เอเอฟพี/รอยเตอร์ – ผลสำรวจของเจดี พาวเวอร์ระบุ โตโยต้าและจีเอ็มกวาดเรียบอันดับ 1 แบรนด์รถรุ่นต่างๆ ที่มีคุณภาพมากที่สุดในตลาดอเมริกาเหนือ 10 รุ่นและ 5 รุ่นตามลำดับในการสำรวจรถทั้งหมด 18 ประเภท
เมื่อวันพุธ (18) เจดี พาวเวอร์ แอนด์ แอสโซซิเอตส์ เผยผลสำรวจคุณภาพรถประจำปี หรือ 2005 อินนิเชียล ควอลิตี้ สดัตดี้” ซึ่งสำรวจจากผู้ซื้อและผู้เช่ารถยนต์และรถบรรทุกรุ่นปี 2005 จำนวน 62,000 คน โดยตรวจสอบจากรถ 135 รุ่นตลอดการใช้งาน 90 วันแรก พบว่า เล็กซัส เอสซี 430 จากโตโยต้าเป็นรถที่มีแต้มสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในการสำรวจเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งมีปัญหาการใช้รถเพียง 54 รายการต่อรถ 100 คัน
อันดับ 2 คือ แบรนด์จากัวร์จากฟอร์ด มอเตอร์ที่มีปัญหา 88 รายการต่อรถ 100 คัน และอันดับ 3 คือ แบรนด์รถจากบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งมีปัญหา 95 รายการ
ด้านรถจากเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ที่ครองอันดับ 4 คือ บูอิก ซึ่งมีปัญหา 100 รายการ ขณะที่แบรนด์เมอร์ซีเดสของเดมเลอร์ ไครสเลอร์ ครองอันดับ 5 โดยมีปัญหา 104 รายการต่อรถ 100 คัน
นอกจากนี้ รถฮัมเมอร์ของจีเอ็มถือว่ามีการพัฒนาขึ้นอย่างมากจากการสำรวจปี 2004 โดยสามารถถีบตัวจากรถรุ่นที่มีคะแนนต่ำสุดมาอยู่ที่อันดับ 10 ร่วมกับรถของฮุนได มอเตอร์จากแดนโสมขาว โดยมีปัญหา 110 รายการต่อรถ 100 คัน ลดลง 36% จาก 173 รายการในปีที่ผ่านมา
ชานซ์ ปาร์กเกอร์ ผู้อำนวยการการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์และการวิจัยจากเจดี พาวเวอร์ ชี้ว่า “เมื่อก่อน มีการพูดกันมากถึงคุณภาพระดับต่ำของรถฮัมเมอร์ของจีเอ็ม เรื่องประสิทธิภาพการใช้พลังงาน” พร้อมเสริมว่า “ผลสรุปในปีนี้บ่งชัดว่า ผู้ผลิตตรวจสอบปัญหาที่ลูกค้าพบและแก้ไขมัน”
อย่างไรก็ตาม รถเชฟโรเลต, ปอนเตียก, ซาบ และแบรนด์อื่นๆทั้งหมดของจีเอ็มได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยในการสำรวจครั้งนี้
ด้านนิสสันมีผลงานดีขึ้นมากเช่นกันในปีนี้ โดยรถมินิแวนนิสสัน เควสต์ เป็นรถรุ่นที่มีการพัฒนาขึ้นมากที่สุด โดยมีปัญหา 104 รายการต่อรถ 100 คัน นอกจากนี้รถรุ่นอื่นๆ ที่ปรับปรุงขึ้นมากเช่นกันได้แก่ รถเกีย สเปคตราจากเกาหลีใต้ และไซออน เอ็กซ์เอ รถรุ่นใหม่จากโตโยต้า
นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยโดยรวมของปัญหาการใช้รถในอุตสาหกรรมอยู่ที่ 118 รายการต่อรถ 100 คัน ทะยานขึ้นมากเมื่อเทียบกับผลการสำรวจเมื่อ 5 ปีก่อนที่ 154 รายการ
กระนั้นก็ดี ปาร์กเกอร์ เตือนว่า “การแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์รุนแรงขึ้นทุกขณะ แม้ผลสำรวจปี้นี้บ่งชี้ถึงความมีเสถียรภาพมากขึ้นของคุณภาพรถ แต่บรรดาผู้ผลิตก็ไม่ควรชะล่าใจ มิฉะนั้นอาจล้าหลังบริษัทอื่นๆ”
อนึ่ง การสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตัดสินกว้างๆ จากปัญหาด้านคุณภาพรถ 9 ประเภท อาทิ การขับขี่ เสถียรภาพการบังคับรถ การเบรก เครื่องยนต์ และระบบเกียร์
เมื่อวันพุธ (18) เจดี พาวเวอร์ แอนด์ แอสโซซิเอตส์ เผยผลสำรวจคุณภาพรถประจำปี หรือ 2005 อินนิเชียล ควอลิตี้ สดัตดี้” ซึ่งสำรวจจากผู้ซื้อและผู้เช่ารถยนต์และรถบรรทุกรุ่นปี 2005 จำนวน 62,000 คน โดยตรวจสอบจากรถ 135 รุ่นตลอดการใช้งาน 90 วันแรก พบว่า เล็กซัส เอสซี 430 จากโตโยต้าเป็นรถที่มีแต้มสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในการสำรวจเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งมีปัญหาการใช้รถเพียง 54 รายการต่อรถ 100 คัน
อันดับ 2 คือ แบรนด์จากัวร์จากฟอร์ด มอเตอร์ที่มีปัญหา 88 รายการต่อรถ 100 คัน และอันดับ 3 คือ แบรนด์รถจากบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งมีปัญหา 95 รายการ
ด้านรถจากเจเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ที่ครองอันดับ 4 คือ บูอิก ซึ่งมีปัญหา 100 รายการ ขณะที่แบรนด์เมอร์ซีเดสของเดมเลอร์ ไครสเลอร์ ครองอันดับ 5 โดยมีปัญหา 104 รายการต่อรถ 100 คัน
นอกจากนี้ รถฮัมเมอร์ของจีเอ็มถือว่ามีการพัฒนาขึ้นอย่างมากจากการสำรวจปี 2004 โดยสามารถถีบตัวจากรถรุ่นที่มีคะแนนต่ำสุดมาอยู่ที่อันดับ 10 ร่วมกับรถของฮุนได มอเตอร์จากแดนโสมขาว โดยมีปัญหา 110 รายการต่อรถ 100 คัน ลดลง 36% จาก 173 รายการในปีที่ผ่านมา
ชานซ์ ปาร์กเกอร์ ผู้อำนวยการการวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์และการวิจัยจากเจดี พาวเวอร์ ชี้ว่า “เมื่อก่อน มีการพูดกันมากถึงคุณภาพระดับต่ำของรถฮัมเมอร์ของจีเอ็ม เรื่องประสิทธิภาพการใช้พลังงาน” พร้อมเสริมว่า “ผลสรุปในปีนี้บ่งชัดว่า ผู้ผลิตตรวจสอบปัญหาที่ลูกค้าพบและแก้ไขมัน”
อย่างไรก็ตาม รถเชฟโรเลต, ปอนเตียก, ซาบ และแบรนด์อื่นๆทั้งหมดของจีเอ็มได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยในการสำรวจครั้งนี้
ด้านนิสสันมีผลงานดีขึ้นมากเช่นกันในปีนี้ โดยรถมินิแวนนิสสัน เควสต์ เป็นรถรุ่นที่มีการพัฒนาขึ้นมากที่สุด โดยมีปัญหา 104 รายการต่อรถ 100 คัน นอกจากนี้รถรุ่นอื่นๆ ที่ปรับปรุงขึ้นมากเช่นกันได้แก่ รถเกีย สเปคตราจากเกาหลีใต้ และไซออน เอ็กซ์เอ รถรุ่นใหม่จากโตโยต้า
นอกจากนี้ ค่าเฉลี่ยโดยรวมของปัญหาการใช้รถในอุตสาหกรรมอยู่ที่ 118 รายการต่อรถ 100 คัน ทะยานขึ้นมากเมื่อเทียบกับผลการสำรวจเมื่อ 5 ปีก่อนที่ 154 รายการ
กระนั้นก็ดี ปาร์กเกอร์ เตือนว่า “การแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์รุนแรงขึ้นทุกขณะ แม้ผลสำรวจปี้นี้บ่งชี้ถึงความมีเสถียรภาพมากขึ้นของคุณภาพรถ แต่บรรดาผู้ผลิตก็ไม่ควรชะล่าใจ มิฉะนั้นอาจล้าหลังบริษัทอื่นๆ”
อนึ่ง การสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตัดสินกว้างๆ จากปัญหาด้านคุณภาพรถ 9 ประเภท อาทิ การขับขี่ เสถียรภาพการบังคับรถ การเบรก เครื่องยนต์ และระบบเกียร์