xs
xsm
sm
md
lg

NABEเชื่อศก.มะกันปีนี้ชะลอตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รอยเตอร์/agencies – ผลสำรวจระบุ ภาคธุรกิจสหรัฐฯปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ แต่เชื่อว่าภาวะเงินเฟ้อที่ทะยานขึ้นจะกระตุ้นให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป

รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจของสมาคมนักเศรษฐศาสตร์เอกชนแห่งชาติ (เอ็นเอบีอี) ซึ่งสำรวจจากความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 50 คนเปิดเผยวานนี้ (23) ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งวัดโดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2005 จะอยู่ที่ 3.4% ลดลงจากการคาดการณ์ครั้งที่ 3.6%

การปรับลดคาดการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความเชื่อของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ที่ว่า การค้าของสหรัฐฯจะเลวร้ายลง โดยปัจจัยสำคัญมาจากการคาดการณ์ว่ายอดส่งออกสุทธิจะลดลง ประกอบกับดอลลาร์อ่อนตัวราว 3.8%

ทั้งนี้ ยอดขาดดุลการค้าแดนอินทรี ซึ่งถ่างกว้างเป็นประวัติการณ์ถึง 617,000 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว กลายเป็นประเด็นที่อ่อนไหวทางการเมืองสำหรับรัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช

คาร์ล แทนเนนโบม ประธานคณะสำรวจและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของลาซัลเล แบงก์ในชิคาโกให้สัมภาษณ์ว่า “การปรับลดคาดการณ์จีดีพีปี 2005 ของเอ็นเอบีอี เป็นผลจากการคาดการณ์ยอดขาดดุลการค้าที่โป่งพองมากขึ้นเป็น 662,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้”

อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจขยายตัวในอัตรา 3.4% ตามที่คาดไว้ ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล พร้อมเสริมว่า “บรรดานักเศรษฐศาสตร์ของเรายังคิดว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังดำเนินไปด้วยดี”

แทนเนนโบมกล่าวอีกว่า “เอ็นเอบีอีมองว่า จะมีภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้นซึ่งจะทำให้ธนาคารกลาง (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนแตะที่ 4% ภายในต้นปีหน้า”

ทั้งนี้ผลสำรวจทำนายว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งไม่รวมอาหารและพลังงาน ในปี 2005 จะเพิ่มขึ้น 2.5% สูงกว่าการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 2.3%

นอกจากนี้เอ็นเอบีอีมองว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าว เพียงพอที่จะทำให้การจ้างงานดีขึ้น ทั้งนี้เหล่านักเศรษฐศาสตร์คาดว่า อัตราการว่างงานซึ่งเฉลี่ยที่ 5.5% เมื่อปีก่อน จะดิ่งลงเหลือ 5.2% ในปีนี้

ขณะเดียวกัน ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยจะทะยานขึ้นอย่างมากจากปี 2004 เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ชะลอตัวลง เอ็นเอบีอีระบุอีกว่า “เนื่องจากเป็นที่คาดกันว่าผลตอบแทนต่อชั่วโมงในปีนี้จะเพิ่ม 4.2% ต้นทุนแรงงานอาจกลายเป็นแรงกดดันให้ภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น”
กำลังโหลดความคิดเห็น