เอเอฟพี/บีบีซี/รอยเตอร์ – ศาลสั่งมอร์แกน สแตนเลย์จ่ายค่าเสียหายบิ๊กเรฟลอนกว่า 1,400 ล้านดอลลาร์ หลังพบวาณิชธนกิจชื่อดังแห่งวอลล์สตรีท สมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงนักลงทุนขาใหญ่ ขณะเดียวกัน มอร์แกน สแตนเลย์สั่งล้อมคอก เพิ่มเงื่อนไขถอนโฆษณาจากสิ่งพิมพ์ในฉบับที่ลงบทความในทางลบกับบริษัท
วันพุธที่ผ่านมา (18) ศาลฟลอริดามีคำสั่งให้มอร์แกน สแตนเลย์จ่ายค่าเสียหายเพิ่มอีก 850 ล้านดอลลาร์ จากคำสั่งเดิมเมื่อต้นสัปดาห์ 604 ล้านดอลลาร์ โทษฐานที่วาณิชธนกิจอเมริกันแห่งนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่เกี่ยวเนื่องกับสัญญาในปี 1998 ซึ่งรอน เพิร์ลแมน ประธานกรรมการบริษัทเครื่องสำอางชื่อก้องโลก เรฟลอน ตกลงขายหุ้นใหญ่ในโคลแมนในวงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ให้ซันบีม
ทว่า หนึ่งเดือนถัดมา ซันบีมเริ่มประสบปัญหาหลายอย่าง กระทั่งต้องแจ้งล้มละลายในปี 2001 หลังถูกตรวจพบว่ามีการแต่งบัญชี
เพิร์ลแมน มหาเศรษฐีอันดับที่ 103 ของโลกจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ซึ่งฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,800 ล้านดอลลาร์ กล่าวหาว่ามอร์แกน สแตนเลย์มีบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษาของซันบีม ในการดึงตนไปหาบริษัทดังกล่าว โดยภายหลังทำข้อตกลงขายโคลแมน เพิร์ลแมนได้หุ้นซันบีมมากว่า 14 ล้านหุ้น ที่ในภายหลังกลายเป็นหุ้นที่ไม่มีค่าจากกรณีการแต่งบัญชีดังกล่าว
ด้านทนายความของมอร์แกน สแตนเลย์แย้งว่า นอกเหนือจากหุ้นซันบีม เพิร์ลแมนได้เงินไปแล้ว 160 ล้านดอลลาร์ ทั้งยังยืนยันว่า ลูกความของตนไม่ระแคะระคายปัญหาของซันบีม
ฟิลิป เพอร์เซลล์ ประธานบริหารมอร์แกน สแตนเลย์ วิพากษ์ว่า คำตัดสินครั้งนี้ไม่เป็นธรรมกับพนักงานและผู้ถือหุ้นของบริษัท และบริษัทจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป
ทางฝ่ายนักวิเคราะห์ด้านกฎหมายมองว่า ที่สุดแล้วกรณีนี้ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ววงการวาณิชธนกิจนั้น จะตอกย้ำความล้มเหลวของมอร์แกน สแตนเลย์ในการรักษาชื่อเสียงและผลงานในอดีต
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่แห่งนี้ตัดสินใจเพิ่มเงื่อนไขในการลงโฆษณา หากพบว่าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารนั้นๆ ลงบทความในทางลบกับบริษัท
ภายใต้นโยบายดังกล่าว มอร์แกน สแตนเลย์ต้องการให้ผู้ตีพิมพ์ที่เตรียมตีพิมพ์บทความที่กล่าวถึงบริษัทในทางลบ แจ้งให้เอเยนซี่โฆษณาของบริษัททราบก่อน ซึ่งหากจำเป็นก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย แต่หากบทความดังกล่าวถูกตีพิมพ์ออกไปหลังเวลาทำการหรือหลังจากไม่สามารถติดต่อกับเอเยนซีโฆษณาได้ บริษัทมีสิทธิ์เลื่อนการลงโฆษณาออกไปโดยอัตโนมัติอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ข้อเรียกร้องของมอร์แกน สแตนเลย์ที่มีไปยังหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลในเครือดาวโจนส์ แอนด์ โค., หนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์ในเครือแกนเน็ต และหนังสือพิมพ์และนิตยสารชั้นนำอีกหลายฉบับนั้น มีขึ้นขณะที่บริษัทกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้ถือหุ้นและอดีตผู้บริหารบริษัท ว่ามีผลงานตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการรวมพลังกันขับไล่เพอร์เซล ออกจากตำแหน่งประธานบริหาร
อย่างไรก็ดี โฆษกของสตาร์คอม ยูเอสเอ ในเครือพับลิซีส์ กรุ๊ป ที่ดูแลเรื่องโฆษณาให้มอร์แกน สแตนเลย์ ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ ขณะที่โฆษกของมอร์แกน สแตนเลย์ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
ส่วนที่ปรึกษาด้านสื่อเห็นด้วยว่าข้อเรียกร้องของมอร์แกน สแตนเลย์เป็นเรื่องปกติ แต่ขณะเดียวกัน ก็ตั้งข้อสังเกตว่า แผนกโฆษณากับแผนกข่าวมีการทำงานแยกจากกัน และว่าบริษัทต่างๆ อาจคิดผิด หากกำหนดนโยบายการลงโฆษณาโดยอิงกับบทความแง่บวกหรือลบในสื่อต่างๆ เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของการโฆษณาคือ การเข้าถึงผู้อ่านที่มีวิจารณญาณ
วันพุธที่ผ่านมา (18) ศาลฟลอริดามีคำสั่งให้มอร์แกน สแตนเลย์จ่ายค่าเสียหายเพิ่มอีก 850 ล้านดอลลาร์ จากคำสั่งเดิมเมื่อต้นสัปดาห์ 604 ล้านดอลลาร์ โทษฐานที่วาณิชธนกิจอเมริกันแห่งนี้มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่เกี่ยวเนื่องกับสัญญาในปี 1998 ซึ่งรอน เพิร์ลแมน ประธานกรรมการบริษัทเครื่องสำอางชื่อก้องโลก เรฟลอน ตกลงขายหุ้นใหญ่ในโคลแมนในวงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์ให้ซันบีม
ทว่า หนึ่งเดือนถัดมา ซันบีมเริ่มประสบปัญหาหลายอย่าง กระทั่งต้องแจ้งล้มละลายในปี 2001 หลังถูกตรวจพบว่ามีการแต่งบัญชี
เพิร์ลแมน มหาเศรษฐีอันดับที่ 103 ของโลกจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ซึ่งฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,800 ล้านดอลลาร์ กล่าวหาว่ามอร์แกน สแตนเลย์มีบทบาทสำคัญในฐานะที่ปรึกษาของซันบีม ในการดึงตนไปหาบริษัทดังกล่าว โดยภายหลังทำข้อตกลงขายโคลแมน เพิร์ลแมนได้หุ้นซันบีมมากว่า 14 ล้านหุ้น ที่ในภายหลังกลายเป็นหุ้นที่ไม่มีค่าจากกรณีการแต่งบัญชีดังกล่าว
ด้านทนายความของมอร์แกน สแตนเลย์แย้งว่า นอกเหนือจากหุ้นซันบีม เพิร์ลแมนได้เงินไปแล้ว 160 ล้านดอลลาร์ ทั้งยังยืนยันว่า ลูกความของตนไม่ระแคะระคายปัญหาของซันบีม
ฟิลิป เพอร์เซลล์ ประธานบริหารมอร์แกน สแตนเลย์ วิพากษ์ว่า คำตัดสินครั้งนี้ไม่เป็นธรรมกับพนักงานและผู้ถือหุ้นของบริษัท และบริษัทจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป
ทางฝ่ายนักวิเคราะห์ด้านกฎหมายมองว่า ที่สุดแล้วกรณีนี้ ซึ่งสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ววงการวาณิชธนกิจนั้น จะตอกย้ำความล้มเหลวของมอร์แกน สแตนเลย์ในการรักษาชื่อเสียงและผลงานในอดีต
ขณะเดียวกัน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่แห่งนี้ตัดสินใจเพิ่มเงื่อนไขในการลงโฆษณา หากพบว่าหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารนั้นๆ ลงบทความในทางลบกับบริษัท
ภายใต้นโยบายดังกล่าว มอร์แกน สแตนเลย์ต้องการให้ผู้ตีพิมพ์ที่เตรียมตีพิมพ์บทความที่กล่าวถึงบริษัทในทางลบ แจ้งให้เอเยนซี่โฆษณาของบริษัททราบก่อน ซึ่งหากจำเป็นก็อาจมีการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย แต่หากบทความดังกล่าวถูกตีพิมพ์ออกไปหลังเวลาทำการหรือหลังจากไม่สามารถติดต่อกับเอเยนซีโฆษณาได้ บริษัทมีสิทธิ์เลื่อนการลงโฆษณาออกไปโดยอัตโนมัติอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ข้อเรียกร้องของมอร์แกน สแตนเลย์ที่มีไปยังหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัลในเครือดาวโจนส์ แอนด์ โค., หนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์ในเครือแกนเน็ต และหนังสือพิมพ์และนิตยสารชั้นนำอีกหลายฉบับนั้น มีขึ้นขณะที่บริษัทกำลังถูกวิจารณ์อย่างหนักจากผู้ถือหุ้นและอดีตผู้บริหารบริษัท ว่ามีผลงานตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการรวมพลังกันขับไล่เพอร์เซล ออกจากตำแหน่งประธานบริหาร
อย่างไรก็ดี โฆษกของสตาร์คอม ยูเอสเอ ในเครือพับลิซีส์ กรุ๊ป ที่ดูแลเรื่องโฆษณาให้มอร์แกน สแตนเลย์ ยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ ขณะที่โฆษกของมอร์แกน สแตนเลย์ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
ส่วนที่ปรึกษาด้านสื่อเห็นด้วยว่าข้อเรียกร้องของมอร์แกน สแตนเลย์เป็นเรื่องปกติ แต่ขณะเดียวกัน ก็ตั้งข้อสังเกตว่า แผนกโฆษณากับแผนกข่าวมีการทำงานแยกจากกัน และว่าบริษัทต่างๆ อาจคิดผิด หากกำหนดนโยบายการลงโฆษณาโดยอิงกับบทความแง่บวกหรือลบในสื่อต่างๆ เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของการโฆษณาคือ การเข้าถึงผู้อ่านที่มีวิจารณญาณ