xs
xsm
sm
md
lg

เจ้าสาวส่งออก

เผยแพร่:   โดย: บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา


ไม่กี่วันมานี้ ดร.รัตนา บุญมัธยะ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบทแห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำเสนอผลการวิจัยเรื่อง "ภรรยาฝรั่ง-ความสัมพันธ์ของผู้หญิงไทยกับผู้ชายต่างชาติ" (ไทยโพสต์ X-cite ฉบับประจำวันที่ 5-6 พฤษภาคม พ.ศ. 2548) ซึ่งประเด็นสำคัญๆ เท่าที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์มีดังต่อไปนี้

หนึ่ง การวิจัยครั้งนี้ศึกษาจากข้อมูลในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคอีสาน ซึ่งมีผู้หญิง 84 คนจาก 330 คนของทั้งหมู่บ้านสมรสกับชาวต่างชาติ โดยเป็นผู้หญิงวัยระหว่าง 20-59 ปี ชาวต่างชาติที่เป็นคู่สมรสเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ร้อยละ 96 เยอรมนีร้อยละ 2 อังกฤษร้อยละ 1 และฝรั่งเศสร้อยละ 1 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายที่มีอายุมากกว่าผู้หญิงไทย 10-18 ปี โดยส่วนมากของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงผ่านการหย่าร้างมาแล้ว และฝ่ายหญิงหลายคนมีลูกติดด้วย

ข้อสังเกตก็คือผู้หญิงที่ได้สามีเป็นฝรั่งคนแรก จะใช้ระบบแนะนำผู้ชายฝรั่งให้กับผู้หญิงไทยให้กับญาติๆ เป็นทอดๆ จากเดิมที่เคยเป็นภรรยาฝรั่งอยู่ไม่กี่คน ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ

สอง เมื่อถามฝ่ายหญิงถึงเหตุผลสำคัญในการตัดสินใจเป็นภรรยาชาวต่างชาติพบว่าจุดสำคัญคือ "ความยากจนซ้ำซาก" และความกตัญญูที่ต้องการจะดูแลครอบครัว เพราะการสมรสกับชาวต่างชาติมักจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น มีเงิน โอกาส และความมั่นคงดีขึ้นกว่าเดิมมาก ความข้อนี้ทำให้สถานภาพของผู้หญิงในหมู่บ้านดีขึ้น กระทั่งชาวบ้านชักจะนิยมการมีลูกสาวมากกว่าลูกชาย ถึงขนาดที่ผู้เฒ่าทั้งหลายกระเซ้ากันว่าการมีลูกผู้ชายนั้น ไม่มีประโยชน์เท่ากับการมีลูกผู้หญิง ส่วนเด็กสาวๆ ในหมู่บ้านก็พากันตอบคำถามที่ว่า "โตขึ้นอยากเป็นอะไร" ว่าอยากสมรสกับฝรั่ง เป็นต้น ในขณะที่ผู้ชายไทยในหมู่บ้านเดียวกันชักเสียบุคลิก พากันเป็นกังวลว่าตนเองมีคุณค่าน้อยลงไปกว่าเดิม ลงท้ายแล้ว บทบาทของผู้ชายและผู้หญิงในหมู่บ้านกำลังประสบกับความเปลี่ยนแปลง

สาม ถึงแม้ว่าการสมรสกับผู้ชายต่างชาติจะก่อให้เกิดความมั่งคั่งใหม่ๆ ขึ้นอย่างชัดเจน จนถึงขั้นที่เกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นในหมู่บ้านว่าผู้หญิงไทยไปหลอกเอาทรัพย์จากผู้ชายฝรั่ง ผู้หญิงไทยเหล่านี้ไม่ต้องการให้ใครๆ มองเหมารวมว่าพวกเธอเป็นเสมือนกลุ่มเมียเช่าหรือผู้หญิงขายบริการทางเพศ

สี่ ผู้หญิงไทยกลุ่มนี้อธิบายว่าว่าไม่ใช่เงินเพียงตัวเดียวที่ทำให้ตนเองตัดสินใจอย่างนั้น ที่สำคัญเช่นกันก็คือผู้ชายต่างชาติไม่ยึดติดกับอดีตและพรหมจรรย์ ให้เกียรติผู้หญิง และมีความรับผิดชอบสูงกว่าผู้ชายไทย บางคนถึงกับบอกว่าการมีโอกาสได้สมรสอีกครั้งหนึ่งของคนที่ผ่านการสมรสมาแล้ว บางคนก็เป็นหม้ายและมีลูกติดด้วย เป็นเสมือนกับ "ปาฏิหาริย์" ที่ร่างกายของตนยังมีคุณค่าอยู่ และมีอำนาจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ห้า ในที่ประชุมเดียวกัน พ.ท.ทญ.อังคิกา กุศลาศัย ซึ่งสมรสกับสามีชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ได้เล่าประสบการณ์ของตนว่าเธอเองเคยผิดหวังกับการสมรสกับผู้ชายไทยมาก่อน และโชคดีที่ได้พบกับสามีใหม่ ออกมากล่าวเตือนผู้หญิงไทยอื่นๆ ว่าการสมรสกับผู้ชายต่างชาติใช่ว่าจะพบกับชีวิตดีๆ เสมอไป เพราะในบางกรณีสามีมีอายุสูง มีปัญหาสุขภาพ อีกทั้งมีลูกติด ก็สามารถที่จะทำให้ผู้หญิงไทยที่เป็นคู่สมรสเกิดความเครียดอย่างหนักจนกระทั่งต้องไปพบจิตแพทย์ได้

และหก ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับการนำเสนอในที่ประชุมนี้ก็คือผู้หญิงไทยกับผู้ชายฝรั่งมักจะพบปะกันได้ 4 วิธี และวิธีที่พบมากที่สุดคือเจอกันในที่ทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่คือสถานบริการคือร้อยละ 54 รองลงมาคือผ่านทางเครือญาติและครอบครัวร้อยละ 20 และพบกันโดยส่วนตัวและการท่องเที่ยวอย่างบังเอิญร้อยละ 20 ส่วนที่เหลืออีกไม่ถึงร้อยละ 10 ใช้บริการจัดหาคู่ผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งผู้วิจัยตั้งข้อสังเกตว่า "ระบบหาคู่ (ผ่านอินเทอร์เน็ต) ไม่ได้เริ่มต้นจากความรัก โอกาสถูกหลอกย่อมมีมาก จึงอยากให้ผู้หญิงไทยรอบคอบและระมัดระวัง จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อ"

ถึงจะไม่ใช่เรื่องใหม่เอี่ยมอ่องเสียเลยทีเดียวนัก ผมเชื่อว่าการวิจัยที่หาข้อมูลจากความเป็นจริงที่เห็นได้ชัดๆ อย่างนี้มาอธิบายให้จริงจังและเป็นระบบนี้เป็นเรื่องที่ดีและควรจะทำกันให้มากขึ้น เพราะในขณะที่เรามีการลงทุนด้านการวิจัยมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าโจทย์ใหญ่ๆ ที่เป็นปริศนาและมีนัยทางนโยบายสาธารณะจำนวนมากมายกลับไม่ค่อยได้รับการตอบสนอง

งานวิจัยที่ตั้งโจทย์ขึ้นมาอย่างเลื่อนลอยตามอารมณ์ของนักวิจัย โดยไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างชัดเจน อีกทั้งไม่มีความสำคัญทางนโยบายสังคมเพียงพอ มิหนำซ้ำ ยังมักจะไม่นำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หรือการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กลับเป็นอะไรที่มักจะได้รับการสนับสนุนแบบสบายๆ ทั้งนี้ ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงเกินไป ทำไม่ยาก ทว่าตรวจสอบคุณค่าได้ยาก ธรรมาภิบาลต่ำ และไม่ค่อยมีประโยชน์กับใครกี่คนนักนั่นแหละ!

อันที่จริงแล้ว ในระดับโลก ปรากฏการณ์ในทำนองเดียวกันนี้มีรากเหง้าย้อนหลังไปไกลพอสมควรทีเดียว เช่น ในช่วงต้นๆ คริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ ผู้หญิงญี่ปุ่นกับเกาหลีได้เดินทางไปสหรัฐอเมริกาคราวละมากๆ ในลักษณะของ "เจ้าสาวจากภาพถ่าย" (picture brides) นั่นก็คือ การสมรสที่เกิดขึ้นจากการแลกเปลี่ยนรูปถ่ายกันดู ส่วนมากแล้วผู้ชายญี่ปุ่นและเกาหลีที่อาศัยอยู่ในอเมริกาจะเป็นคนคัดเลือกเจ้าสาวของตนจากภาพถ่ายของผู้หญิงที่อาสาส่งภาพถ่ายมาจากญี่ปุ่นและเกาหลี นี่หมายความว่าในระบบนี้ ผู้ชายและผู้หญิงที่ตกลงสมรสกันเป็นคนที่มีเชื้อชาติดั้งเดิมเหมือนกัน

ครั้นตกถึงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบ ระบบ "เจ้าสาวจากภาพถ่าย" ก็ถูกทดแทนโดยระบบ "เจ้าสาวสั่งทางไปรษณีย์" (mail order brides) จุดแตกต่างก็คือในระบบนี้ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงจะเป็นคนละเชื้อชาติและสัญชาติกัน โดยส่วนมากของฝ่ายหญิงมักจะมาจากฟิลิปปินส์ ไทย ละตินอเมริกา บางส่วนของแอฟริกา และสหภาพโซเวียต ข้างฝ่ายชาย ส่วนใหญ่จะมาจากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ยุโรปตะวันตก อเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น

ด้วยประการฉะนี้ พลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ก็คือเศรษฐกิจ ฉะนั้น เราจึงไม่เคยเห็นผู้หญิงจากสังคมอย่างญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์อาสาสมรสกับผู้ชายต่างชาติโดยวิธีการเดียวกัน

ครั้นปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ระบบที่ฝรั่งค้นพบเจ้าสาวต่างชาติของตนก็ขยายออกไปสู่การใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีกระจายไปทั่วโลกราวกับดอกเห็ด ทั้งในรูปของการติดต่อกันเองโดยตรง และการติดต่อกันโดยผ่านทางบริการของนักธุรกิจที่ตั้งตัวเป็น "นายหน้า" รับจัดหาคู่ให้ด้วยการอาศัยการเก็บค่าธรรมเนียมต่างๆ จากฝ่ายชาย

ในเมืองไทยเอง ธุรกิจนายหน้าจับคู่โวยระบบอินเทอร์เน็ตแบบนี้ก็ทำกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งดูเหมือนว่าจะยังไม่มีใครศึกษาว่าระบบนี้ทำงานอย่างไรอย่างชัดเจน มีข้อดีข้อเสียต่างๆ ต่อฝ่ายหญิงและฝ่ายชายอย่างไรบ้าง หรือเมื่อมีการตกลงสมรสกันแล้ว ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้างสำหรับแต่ละฝ่าย ทว่าที่แน่ๆ ก็คือ การตัดสินใจสมรสกันเร็วๆ โดยไม่ค่อยรู้จักกันมากนักและโดยยังไม่มีความรักและความผูกพันเพียงพอนั้นย่อมมีความเสี่ยงมหาศาล ดังมีตัวอย่างที่ดังไปทั่วโลกในกรณีของซูซานา เรมีราตา เจ้าสาวชาวฟิลิปปินส์ ผู้ถูกฆาตกรรมโดยสามีชาวอเมริกันของเธอเอง หลังจาการสมรสกันแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้เท่าใดนัก

สำหรับปรากฏการณ์เรื่องผู้หญิงไทยสมรสกับชาวต่างชาตินี่ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนักดอก เพียงแต่ว่าในระยะหลังๆ นี้ได้รับความสนใจมากขึ้นบ้างเท่านั้นเอง ตัวอย่างเช่น ฝรั่งคนหนึ่งที่ผมเข้าใจว่าเป็นคนอังกฤษ ผู้ทำหน้าที่เขียน "คำแนะนำ" ให้ฝรั่งด้วยกันเองที่อยากอยู่เมืองไทยได้อ่านในอินเทอร์เน็ตในทำนองเป็น "คู่มือ" การดำรงชีวิตในเมืองไทย ได้กล่าวอ้างตัวเลขจากการสำรวจของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ทว่าเขาไม่ได้ระบุปี วิธีวิทยา และขอบเขตการสำรวจอย่างชัดเจน) ว่ามี "เมียฝรั่ง" อยู่ในภาคอีสานจำนวน 15,000 คน ซึ่งว่ากันว่า "เป็นผู้นำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนปีละนับสิบๆ ล้านปอนด์"

ฝรั่งคนเดียวกันได้รวบรวมข้อมูลมาจากอีกแหล่งหนึ่งระบุว่าในจำนวน 449 ครัวเรือนของตำบลบ้านจาน จังหวัดร้อยเอ็ด ราวๆ 100 ครัวเรือนมีลูกเขยเป็นฝรั่ง ส่วนมากเป็นชาวสวิส รองๆ ลงมาเป็นชาวอังกฤษและสแกนดิเนเวีย ข้อสังเกตก็คือแทบไม่มีผู้ชายต่างชาติคนใดอยู่ในบ้านจานเลย ทว่าพาเจ้าสาวของตนไปอยู่ยุโรปกันเป็นส่วนมาก

"หากคุณเป็นผู้ชายจากยุโรปและแต่งงานกับผู้หญิงในเอเชีย ก็มักจะมีความหวังเสมอว่าคุณจะต้องช่วยเหลือครอบครัว (ของฝ่ายผู้หญิง)" ทั้งนี้เพราะ "สายสัมพันธ์และข้อผูกมัดแผ่ขยายไปไกลและลึกกว่าสังคมตะวันตกที่เน้นครอบครัวแบบนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม หากมันเป็นเรื่องของกามารมณ์และเงินตราล้วนๆ แล้วละก็ มันจะไม่นำไปสู่ความยั่งยืน"

จะจริงเท็จอย่างไรผมจะยังไม่ขอยืนยันแบบฝันธง แต่ผมคิดว่าในกรณีของผู้หญิงไทยนั้น เสน่ห์อันสำคัญของเธอดูเหมือนจะอยู่ที่ความไม่มีอคติใดๆ กับผู้ชายต่างชาติ ที่พูดอย่างนี้ผมกำลังนึกถึง "อังศุมาลิน" นางเอกของ "คู่กรรม" ทั้งในรูปของนวนิยายและภาพยนตร์ ซึ่งมีการนำมาทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างดูเหมือนว่าไม่รู้เบื่อทั้งคนทำและคนดู ความนิยมที่กว้างขวางอย่างนี้คงเป็นคำอธิบายได้ส่วนหนึ่งเหมือนกันว่า อย่างนี้แหละคือ "จิตวิญญาณ" ของสาวไทยที่ได้รับความเห็นชอบจากคนไทยส่วนมากแบบข้ามยุคข้ามสมัย!

สำหรับใครที่เชยจนไม่รู้จัก "คู่กรรม" "โกโบริ" คือทหารญี่ปุ่นผู้เข้ามาทำหน้าที่ยึดครองประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งๆ ที่อังศุมาลินมีคู่รักเป็นสมาชิกของกลุ่มเสรีไทย (ซึ่งในทางทฤษฎีแล้วต้องถือว่าเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น) ความจริงข้อนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคของความรัก นี่หมายความว่าอังศุมาลินเป็นนักมนุษยนิยมเต็มร้อย ไม่มีความรู้สึกด้าน "ชาตินิยม" ใดๆ มาปะปนเลยแม้แต่น้อยแม้กระทั่งในช่วงเวลาแห่งสงคราม!

หากข้อสรุปนี้ใกล้คียงกับความเป็นจริง ฝรั่งที่ได้ผู้หญิงไทยไปเป็นภรรยานั้น ย่อมมีความเบาใจ เพราะเธอย่อมมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับเขาได้เป็นอย่างสูง และไม่ค่อยมีอคติสำคัญๆ ใดๆ กับวัฒนธรรมต่างชาติเลย อันที่จริงแล้ว ผู้หญิงไทยออกจะมี "อคติ" กับผู้ชายไทยเสียด้วยซ้ำไป เพราะหลายๆ คนได้รู้เช่นเห็นชาติด้วยตัวเองมาแล้ว!

หากสาวไทยจะพกความเป็นตัวของตัวเองไปอยู่ต่างประเทศกับเจ้าบ่าวของเธอๆ อยู่บ้าง ก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่น่ารักๆ เสียเป็นส่วนมาก ตัวอย่างเช่น ในโอกาสที่ไปประชุมอะไรเล็กๆ ที่แฟรงก์เฟิร์ตหลายปีมาแล้ว ในเวลาที่ว่าง คนไทยที่นั่นได้กรุณาพาผมไปเที่ยวทักทายกับบรรดาสาวไทยวัยต่างๆ ที่เดินทางมาเป็นเจ้าสาวของชาวเยอรมันที่นั่น ณ สวนธารณะแห่งหนึ่งตรงใจกลางเมืองเลยทีเดียว ซึ่งปรากฏว่าสาวไทยทั้งหลายจำนวนหลายสิบคนเกือบจะยึดครองเป็นอาณาเขตส่วนตัวไปเลย ข้อสังเกตก็คือเราจะได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ คักๆ อย่างคนอารมณ์ดีอย่างระงม ทั้งนี้ โดย คละเคล้าไปกับกลิ่นปลาเค็มทอดที่คลุ้งไปทั่ว!

ในขณะที่เราไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยว่าปรากฏการณ์นี้มีขนาดใหญ่กว่าที่คนทั่วๆ ไปทราบ อีกทั้งความสำคัญทางสังคมก็มีสูงเป็นอย่างยิ่ง ทว่าโจทย์ต่างๆ ในเรื่องราวนี้ดูเหมือนจะยังลี้ลับอยู่เป็นส่วนมาก

เช่น ตัวเลขรวบยอดของผู้หญิงไทยที่สมรสกับผู้ชายต่างชาติมีเท่าไร สมรสด้วยวิธีการอย่างไร ในช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์อย่างไรบ้าง เหตุผลและเงื่อนไขแห่งการสมรสในประเภทและโอกาสต่างๆ เป็นอย่างไรบ้าง มีความสำคัญทางเศรษฐกิจในแง่การเคลื่อนย้ายเงินสด และทรัพย์สินเข้าสู่เมืองไทยมากน้อยเพียงใด การตั้งถิ่นฐานและการขยายพันธุ์ของครอบครัวชนิดนี้มีรูปแบบอย่างไร หลังการสมรสมีความสำเร็จและความล้มเหลวอย่างไรบ้าง และในอนาคตลูกหลานของครอบครัวแบบนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ฯลฯ ล้วนเป็นโจทย์น่าสนใจมากที่รอคำตอบอยู่ทั้งสิ้น

นอกจากควรจะมีการสนับสนุนให้มีการทำวิจัยขนาดใหญ่อย่างเป็นระบบโดยทีมงานที่มีความสามารถเหมาะสมแล้ว ผมเชื่อว่าโจทย์อย่างนี้ยังมีนัยอย่างสำคัญต่อการกำหนดนโยบายสาธารณะบางชนิดขึ้นมาตอบสนองต่อปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย

ปัญหาใหญ่ๆ ของบรรดาสาวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศด้วยการสมรสมักจะพบก็คือ ความโชคร้ายที่คาดไม่ถึงต่างๆ นานาๆ เช่น การถูกบังคับให้ดำรงชีวิตในสภาพคล้ายคลึงกับทาส กินอยู่ไม่ได้มาตรฐาน ถูกกักขังไม่ค่อยได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ไหน ร้ายไปกว่านั้นก็คือ การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจในรูปแบบต่างๆ หรือแม้กระทั่งการถูกบังคับให้ขายตัวก็ดูเหมือนจะมี

ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบต่างๆ นานา ทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นไปได้ก็เพราะความไม่เข้าใจกฎหมายและวัฒนธรรมของสังคมนั้นๆ อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกฎหมายครอบครัวและสิทธิมนุษยชนต่างๆ ฉะนั้น ในเมื่อปรากฏการณ์นี้คงจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงเชื่อว่าทางกระทรวงต่างประเทศ และกระทรวงแรงงานน่าจะช่วยกันวางระบบงานใหม่บางอย่างขึ้น เพื่อตอบสนองต่อปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในเรื่องเหล่านี้โดยตรงขึ้น

เช่น แทนที่จะมีการให้ความช่วยเหลือเป็นครั้งคราวอย่างที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ทั้งสองกระทรวงอาจจะมีการจัดตั้งหน่วยงานระดับกองหรือกรมขึ้น (หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องเอางานอย่างนี้ไปพ่วงไว้กับกองหรือกรมอื่นที่มีอยู่แล้วอย่างเป็นทางการ) เพื่อทำงานด้านการเพิ่มสวัสดิการให้แก่ผู้หญิงไทยผู้อยู่ในโชคชะตาอย่างนี้ โดยอาจจะมีหน้าที่เบื้องต้นในการทำทะเบียนรายชื่อให้ครบถ้วนและทันสมัย การทำการสำรวจเกี่ยวกับปัญหาเฉพาะต่างๆ ในแต่ละกลุ่มประเทศหรือแต่ละประเทศ การจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับกฎหมายสำคัญๆ ของประเทศนั้นๆ ให้แก่บรรดาสาวไทยทั้งหลายทั้งก่อนและหลังการเดินทาง การรับเรื่องร้องทุกข์บางชนิดในต่างประเทศ เป็นต้น

ผมเชื่อว่าหากรัฐบาลไทยสามารถทำให้เป็นที่รู้กันว่าผู้หญิงไทยเหล่านี้ไม่ใช่คนไม่มีชาติไม่มีตระกูล ทว่าเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีและมี "พี่เลี้ยง" ประจำอยู่ในประเทศนั้นๆ (ทว่าก็คงต้องมีความพอดี ไม่ก่อให้เกิดข้อครหาว่าเป็นการแทรกแซงชีวิตครอบครัวส่วนตัว) พวกเธอคงจะได้รับความรักใคร่จากสามีต่างชาติของเธอมากขึ้น ไม่คิดทำอะไรห่ามๆ โง่ๆ เลวๆ ก็ได้ ทั้งนี้ ด้วยความหวาดกลัวว่าพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเขาอาจจะนำไปสู่ความเสียหายต่อเกียรติยศชื่อเสียงในประเทศของตนเองได้นั่นเอง

พูด สั้นๆ เมืองไทยควรจะหาวิธีลดจุดอ่อนและเพิ่มจุดแข็งให้แก่ระบบเจ้าสาวส่งออก นอกจากจะเป็นปรากฏการณ์ที่จะมีขนาดมหึมายิ่งขึ้นทุกทีแล้ว นี่คือโอกาสสำคัญของสาวๆ ชาวไทยจำนวนไม่น้อยที่กำลังได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสจากความยากจนที่เมืองไทยเรายังไม่สามารถแก้ไขได้หมด อีกทั้งเป็นโอกาสยิ่งใหญ่ของสาวแก่แม่ม่ายผู้อาจจะได้ "เกิดใหม่" อีกสักครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้รับความทรมานกายและใจที่ได้รับจากสามีชาวไทยของเธอๆ ทั้งหลายด้วย

ถ้าคิดเหตุผลอื่นใดไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้คิดง่ายๆ เสียว่า รัฐบาลควรจะเอาใจใส่เจ้าสาวส่งออกของเราให้มากขึ้น เพื่อที่ว่าในอนาคตลูกๆ หลานๆ ของเธอจะได้กลับมาร้องเพลงไพเราะๆ ให้เราได้ฟัง หรือกลับมาประกวดบนเวทีนางสาวไทยประเภทต่างๆ ได้ เราได้ชื่นชมความงามแบบครึ่งไทยครึ่งเทศ ก็แล้วกัน คุ้มจริงๆ!
กำลังโหลดความคิดเห็น