทธ์ที่ถ่ายทอดอยู่ใน "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" และ "คัมภีร์มวยไท้เก๊ก" ของปรมาจารย์จางซันเฟิง ด้วยแรงบันดาลใจที่จะใช้ชีวิตแบบยอดนักรบ และยอดนักกลยุทธ์เยี่ยงมูซาชิ เพราะนี่คือ วิถีการใช้ชีวิตที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่คนยุคปัจจุบันสามารถจะทำได้ ถ้าเลือกที่จะทำ ถ้าปรารถนาจะเป็นนักกลยุทธ์ขนานแท้และสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
ในที่นี้ ผู้เขียนจะขอถ่ายทอด เคล็ดคัมภีร์มวยไท้เก๊ก 2 เล่ม ในสายบู๊ตึ๊งของปรมาจารย์จางซันเฟิง ให้เหล่าผู้ศึกษากลยุทธ์ที่เคยอ่าน "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" มาแล้ว หรือเคยอ่าน "คัมภีร์ห้าห่วง" ของมูซาชิมาแล้ว ได้ตระหนักถึง ความจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงหลักกลยุทธ์แบบเต๋า ในระดับ ร่างกาย ด้วย ไม่ใช่แค่ในระดับ สมอง เท่านั้น
คัมภีร์มวยไท้เก๊ก (เล่มที่ 1) ถ่ายทอดโดย ศิษย์สำนักบู๊ตึ๊งที่ชื่อ หวังจงเยว่
(1) สภาวะ "ไท่จี๋" เกิดจากสภาวะ "อู๋จี๋"
ไท่จี๋เป็นบ่อเกิดของสภาวะเคลื่อนไหว และสภาวะสงบนิ่ง
อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของพลังหยิน-หยางอีกด้วย
เมื่อหยินหยางเคลื่อนไหวจะ "แยก" จากกัน
เมื่อหยินหยางหยุดนิ่งจะ "หลอมรวม" กัน
ขยายความ ปราชญ์แห่งเต๋าได้เรียก สภาวะว่างเปล่าไร้ขอบเขต ซึ่งมีมาก่อนโลกมนุษย์จะบังเกิดขึ้น และเป็นสภาวะที่เป็นบ่อเกิดของจักรวาฬ (Kosmos) ว่า "อู๋จี๋" ซึ่งแปลว่าสภาวะดั้งเดิมที่ไม่มีอะไรเลย แต่คำว่า "ไม่มีอะไรเลย" นี้ความจริงอาจมีอะไรก็ได้ เพียงแต่เราไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มาจากไหน แต่เรามั่นใจว่าน่าจะ "มีอะไร" อยู่ในสภาวะ "ไม่มีอะไร" นั้น
ความมีอะไรนั้น ในทัศนะของเต๋าไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะเหตุผลล้วนๆ ความดำรงอยู่ของมันเป็นเพียงแฝงนัย คล้ายกับการที่เราพยายามใช้สายตาค้นหาวัตถุท่ามกลางเมฆหมอก คือ มีรูปแต่ก็ยังไม่ได้ก่อรูป มีร่างแต่ยังไม่ได้ก่อร่าง มันจึงเป็นสภาวะที่เคลือบคลุมสับสน ในทัศนะของเต๋า ปรากฏการณ์ของความไม่มีสิ่งใด (อู๋จี๋) นี้เป็นต้นกำเนิดของทั้งความเคลื่อนไหว และความสงบนิ่งหรือไท่จี๋ หรือหยิน-หยาง (ความเป็นคู่)
(2) ไม่เกินหรือขาด คือไม่เหยียดยื่นมากหรือน้อยเกินไป
ดังนั้น เมื่อโค้งงอแล้วต่อไปก็ต้องเหยียดตรง
ขยายความ การเคลื่อนไหวที่เหยียดยื่นมากเกินไป เป็นสิ่งที่เรียกกันว่า หยางแข็งแรง หยินอ่อนแอ ซึ่งเป็นข้อบกพร่องพอๆ กับการเหยียดยื่นน้อยเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า หยินแข็งแรง หยางอ่อนแอ สภาพที่เป็นธรรมชาติ และพึงปรารถนาคือ การเคลื่อนไหวที่หยิน-หยางได้สมดุล
(3) ถ้าเขาแข็งมา เราต้องอ่อนไหว นี่เรียกว่า การคล้อยตาม เมื่อเราติดตามเขา เราต้องเกาะติดเขา และพยายามทำให้เขาเสียสมดุล นี่เรียกว่า การเกาะติดขยายความ ตามหลักกลยุทธ์แบบเต๋านั้น การที่คนตัวเล็กสามารถเอาชนะคนตัวใหญ่กว่า คนอ่อนแอสามารถเอาชนะคนแข็งแรงกว่า ความอ่อนนิ่มสามารถเอาชนะความแข็งได้ ก็เพราะใช้ หลักคล้อยตาม กับ หลักเกาะติด อย่างได้ผลในการเคลื่อนไหว
(4) เคลื่อนไหวเร็วเมื่อเขาเร็ว เคลื่อนไหวช้าเมื่อเขาช้า
ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงจะมีมากมาย แต่หลักวิชาก็ยังคงเดิม
ขยายความ ตามหลักกลยุทธ์แบบเต๋า ถ้าหากฝ่ายเรามีความคล่องแคล่วยืดหยุ่นแล้ว จะสามารถเผชิญการโจมตีทุกรูปแบบของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบาย ทำให้ดำเนินหลักคล้อยตาม และหลักเกาะติดได้โดยไม่ติดขัด
(5) จากการฝึกจะทำให้ค่อยๆ เข้าใจ "พลังภายใน" ทีละน้อย เมื่อเข้าใจพลังภายในแล้ว ต่อไปก็ย่อมสามารถเข้าถึงภูมิปัญญา และความรู้แจ้งแบบเต๋าได้ แต่ถ้าปราศจากการฝึกฝนที่พากเพียรยาวนาน ก็ไม่อาจเข้าใจมันได้
ขยายความ จะประยุกต์ใช้หลักกลยุทธ์แบบเต๋าได้ คนผู้นั้นจะต้องบ่มเพาะสร้างสรรค์ กลไกแห่งการปล่อยพลังแบบเต๋า ขึ้นมาให้ได้เสียก่อน กระบวนการในการสร้างกลไกอันนี้ กินเวลายาวนาน ต้องใช้ความพากเพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง
(6) พลังแห่งจิตวิญญาณหรือ "เสิน" ต้องดึงให้ขึ้นถึงยอดศีรษะ ส่วนลมปราณหรือ "ชี่" ต้องดึงให้จมลงในจุดตันเถียน
ขยายความ หลักการพัฒนามนุษย์ในระดับปัจเจกแบบเต๋า คือการบูรณาการ จิง หรือพลังทางเพศ ชี่หรือลมปราณ และเสินหรือพลังจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว
(7) จงรักษาท่าทางให้สมดุลอยู่เสมอ คือไม่เอนเอียงไปในทิศทางใดๆ และไม่แสดงความมีหรือไม่มีให้เขาแบ่งแยกได้
เมื่อเขากดดันมาทางซ้าย ทางซ้ายจะต้องกลายเป็น ว่าง
เมื่อเขากดดันมาทางขวา ทางขวาก็จะต้อง ว่าง
ถ้าเขาผลักขึ้นบนหรือฉุดลงล่าง จะต้องให้พบ แต่ความว่างเปล่า
ถ้าเขายืนขึ้น เราจะดูสูงกว่า ถ้าเขาย่อตัวลง เราจะดูต่ำกว่า
เมื่อเขารุกไปข้างหน้า จะต้องทำให้รู้สึกว่าระยะทางไกลอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเขาถอยหลัง จะต้องให้รู้สึกว่า ระยะทางดูใกล้ขึ้นอย่างยิ่ง
การเคลื่อนไหวของเราจะต้องให้เบามาก จนกระทั่งรู้สึกถึงน้ำหนักของขนนก และอ่อนไหวมากจนแมลงวันก็ไม่สามารถเกาะตัวได้
ขยายความ นี่คือ กลยุทธ์ชั้นเลิศสุด หากต้องต่อสู้ในทัศนะของเต๋า
(8) เขาไม่อาจรู้เรา แต่เรารู้เขาฝ่ายเดียว
ผู้ใดสำเร็จหลักการข้อนี้ ก็จะเป็นจอมยุทธ์ที่ไร้เทียมทาน
ขยายความ เป็นหลักการเดียวกับตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่
(9) ในโลกนี้มีวิชาการต่อสู้เป็นจำนวนมาก ที่แม้จะมีรูปแบบกระบวนท่าที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มีหลักการที่คล้ายคลึงกัน คือผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมมีชัยเหนือผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ที่เชื่องช้าต้องยอมจำนนต่อผู้ที่ว่องไวกว่า ผู้ที่มีกำลังย่อมโค่นผู้ที่ไร้กำลัง มือที่เชื่องช้าต้องยอมสยบต่อมือที่ว่องไว ทั้งหมดนี้เป็นผลของสมรรถนะทางร่างกายที่มีมาแต่กำเนิด มิใช่ผลของทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ขยายความ ชัยชนะของผู้ที่ได้เปรียบกว่าต่อผู้ที่เสียเปรียบกว่า มิใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจ เพราะมันมิได้ใช้ศิลปะอะไรในการเอาชนะต่างกับ หลักกลยุทธ์แบบเต๋า ซึ่งเป็นศิลปะแห่งการเอาชนะของผู้ที่อ่่อนแอกว่า และเสียเปรียบกว่า
(10) จากคำกล่าวที่ว่า ใช้แรงสี่ตำลึงปาดแรงพันชั่ง ทำให้เราได้รู้ว่า การมีฝีมือไม่เกี่ยวกับการมีพละกำลัง การที่คนชราคนหนึ่งสามารถเอาชนะกลุ่มคนหนุ่มได้ จะเนื่องมาจากพละกำลังและความว่องไวได้อย่างไร
ขยายความ หลักกลยุทธ์แบบเต๋า เน้นความสำคัญของการฝึกจิตและลมปราณควบคู่ไปกับการฝึกร่างกาย ทำให้สามารถข้ามพ้นข้อจำกัดของร่างกายและอายุขัย
(11) ยามยืนเข้มแข็งดุจตราชู ยามเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเหมือนล้อรถ การจมน้ำหนักที่ข้างใดข้างหนึ่ง จะทำให้การเคลื่อนไหวคล่องตัว แต่ถ้าจมน้ำหนักไปที่สองข้างเท่ากัน ซึ่งเรียกว่า การหนักคู่ การเคลื่อนไหวจะฝืดและเฉื่อยชา
ขยายความ หลักการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์แบบเต๋านั้น เน้นที่ความเป็นทรงกลมที่มั่นคงและคล่องแคล่วได้อย่างเป็นเอกภาพ
(12) ผู้ใดที่ใช้เวลาฝึกฝนหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถสะเทินพลังของผู้อื่นได้ และถูกผู้อื่นควบคุมเสมอย่อมแสดงว่า เขายังไม่เข้าใจข้อบกพร่องของการหนักคู่
ขยายความ หลักการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์แบบเต๋า คือหลักการแปรเปลี่ยนของหยิน-หยาง
(13) เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบกพร่องดังกล่าว ผู้นั้นจะต้องทำความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างหยินกับหยาง เกาะติดกลายเป็นคล้อยตาม และคล้อยตามก็กลายเป็นเกาะติดได้ หยินไม่แยกจากหยาง และหยางก็ไม่แยกจากหยิน เมื่อหยินและหยางเกื้อหนุนกัน ผู้ฝึกก็จะเข้าใจถึงกำลังภายในได้
ขยายความ ในการจะใช้หลักกลยุทธ์แบบเต๋าให้ชำนาญมีความจำเป็นที่ผู้นั้น จะต้องฝึกฝนตนเองจนสามารถเคลื่อนไหวแบบแปรเปลี่ยนหยินหยางได้ดังใจนึก
(14) เมื่อเข้าใจพลังภายใน ( ) แล้ว ผู้ฝึกก็จะยิ่งก้าวหน้าชำนาญยิ่งขึ้น ผู้ฝึกจะเข้าใจถึงความสงบ และมีสัมผัสที่ฉับไว สามารถมีปฏิกิริยาดั่งใจนึก
ขยายความ เป็นระดับที่ผู้ฝึกสามารถเข้าไปในมรรคของ มวยไท้เก๊กได้แล้ว แต่ วิถีแห่งการฝึกฝนเต๋านี้ไม่มีวันจบสิ้น
(15) จงละทิ้งตนเอง อ่อนตามคนอื่น คนส่วนใหญ่ละทิ้งที่ใกล้ เพื่อแสวงหาที่ไกล กล่าวกันว่า "ถึงผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจออกนอกทางไปเป็นพันลี้" ผู้ฝึกฝนจะต้องศึกษาอย่างระมัดระวัง
ขยายความ ความสำเร็จแบบเต๋า นั้น มาจากการละทิ้งอัตตาตัวตนและไร้ตัวตน ถึงจะเป็นความสำเร็จที่แท้และยั่งยืน
(16) ทุกประโยคที่กล่าวมานี้สำคัญมาก และทุกคำพูดสามารถนำไปใช้ได้จริงๆ มีแต่ผู้ที่อุทิศตัวศึกษาเท่านั้น ที่จะเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของมันได้ คัมภีร์มวยไท้เก๊ก (เล่มที่ 2) ถ่ายทอดโดยปรมาจารย์จางซันเฟิง
(1) ทุกๆ การเคลื่อนไหว ร่างกายควรจะ เบา และ คล่อง ผู้ฝึกควรจะรู้สึกเหมือนกับว่า ข้อต่อต่างๆ ของร่างกายเชื่อมโยงกันไปทั่ว
ขยายความ จิต จะต้องเป็นผู้บงการร่างกายให้เคลื่อนไหวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยข้อต่อทุกๆ ข้อต่อในร่างกายจะต้องเชื่อมโยงกัน จึงจะทำให้ร่างกายคล่องแคล่ว เบาและเป็นธรรมชาติ ดุจการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของกระแสน้ำในลำธาร
(2) ลมปราณ (ชี่) จะต้องเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก
พลังจิตวิญญาณ (เสิน) ควรจะรวมศูนย์อยู่ในร่างกาย
ขยายความ กล่าวถึงเคล็ดการฝึกวิชาลมปราณแบบเต๋า ซึ่งมีหลักการฝึกอยู่ 6 ประการคือ
1. การผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
2. รวมพลังจิตเข้ากับพลังปราณ
3. ทำช่วงล่างของลำตัวให้แข็งแรง เต็ม แน่น
4. เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ช้าๆ และมั่นคง
5. ใช้สติติดตามการเคลื่อนไหวของมือ
6. ไม่หักโหมในการฝึก ไม่เคลื่อนไหวอย่างฝืนธรรมชาติ
(3) ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว จงอย่าแสดงความบกพร่องออกมา ทั้งการเปิดช่องโหว่ การยื่นเกะกะไม่เรียบ และความไม่ต่อเนื่อง
ขยายความ ความสำคัญของการเคลื่อนไหวแบบเต๋าก็คือ ความต่อเนื่องไม่ขาดตอน ซึ่งจะทำให้ไม่มีช่องโหว่
(4) พลังภายใน (จิ้ง) ได้มาจากเท้าที่หยั่งราก
ระเบิดออกจากที่ขา ควบคุมโดยเอว และส่งออกไปที่ปลายนิ้วมือ จากเท้าถึงขา จากขาถึงเอว ทั้งหมดควรเคลื่อนไหวเป็นหน่วยเดียวกัน ถ้าทำได้เช่นนี้แล้ว การรุดหน้าถอยหลังจะเป็นไปตามจังหวะเวลาที่ถูกต้อง และมีท่าทางที่ได้เปรียบอยู่เสมอ
ขยายความ กล่าวถึงหลักในการปล่อยพลังแบบเต๋า ซึ่งมีลักษณะเป็นองค์รวม ใช้ร่างกายทุกส่วนอย่างประสานสอดคล้องในการปล่อยพลัง
(5) ถ้าเคลื่อนไหวแล้ว จังหวะเวลาที่ถูกต้อง และท่าทางที่ได้เปรียบไม่เกิดขึ้น แสดงว่า ร่างกายขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ควรแก้ไขที่เอวและขา มันอาจจะไม่แข็งแรงและยืดหยุ่นเพียงพอก็ได้ เมื่อลองเหยียดตัวขึ้น ลดตัวต่ำ โยกไปข้างหน้าย้อนมาข้างหลัง เอี้ยวไปทางซ้ายหันไปทางขวา ก็จะเห็นข้อบกพร่องในเอว ขาได้ชัดเจน
ขยายความ การเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง มาจากการจัดโครงสร้างของร่างกายที่ถูกต้อง หลักกลยุทธ์กับหลักการจัดโครงสร้าง จึงไม่อาจแยกออกจากกันได้
(6) จงใช้จิตสำนึกที่อยู่ภายใน มิใช่ท่าทางที่อยู่ภายนอก
ขยายความ ในหลักกลยุทธ์แบบเต๋า จิตที่ตื่นตัวและเป็นสมาธิ คือ จอมทัพตัวจริง กระบวนท่าเป็นเพียงทางผ่านของจิตชนิดนี้ออกไปใช้งาน
(7) มีบนก็ต้องมีล่าง มีซ้ายก็ต้องมีขวา มีรุดหน้าก็ต้องมีถอยหลัง ถ้าอยากจะยกขึ้นก็ต้องฉุดลงเสียก่อน เหมือนกับจะถอนต้นไม้ จะต้องโน้มมันลงข้างล่างก่อน เพื่อให้รากหลวม มิเช่นนั้นแล้วจะถอนยากมาก
ขยายความ เป็นหลักการเดียวกับตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ และสอดคล้องกับคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงของเล่าจื่อที่กล่าวไว้ว่า "สิ่งที่จะถูกย่นจะต้องถูกยืดมาก่อน สิ่งที่จะถูกทำให้อ่อนแอ จะต้องถูกทำให้แข็งแรงก่อน"
(8) ผู้ฝึกจะต้องแบ่งแยกความมีกับความไม่มี ที่ใดมีความมี ที่นั่นย่อมมีความไม่มี ต้องรู้จักแบ่งแยกเช่นนี้ในทุกๆ เรื่อง
ขยายความ เป็นหลักกลยุทธ์ชั้นสูงของเต๋าที่รู้จักซ่อนเร้นการเคลื่อนไหวชนิดที่มองจากภายนอกไม่ปรากฏการแบ่งแยกความเต็ม ความว่าง หรือความมีความไม่มีให้เห็นชัด แต่ในการฝึกช่วงแรกๆ ผู้ฝึกจะต้องจำแนกความต่างของสองสิ่งนี้ให้ชำนาญเสียก่อน
(9) ร่างกายทั้งหมดเกี่ยวโยงกันด้วยข้อต่อต่างๆ ไม่แสดงการขาดตอนให้เห็น มวยยาวอย่างมวยไท้เก๊ก จึงเป็นดุจแม่น้ำใหญ่ ที่ไหลต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
ขยายความ แก่นแท้แห่งหลักกลยุทธ์ของเต๋าคือ คุณสมบัติของ น้ำ
ผู้เขียนเชื่อว่าสำหรับผู้ที่เคยอ่าน "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" และ "คัมภีร์ห้าห่วง" ของมูซาชิมาแล้ว คงจะเห็น ความเชื่อมโยง และความคล้ายคลึงกันในหลักกลยุทธ์แบบเต๋า ที่ปรากฏอยู่ใน "คัมภีร์มวยไท้เก๊ก" ทั้งสองเล่มของสำนักบู๊ตึ๊งของปรมาจารย์จางซันเฟิงนี้ได้อย่างไม่ยากนัก
ในการจะเดินอยู่บน วิถีแห่งกลยุทธ์เชิงบูรณาการ ในยุคปัจจุบัน เราคงไม่จำเป็นต้องสุ่มเสี่ยงไปจับดาบประลองแบบเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เหมือนกับยุคของมูซาชิอีกต่อไปแล้ว แม้เราไม่จำเป็นต้องเอาอย่างมูซาชิ แต่เราควรเอาเยี่ยงมูซาชิ ในแง่ของการใช้ชีวิตอย่างมีวินัย หมั่นฝึกปรือตนเอง และรักการศึกษาหาความรู้ที่หลากหลายอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่าย
ในทัศนะของผู้เขียน การจะเชี่ยวชาญใน "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" ซึ่งเป็น การประยุกต์ภูมิปัญญาของเต๋า ในระดับ รวมหมู่ นั้น เราสามารถฝึกฝนความเป็นนักกลยุทธ์ใน ระดับรวมหมู่ ได้อย่างดีเลิศได้ ด้วย การฝึกฝนหมากล้อม แต่ถ้าเราจะเชี่ยวชาญใน "คัมภีร์ห้าห่วง" ของมูซาชิหรือการฝึกความเป็นนักกลยุทธ์ใน ระดับปัจเจก เราไม่จำเป็นต้องฝึกดาบคู่เหมือนอย่างมูซาชิก็ได้ เพราะการฝึกด้วยสองมือเปล่าอย่างมวยไท้เก๊ก (ไท่จี๋ฉวน) ซึ่งเป็น การประยุกต์ภูมิปัญญาเต๋า ในระดับ ปัจเจก น่าจะให้ผลที่ดีกว่ามาก เพราะฉะนั้น บทเสนอ เกี่ยวกับการเดินบนวิถีแห่งกลยุทธ์เชิงบูรณาการของผู้เขียนก็คือ เราควรบูรณาการ "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" และ "คัมภีร์มวยไท้เก๊ก" ของจางซันเฟิง เข้าด้วยกันทั้งในภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ โดยผ่านการบูรณาการการฝึกหมากล้อมกับการฝึกมวยไท้เก๊กเข้าด้วยกัน จนแตกฉานในหลักกลยุทธ์ที่ถ่ายทอดอยู่ใน "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" และ "คัมภีร์มวยไท้เก๊ก" ของปรมาจารย์จางซันเฟิง ด้วยแรงบันดาลใจที่จะใช้ชีวิตแบบยอดนักรบ และยอดนักกลยุทธ์เยี่ยงมูซาชิ เพราะนี่คือ วิถีการใช้ชีวิตที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่คนยุคปัจจุบันสามารถจะทำได้ ถ้าเลือกที่จะทำ ถ้าปรารถนาจะเป็นนักกลยุทธ์ขนานแท้และสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
ในที่นี้ ผู้เขียนจะขอถ่ายทอด เคล็ดคัมภีร์มวยไท้เก๊ก 2 เล่ม ในสายบู๊ตึ๊งของปรมาจารย์จางซันเฟิง ให้เหล่าผู้ศึกษากลยุทธ์ที่เคยอ่าน "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" มาแล้ว หรือเคยอ่าน "คัมภีร์ห้าห่วง" ของมูซาชิมาแล้ว ได้ตระหนักถึง ความจำเป็นที่จะต้องเข้าถึงหลักกลยุทธ์แบบเต๋า ในระดับ ร่างกาย ด้วย ไม่ใช่แค่ในระดับ สมอง เท่านั้น
คัมภีร์มวยไท้เก๊ก (เล่มที่ 1) ถ่ายทอดโดย ศิษย์สำนักบู๊ตึ๊งที่ชื่อ หวังจงเยว่
(1) สภาวะ "ไท่จี๋" เกิดจากสภาวะ "อู๋จี๋"
ไท่จี๋เป็นบ่อเกิดของสภาวะเคลื่อนไหว และสภาวะสงบนิ่ง
อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของพลังหยิน-หยางอีกด้วย
เมื่อหยินหยางเคลื่อนไหวจะ "แยก" จากกัน
เมื่อหยินหยางหยุดนิ่งจะ "หลอมรวม" กัน
ขยายความ ปราชญ์แห่งเต๋าได้เรียก สภาวะว่างเปล่าไร้ขอบเขต ซึ่งมีมาก่อนโลกมนุษย์จะบังเกิดขึ้น และเป็นสภาวะที่เป็นบ่อเกิดของจักรวาฬ (Kosmos) ว่า "อู๋จี๋" ซึ่งแปลว่าสภาวะดั้งเดิมที่ไม่มีอะไรเลย แต่คำว่า "ไม่มีอะไรเลย" นี้ความจริงอาจมีอะไรก็ได้ เพียงแต่เราไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มาจากไหน แต่เรามั่นใจว่าน่าจะ "มีอะไร" อยู่ในสภาวะ "ไม่มีอะไร" นั้น
ความมีอะไรนั้น ในทัศนะของเต๋าไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะเหตุผลล้วนๆ ความดำรงอยู่ของมันเป็นเพียงแฝงนัย คล้ายกับการที่เราพยายามใช้สายตาค้นหาวัตถุท่ามกลางเมฆหมอก คือ มีรูปแต่ก็ยังไม่ได้ก่อรูป มีร่างแต่ยังไม่ได้ก่อร่าง มันจึงเป็นสภาวะที่เคลือบคลุมสับสน ในทัศนะของเต๋า ปรากฏการณ์ของความไม่มีสิ่งใด (อู๋จี๋) นี้เป็นต้นกำเนิดของทั้งความเคลื่อนไหว และความสงบนิ่งหรือไท่จี๋ หรือหยิน-หยาง (ความเป็นคู่)
(2) ไม่เกินหรือขาด คือไม่เหยียดยื่นมากหรือน้อยเกินไป
ดังนั้น เมื่อโค้งงอแล้วต่อไปก็ต้องเหยียดตรง
ขยายความ การเคลื่อนไหวที่เหยียดยื่นมากเกินไป เป็นสิ่งที่เรียกกันว่า หยางแข็งแรง หยินอ่อนแอ ซึ่งเป็นข้อบกพร่องพอๆ กับการเหยียดยื่นน้อยเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า หยินแข็งแรง หยางอ่อนแอ สภาพที่เป็นธรรมชาติ และพึงปรารถนาคือ การเคลื่อนไหวที่หยิน-หยางได้สมดุล
(3) ถ้าเขาแข็งมา เราต้องอ่อนไหว นี่เรียกว่า การคล้อยตาม เมื่อเราติดตามเขา เราต้องเกาะติดเขา และพยายามทำให้เขาเสียสมดุล นี่เรียกว่า การเกาะติดขยายความ ตามหลักกลยุทธ์แบบเต๋านั้น การที่คนตัวเล็กสามารถเอาชนะคนตัวใหญ่กว่า คนอ่อนแอสามารถเอาชนะคนแข็งแรงกว่า ความอ่อนนิ่มสามารถเอาชนะความแข็งได้ ก็เพราะใช้ หลักคล้อยตาม กับ หลักเกาะติด อย่างได้ผลในการเคลื่อนไหว
(4) เคลื่อนไหวเร็วเมื่อเขาเร็ว เคลื่อนไหวช้าเมื่อเขาช้า
ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงจะมีมากมาย แต่หลักวิชาก็ยังคงเดิม
ขยายความ ตามหลักกลยุทธ์แบบเต๋า ถ้าหากฝ่ายเรามีความคล่องแคล่วยืดหยุ่นแล้ว จะสามารถเผชิญการโจมตีทุกรูปแบบของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างสบาย ทำให้ดำเนินหลักคล้อยตาม และหลักเกาะติดได้โดยไม่ติดขัด
(5) จากการฝึกจะทำให้ค่อยๆ เข้าใจ "พลังภายใน" ทีละน้อย เมื่อเข้าใจพลังภายในแล้ว ต่อไปก็ย่อมสามารถเข้าถึงภูมิปัญญา และความรู้แจ้งแบบเต๋าได้ แต่ถ้าปราศจากการฝึกฝนที่พากเพียรยาวนาน ก็ไม่อาจเข้าใจมันได้
ขยายความ จะประยุกต์ใช้หลักกลยุทธ์แบบเต๋าได้ คนผู้นั้นจะต้องบ่มเพาะสร้างสรรค์ กลไกแห่งการปล่อยพลังแบบเต๋า ขึ้นมาให้ได้เสียก่อน กระบวนการในการสร้างกลไกอันนี้ กินเวลายาวนาน ต้องใช้ความพากเพียรพยายามอย่างต่อเนื่อง
(6) พลังแห่งจิตวิญญาณหรือ "เสิน" ต้องดึงให้ขึ้นถึงยอดศีรษะ ส่วนลมปราณหรือ "ชี่" ต้องดึงให้จมลงในจุดตันเถียน
ขยายความ หลักการพัฒนามนุษย์ในระดับปัจเจกแบบเต๋า คือการบูรณาการ จิง หรือพลังทางเพศ ชี่หรือลมปราณ และเสินหรือพลังจิตวิญญาณให้เป็นหนึ่งเดียว
(7) จงรักษาท่าทางให้สมดุลอยู่เสมอ คือไม่เอนเอียงไปในทิศทางใดๆ และไม่แสดงความมีหรือไม่มีให้เขาแบ่งแยกได้
เมื่อเขากดดันมาทางซ้าย ทางซ้ายจะต้องกลายเป็น ว่าง
เมื่อเขากดดันมาทางขวา ทางขวาก็จะต้อง ว่าง
ถ้าเขาผลักขึ้นบนหรือฉุดลงล่าง จะต้องให้พบ แต่ความว่างเปล่า
ถ้าเขายืนขึ้น เราจะดูสูงกว่า ถ้าเขาย่อตัวลง เราจะดูต่ำกว่า
เมื่อเขารุกไปข้างหน้า จะต้องทำให้รู้สึกว่าระยะทางไกลอย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อเขาถอยหลัง จะต้องให้รู้สึกว่า ระยะทางดูใกล้ขึ้นอย่างยิ่ง
การเคลื่อนไหวของเราจะต้องให้เบามาก จนกระทั่งรู้สึกถึงน้ำหนักของขนนก และอ่อนไหวมากจนแมลงวันก็ไม่สามารถเกาะตัวได้
ขยายความ นี่คือ กลยุทธ์ชั้นเลิศสุด หากต้องต่อสู้ในทัศนะของเต๋า
(8) เขาไม่อาจรู้เรา แต่เรารู้เขาฝ่ายเดียว
ผู้ใดสำเร็จหลักการข้อนี้ ก็จะเป็นจอมยุทธ์ที่ไร้เทียมทาน
ขยายความ เป็นหลักการเดียวกับตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่
(9) ในโลกนี้มีวิชาการต่อสู้เป็นจำนวนมาก ที่แม้จะมีรูปแบบกระบวนท่าที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มีหลักการที่คล้ายคลึงกัน คือผู้ที่แข็งแรงกว่าย่อมมีชัยเหนือผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ที่เชื่องช้าต้องยอมจำนนต่อผู้ที่ว่องไวกว่า ผู้ที่มีกำลังย่อมโค่นผู้ที่ไร้กำลัง มือที่เชื่องช้าต้องยอมสยบต่อมือที่ว่องไว ทั้งหมดนี้เป็นผลของสมรรถนะทางร่างกายที่มีมาแต่กำเนิด มิใช่ผลของทักษะที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
ขยายความ ชัยชนะของผู้ที่ได้เปรียบกว่าต่อผู้ที่เสียเปรียบกว่า มิใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจ เพราะมันมิได้ใช้ศิลปะอะไรในการเอาชนะต่างกับ หลักกลยุทธ์แบบเต๋า ซึ่งเป็นศิลปะแห่งการเอาชนะของผู้ที่อ่่อนแอกว่า และเสียเปรียบกว่า
(10) จากคำกล่าวที่ว่า ใช้แรงสี่ตำลึงปาดแรงพันชั่ง ทำให้เราได้รู้ว่า การมีฝีมือไม่เกี่ยวกับการมีพละกำลัง การที่คนชราคนหนึ่งสามารถเอาชนะกลุ่มคนหนุ่มได้ จะเนื่องมาจากพละกำลังและความว่องไวได้อย่างไร
ขยายความ หลักกลยุทธ์แบบเต๋า เน้นความสำคัญของการฝึกจิตและลมปราณควบคู่ไปกับการฝึกร่างกาย ทำให้สามารถข้ามพ้นข้อจำกัดของร่างกายและอายุขัย
(11) ยามยืนเข้มแข็งดุจตราชู ยามเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเหมือนล้อรถ การจมน้ำหนักที่ข้างใดข้างหนึ่ง จะทำให้การเคลื่อนไหวคล่องตัว แต่ถ้าจมน้ำหนักไปที่สองข้างเท่ากัน ซึ่งเรียกว่า การหนักคู่ การเคลื่อนไหวจะฝืดและเฉื่อยชา
ขยายความ หลักการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์แบบเต๋านั้น เน้นที่ความเป็นทรงกลมที่มั่นคงและคล่องแคล่วได้อย่างเป็นเอกภาพ
(12) ผู้ใดที่ใช้เวลาฝึกฝนหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถสะเทินพลังของผู้อื่นได้ และถูกผู้อื่นควบคุมเสมอย่อมแสดงว่า เขายังไม่เข้าใจข้อบกพร่องของการหนักคู่
ขยายความ หลักการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์แบบเต๋า คือหลักการแปรเปลี่ยนของหยิน-หยาง
(13) เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบกพร่องดังกล่าว ผู้นั้นจะต้องทำความเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างหยินกับหยาง เกาะติดกลายเป็นคล้อยตาม และคล้อยตามก็กลายเป็นเกาะติดได้ หยินไม่แยกจากหยาง และหยางก็ไม่แยกจากหยิน เมื่อหยินและหยางเกื้อหนุนกัน ผู้ฝึกก็จะเข้าใจถึงกำลังภายในได้
ขยายความ ในการจะใช้หลักกลยุทธ์แบบเต๋าให้ชำนาญมีความจำเป็นที่ผู้นั้น จะต้องฝึกฝนตนเองจนสามารถเคลื่อนไหวแบบแปรเปลี่ยนหยินหยางได้ดังใจนึก
(14) เมื่อเข้าใจพลังภายใน ( ) แล้ว ผู้ฝึกก็จะยิ่งก้าวหน้าชำนาญยิ่งขึ้น ผู้ฝึกจะเข้าใจถึงความสงบ และมีสัมผัสที่ฉับไว สามารถมีปฏิกิริยาดั่งใจนึก
ขยายความ เป็นระดับที่ผู้ฝึกสามารถเข้าไปในมรรคของ มวยไท้เก๊กได้แล้ว แต่ วิถีแห่งการฝึกฝนเต๋านี้ไม่มีวันจบสิ้น
(15) จงละทิ้งตนเอง อ่อนตามคนอื่น คนส่วนใหญ่ละทิ้งที่ใกล้ เพื่อแสวงหาที่ไกล กล่าวกันว่า "ถึงผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจออกนอกทางไปเป็นพันลี้" ผู้ฝึกฝนจะต้องศึกษาอย่างระมัดระวัง
ขยายความ ความสำเร็จแบบเต๋า นั้น มาจากการละทิ้งอัตตาตัวตนและไร้ตัวตน ถึงจะเป็นความสำเร็จที่แท้และยั่งยืน
(16) ทุกประโยคที่กล่าวมานี้สำคัญมาก และทุกคำพูดสามารถนำไปใช้ได้จริงๆ มีแต่ผู้ที่อุทิศตัวศึกษาเท่านั้น ที่จะเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของมันได้ คัมภีร์มวยไท้เก๊ก (เล่มที่ 2) ถ่ายทอดโดยปรมาจารย์จางซันเฟิง
(1) ทุกๆ การเคลื่อนไหว ร่างกายควรจะ เบา และ คล่อง ผู้ฝึกควรจะรู้สึกเหมือนกับว่า ข้อต่อต่างๆ ของร่างกายเชื่อมโยงกันไปทั่ว
ขยายความ จิต จะต้องเป็นผู้บงการร่างกายให้เคลื่อนไหวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยข้อต่อทุกๆ ข้อต่อในร่างกายจะต้องเชื่อมโยงกัน จึงจะทำให้ร่างกายคล่องแคล่ว เบาและเป็นธรรมชาติ ดุจการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของกระแสน้ำในลำธาร
(2) ลมปราณ (ชี่) จะต้องเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก
พลังจิตวิญญาณ (เสิน) ควรจะรวมศูนย์อยู่ในร่างกาย
ขยายความ กล่าวถึงเคล็ดการฝึกวิชาลมปราณแบบเต๋า ซึ่งมีหลักการฝึกอยู่ 6 ประการคือ
1. การผ่อนคลายทั้งร่างกายและจิตใจ
2. รวมพลังจิตเข้ากับพลังปราณ
3. ทำช่วงล่างของลำตัวให้แข็งแรง เต็ม แน่น
4. เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ ช้าๆ และมั่นคง
5. ใช้สติติดตามการเคลื่อนไหวของมือ
6. ไม่หักโหมในการฝึก ไม่เคลื่อนไหวอย่างฝืนธรรมชาติ
(3) ทุกครั้งที่เคลื่อนไหว จงอย่าแสดงความบกพร่องออกมา ทั้งการเปิดช่องโหว่ การยื่นเกะกะไม่เรียบ และความไม่ต่อเนื่อง
ขยายความ ความสำคัญของการเคลื่อนไหวแบบเต๋าก็คือ ความต่อเนื่องไม่ขาดตอน ซึ่งจะทำให้ไม่มีช่องโหว่
(4) พลังภายใน (จิ้ง) ได้มาจากเท้าที่หยั่งราก
ระเบิดออกจากที่ขา ควบคุมโดยเอว และส่งออกไปที่ปลายนิ้วมือ จากเท้าถึงขา จากขาถึงเอว ทั้งหมดควรเคลื่อนไหวเป็นหน่วยเดียวกัน ถ้าทำได้เช่นนี้แล้ว การรุดหน้าถอยหลังจะเป็นไปตามจังหวะเวลาที่ถูกต้อง และมีท่าทางที่ได้เปรียบอยู่เสมอ
ขยายความ กล่าวถึงหลักในการปล่อยพลังแบบเต๋า ซึ่งมีลักษณะเป็นองค์รวม ใช้ร่างกายทุกส่วนอย่างประสานสอดคล้องในการปล่อยพลัง
(5) ถ้าเคลื่อนไหวแล้ว จังหวะเวลาที่ถูกต้อง และท่าทางที่ได้เปรียบไม่เกิดขึ้น แสดงว่า ร่างกายขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ควรแก้ไขที่เอวและขา มันอาจจะไม่แข็งแรงและยืดหยุ่นเพียงพอก็ได้ เมื่อลองเหยียดตัวขึ้น ลดตัวต่ำ โยกไปข้างหน้าย้อนมาข้างหลัง เอี้ยวไปทางซ้ายหันไปทางขวา ก็จะเห็นข้อบกพร่องในเอว ขาได้ชัดเจน
ขยายความ การเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง มาจากการจัดโครงสร้างของร่างกายที่ถูกต้อง หลักกลยุทธ์กับหลักการจัดโครงสร้าง จึงไม่อาจแยกออกจากกันได้
(6) จงใช้จิตสำนึกที่อยู่ภายใน มิใช่ท่าทางที่อยู่ภายนอก
ขยายความ ในหลักกลยุทธ์แบบเต๋า จิตที่ตื่นตัวและเป็นสมาธิ คือ จอมทัพตัวจริง กระบวนท่าเป็นเพียงทางผ่านของจิตชนิดนี้ออกไปใช้งาน
(7) มีบนก็ต้องมีล่าง มีซ้ายก็ต้องมีขวา มีรุดหน้าก็ต้องมีถอยหลัง ถ้าอยากจะยกขึ้นก็ต้องฉุดลงเสียก่อน เหมือนกับจะถอนต้นไม้ จะต้องโน้มมันลงข้างล่างก่อน เพื่อให้รากหลวม มิเช่นนั้นแล้วจะถอนยากมาก
ขยายความ เป็นหลักการเดียวกับตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ และสอดคล้องกับคัมภีร์เต๋าเต๋อจิงของเล่าจื่อที่กล่าวไว้ว่า "สิ่งที่จะถูกย่นจะต้องถูกยืดมาก่อน สิ่งที่จะถูกทำให้อ่อนแอ จะต้องถูกทำให้แข็งแรงก่อน"
(8) ผู้ฝึกจะต้องแบ่งแยกความมีกับความไม่มี ที่ใดมีความมี ที่นั่นย่อมมีความไม่มี ต้องรู้จักแบ่งแยกเช่นนี้ในทุกๆ เรื่อง
ขยายความ เป็นหลักกลยุทธ์ชั้นสูงของเต๋าที่รู้จักซ่อนเร้นการเคลื่อนไหวชนิดที่มองจากภายนอกไม่ปรากฏการแบ่งแยกความเต็ม ความว่าง หรือความมีความไม่มีให้เห็นชัด แต่ในการฝึกช่วงแรกๆ ผู้ฝึกจะต้องจำแนกความต่างของสองสิ่งนี้ให้ชำนาญเสียก่อน
(9) ร่างกายทั้งหมดเกี่ยวโยงกันด้วยข้อต่อต่างๆ ไม่แสดงการขาดตอนให้เห็น มวยยาวอย่างมวยไท้เก๊ก จึงเป็นดุจแม่น้ำใหญ่ ที่ไหลต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน
ขยายความ แก่นแท้แห่งหลักกลยุทธ์ของเต๋าคือ คุณสมบัติของ น้ำ
ผู้เขียนเชื่อว่าสำหรับผู้ที่เคยอ่าน "ตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่" และ "คัมภีร์ห้าห่วง" ของมูซาชิมาแล้ว คงจะเห็น ความเชื่อมโยง และความคล้ายคลึงกันในหลักกลยุทธ์แบบเต๋า ที่ปรากฏอยู่ใน "คัมภีร์มวยไท้เก๊ก" ทั้งสองเล่มของสำนักบู๊ตึ๊งของปรมาจารย์จางซันเฟิงนี้ได้อย่างไม่ยากนัก