คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ)ตรวจแก้ไขร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยให้อำนาจรัฐเข้าถึงระบบดูข้อมูลติดต่อผ่านอินเตอร์เน็ท ฟอร์เวิร์ดเมลโป๊ โทษหนักจำคุก 5 ปี พวกก่อกวนระบบโทษแรงสุดขั้นประหารชีวิต เน็ตคาเฟ่ป่วนแน่ ลูกค้าอาจต้องแสดงตัวก่อนใช้บริการ
วานนี้(16 พ.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า ทางคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้พิจารณาตรวจแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)เสนอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแต่เดิมกระทรวงไอซีที ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในชื่อร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ แต่ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าไม่ชัดเจนและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และสาระคัญของกฎหมาย ที่ได้กำหนดฐานความผิดสำหรับบุคคลที่กระทำต่อระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยตรง มิได้มุ่งถึงกรณีที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ทั้งนี้ ในบันทึกหลักการและเหตุผลของการ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุว่า เนื่องในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสำคัญของการประกอบกิจการและการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำการใด ๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือใช้วิธีการใด ๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอื่นในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จหรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว
ในหมวด 1 ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ บทกำหนดโทษที่น่าสนใจได้แก่ มาตรา 9 ระบุว่า ผู้ใดทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมข้อมูลคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นโดยมิชอบ และมาตรา 10 ผู้ใดทำให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ ทั้งสองมาตรานี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่อย่างไรก็ตาม ในมาตรา 9 กฎหมายให้เป็นความผิดที่ยอมความได้
แต่ในมาตรา 11 ระบุเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า หากการกระทำผิดตามมาตรา 9 หรือ มาตรา 10 1.ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลทั่วไป ไม่ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นนทันใดหรือในภายหลัง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 2.หากการกระทำผิดนั้นน่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิของประเทศ หรือบริการสาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 6 หมื่นถึง 3 แสนบาท และถ้าการกระทำผิดตามข้อสอง ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือชีวิตของประชาชน ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 10 ปีถึง 20 ปี
ในมาตรา 14 ระบุว่าให้"ผู้ให้บริการ"หากล่วงรู้ถึงการกระทำผิดตามมาตรา 13 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน และมิได้จัดการลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นในทันที ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 13 และในมาตราระบุว่า 15 ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิเตอร์ซึ่งมีข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นภาพของผู้อื่น ที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยน่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แหล่งข่าวจากเนคเทค กล่าวว่า กม.ฉบับนี้โดยรวมถือว่าใช้ได้แม้ว่าจะเขียนในลักษณะกว้าง ๆ ไม่เจาะจงเฉพาะ แต่ก็เข้าใจได้เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ที่หมายถึงอินเตอร์เน็ทโดยเฉพาะ เป็นเรื่องยากที่จะเขียนอย่างเจาะจง ฐานความผิดที่เห็นได้ชัด ในมาตรา 13 เป็นเรื่องของการปล่อยให้คนมาโพสต์ในเว็บบอร์ดโดยไม่มีการควบคุมใด ๆ เมื่อมี กม.ควบคุมจะทำให้ผู้ดูแลเว็บไซด์จะต้องใส่ใจไม่ใช่ปล่อยให้ใครเอารูปโป๊มาโพสต์ หรือเขียนข้อความกล่าวหาคนอื่นอย่างเสียหาย
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ในส่วนอำนาจของเจ้าหน้าที่ก็ถือว่าเหมาะสม ไม่ได้ล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคล ให้อำนาจแค่เรียกดูข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ไม่รวมเนื้อหาที่ติดต่อสื่อสารกัน ทั้งที่ในทางเทคนิคแล้วสามารถทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับลนี้จะส่งผลกระทบอย่างแน่นอนผู้ดูแลระบบตามหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน รวมทั้งร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่
วานนี้(16 พ.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ว่า ทางคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้พิจารณาตรวจแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)เสนอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแต่เดิมกระทรวงไอซีที ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวในชื่อร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ แต่ทางคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าไม่ชัดเจนและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และสาระคัญของกฎหมาย ที่ได้กำหนดฐานความผิดสำหรับบุคคลที่กระทำต่อระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยตรง มิได้มุ่งถึงกรณีที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
ทั้งนี้ ในบันทึกหลักการและเหตุผลของการ ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ระบุว่า เนื่องในปัจจุบันระบบคอมพิวเตอร์ได้เป็นส่วนสำคัญของการประกอบกิจการและการดำรงชีวิตของมนุษย์ หากมีผู้กระทำการใด ๆ ให้ระบบคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำงานตามคำสั่งที่กำหนดไว้หรือทำให้การทำงานผิดพลาดไปจากคำสั่งที่กำหนดไว้ หรือใช้วิธีการใด ๆ เข้าล่วงรู้ข้อมูล แก้ไข หรือทำลายข้อมูลของบุคคลอื่นในระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ หรือใช้ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จหรือมีลักษณะอันลามกอนาจาร ย่อมก่อให้เกิดความเสียหาย กระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของรัฐ รวมทั้งความสงบสุขและศีลธรรมอันดีของประชาชน สมควรกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าว
ในหมวด 1 ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ บทกำหนดโทษที่น่าสนใจได้แก่ มาตรา 9 ระบุว่า ผู้ใดทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมข้อมูลคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นโดยมิชอบ และมาตรา 10 ผู้ใดทำให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ ทั้งสองมาตรานี้ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่อย่างไรก็ตาม ในมาตรา 9 กฎหมายให้เป็นความผิดที่ยอมความได้
แต่ในมาตรา 11 ระบุเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า หากการกระทำผิดตามมาตรา 9 หรือ มาตรา 10 1.ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลทั่วไป ไม่ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นนทันใดหรือในภายหลัง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ 2.หากการกระทำผิดนั้นน่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิของประเทศ หรือบริการสาธารณะ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 6 หมื่นถึง 3 แสนบาท และถ้าการกระทำผิดตามข้อสอง ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือชีวิตของประชาชน ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 10 ปีถึง 20 ปี
ในมาตรา 14 ระบุว่าให้"ผู้ให้บริการ"หากล่วงรู้ถึงการกระทำผิดตามมาตรา 13 ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน และมิได้จัดการลบข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นในทันที ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 13 และในมาตราระบุว่า 15 ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิเตอร์ซึ่งมีข้อมูลคอมพิวเตอร์เป็นภาพของผู้อื่น ที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด โดยน่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แหล่งข่าวจากเนคเทค กล่าวว่า กม.ฉบับนี้โดยรวมถือว่าใช้ได้แม้ว่าจะเขียนในลักษณะกว้าง ๆ ไม่เจาะจงเฉพาะ แต่ก็เข้าใจได้เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ที่หมายถึงอินเตอร์เน็ทโดยเฉพาะ เป็นเรื่องยากที่จะเขียนอย่างเจาะจง ฐานความผิดที่เห็นได้ชัด ในมาตรา 13 เป็นเรื่องของการปล่อยให้คนมาโพสต์ในเว็บบอร์ดโดยไม่มีการควบคุมใด ๆ เมื่อมี กม.ควบคุมจะทำให้ผู้ดูแลเว็บไซด์จะต้องใส่ใจไม่ใช่ปล่อยให้ใครเอารูปโป๊มาโพสต์ หรือเขียนข้อความกล่าวหาคนอื่นอย่างเสียหาย
แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ในส่วนอำนาจของเจ้าหน้าที่ก็ถือว่าเหมาะสม ไม่ได้ล่วงล้ำสิทธิส่วนบุคคล ให้อำนาจแค่เรียกดูข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ไม่รวมเนื้อหาที่ติดต่อสื่อสารกัน ทั้งที่ในทางเทคนิคแล้วสามารถทำได้ แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับลนี้จะส่งผลกระทบอย่างแน่นอนผู้ดูแลระบบตามหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่ารัฐหรือเอกชน รวมทั้งร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่