เอเอฟพี/รอยเตอร์ – เศรษฐกิจญี่ปุ่นไตรมาสแรกขยายตัวสูงสุดนับจากไตรมาสแรกของปี 2004 ด้วยแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและบริษัทที่เพิ่มสูงช่วยชดเชยการชะลอตัวในภาคการส่งออก ขณะที่แดนลอดช่องปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตปีนี้ หลังจากที่เศรษฐกิจไตรมาสแรกชะลอตัว
สำนักคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเผยวานนี้ (17) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกอยู่ที่ 1.3% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือคิดเป็น 5.3% ต่อปี ขณะที่ตลาดคาดไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 0.6% หรือคิดเป็น 2.5% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเติบโตในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 0.01% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 0.1% กล่าวได้ว่า เศรษฐกิจแดนปลาดิบไตรมาส 2 และ 3 ของปีก่อนอยู่ในภาวะถดถอย
รายงานระบุอีกว่า การบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 1.2% จากที่ร่วงลงไป 0.4% ในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน เนื่องจากภัยธรรมชาติส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ขณะที่การใช้จ่ายภาคบริษัทดีดตัวขึ้น 2% หลังจากก่อนหน้านี้ลดลง 0.2%
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของภาคการส่งออกซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะเฉื่อยชาเมื่อ 10 ปีก่อน กลับดิ่งลง 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.4% ในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน
ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์บางรายชี้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจชะลอตัวลงในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังและการใช้จ่ายภาคเอกชนที่แผ่วลง
ฮิโรมิจิ ชิรากาวา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของยูบีเอส ซิเคียวริตี้ส์กล่าวว่า “การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไตรมาสแรกนี้จะไม่ยั่งยืน” พร้อมคาดว่าจะต้องมีการปรับลดตัวเลขดังกล่าว
อนึ่ง รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีเกินคาดครั้งนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นญี่ปุ่นและเงินเยนในตลาดโตเกียวช่วงแรกวานนี้สูงขึ้น ก่อนดิ่งลงในภายหลังเนื่องจากนักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่ความยั่งยืนของแนวโน้มเศรษฐกิจ ทำให้ดัชนีนิกเกอิรูดลง 121.83 จุด ปิดที่ 10,825.39 ส่วนดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนอยู่ที่ 107.10 เยน
ลอดช่องลดจีดีพี
วันเดียวกัน รัฐบาลแดนลอดช่องประกาศปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2005 จาก 3-5% อยู่ที่ 2.5-4.5% หลังเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ชะลอตัวลง
กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมเผยว่า จีดีพีไตรมาสที่ 1 ปีนี้ขยายตัวเพียง 2.5% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา และถือเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยที่สุดนับจากไตรมาส 3 ปี 2003 แต่สูงกว่าการคาดการณ์อย่างเป็นทางการเบื้องต้นที่ 2.4%
ทั้งนี้รัฐบาลระบุว่า จีดีพีไตรมาสแรกลดลงเนื่องจากการชะลอตัวในระดับปานกลางของภาคการผลิต ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 25% ของเศรษฐกิจสิงคโปร์มูลค่า 109,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดลง 18.8% ของผลผลิตในอุตสาหกรรมชีวเคมี
สำนักคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเผยวานนี้ (17) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกอยู่ที่ 1.3% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ หรือคิดเป็น 5.3% ต่อปี ขณะที่ตลาดคาดไว้ว่าจะขยายตัวเพียง 0.6% หรือคิดเป็น 2.5% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการเติบโตในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 0.01% จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 0.1% กล่าวได้ว่า เศรษฐกิจแดนปลาดิบไตรมาส 2 และ 3 ของปีก่อนอยู่ในภาวะถดถอย
รายงานระบุอีกว่า การบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 1.2% จากที่ร่วงลงไป 0.4% ในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน เนื่องจากภัยธรรมชาติส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ขณะที่การใช้จ่ายภาคบริษัทดีดตัวขึ้น 2% หลังจากก่อนหน้านี้ลดลง 0.2%
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของภาคการส่งออกซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะเฉื่อยชาเมื่อ 10 ปีก่อน กลับดิ่งลง 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.4% ในช่วงไตรมาส 4 ของปีก่อน
ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์บางรายชี้ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นอาจชะลอตัวลงในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังและการใช้จ่ายภาคเอกชนที่แผ่วลง
ฮิโรมิจิ ชิรากาวา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของยูบีเอส ซิเคียวริตี้ส์กล่าวว่า “การฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจไตรมาสแรกนี้จะไม่ยั่งยืน” พร้อมคาดว่าจะต้องมีการปรับลดตัวเลขดังกล่าว
อนึ่ง รายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีเกินคาดครั้งนี้ส่งผลให้ราคาหุ้นญี่ปุ่นและเงินเยนในตลาดโตเกียวช่วงแรกวานนี้สูงขึ้น ก่อนดิ่งลงในภายหลังเนื่องจากนักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่ความยั่งยืนของแนวโน้มเศรษฐกิจ ทำให้ดัชนีนิกเกอิรูดลง 121.83 จุด ปิดที่ 10,825.39 ส่วนดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนอยู่ที่ 107.10 เยน
ลอดช่องลดจีดีพี
วันเดียวกัน รัฐบาลแดนลอดช่องประกาศปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2005 จาก 3-5% อยู่ที่ 2.5-4.5% หลังเศรษฐกิจไตรมาสแรกปีนี้ชะลอตัวลง
กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมเผยว่า จีดีพีไตรมาสที่ 1 ปีนี้ขยายตัวเพียง 2.5% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา และถือเป็นอัตราการเติบโตที่น้อยที่สุดนับจากไตรมาส 3 ปี 2003 แต่สูงกว่าการคาดการณ์อย่างเป็นทางการเบื้องต้นที่ 2.4%
ทั้งนี้รัฐบาลระบุว่า จีดีพีไตรมาสแรกลดลงเนื่องจากการชะลอตัวในระดับปานกลางของภาคการผลิต ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 25% ของเศรษฐกิจสิงคโปร์มูลค่า 109,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดลง 18.8% ของผลผลิตในอุตสาหกรรมชีวเคมี