นักธุรกิจเจ้าของบ้านที่เจอปัญหาบ้านร้าว จากการก่อสร้างรากฐานคอนโด 39 ชั้น ของอิตัลไทย เทรวี ประกาศเดินหน้าสู้ถึงที่สุด พร้อมระบุเรียกค่าเสียหาย 21 ล้าน เผยเคยบุกหาผู้บริหารบ.ยักษ์กลับได้คำตอบว่าให้ไปหาทนายมีฝีมือมาเตรียมไว้ นายกฯวสท.ชี้ชัดเกิดจากบริษัท ระบุถึงซ่อมได้ก็มีสภาพไม่เหมือนเดิม
วานนี้ (10 พฤษภาคม) นายไกรภพ แพ่งสภา นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบ้านย่านกล้วยน้ำไท ที่เจอปัญหาการขุดเจาะฐานคอนโดมิเนียมใกล้บ้าน จนดินไหลเคลื่อนตัวเข้ามาในพื้นที่บ้าน ทำให้ร้าวและแตกทั้งหลัง ได้เปิดบ้านแถลงข่าวโดยเปิดเผยว่า ช่วงปีที่เกิดปัญหาคือเดือนมกราคม 2546 บ.อิตัลไทยเทรวี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัททางด้านวิศวกรรมรากฐานอาคารสูง ในเครือของ บ.อิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด มหาชน ได้เริ่มปรับพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการ "เมธา คอมเพล็กซ์" ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม สูง 39 ชั้นใกล้กับบ้านของตนเอง
เมื่อบริษัทเริ่มลงมือก่อสร้าง ก็ได้ก่อความเดือดร้อนรำคาญจากมลภาวะทางอากาศและเสียงเป็นอย่างมาก พื้นดินภายในบ้านก็เหมือนมีแผ่นดินไหวอยู่ตลอดเวลา บริษัทก็ได้เร่งก่อสร้างทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้คนในบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอน จากนั้นช่วงประมาณเดือนเม.ย.ในปีเดียวกัน ผลจากการขุดเจาะฐานรากของโครงการดังกล่าว ได้ทำให้เรือนหลังบ้าน ที่ถูกปลูกอยู่ติดกับโครงการได้ทรุดตัวลงมา บางจุดเอียง บางจุดแตกร้าว ต้นไม้ขนาดใหญ่ 6 ต้น ล้มฟาดบ้านตัวเองและบ้านหลังใกล้เคียง
ทั้งนี้ หลังจากการร้องเรียนต่ออิตาเลียนไทยเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ประกอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวนมากภายในบ้าน ก็ฟ้องออกมาถึงความจริงที่เกิดขึ้น บริษัทจึงยอมจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 5,047,998 บาท แต่เนื่องจากเห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น มากกว่าจำนวนเงินที่บริษัทเสนอมาหลายเท่า จึงไม่ยอมรับข้อเสนออันนี้
“ผมพยายามจะติดต่อไปยังผู้บริหารของอิตาเลียนไทย ในที่สุดก็ได้พบผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง เราก็ได้เจรจา ผมเสนอค่าเสียหายของผมอยู่ที่ 21,115,900 บาท เป็นค่ารื้อบ้าน ทุบบ้าน สร้างใหม่ ค่าเช่าที่พักอาศัยตอนผมพาครอบครัวออกไปอาศัยเพื่อรอบ้านเสร็จ แต่หลังจากผมเจรจากับผู้บริหารของบริษัท เค้ากลับบอกว่า ผมโชคดีแล้วที่ได้เงินชดเชยถึงขนาดนี้ แต่ถ้าอยากได้มากกว่านี้ก็ให้ไปฟ้องร้องเอาเอง แต่ขอเตือนให้หาทนายมือที่ดีที่สุดเอาไว้ก็แล้วกัน”
ด้านนายต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ(วสท.) ให้ความเห็นว่า บ้านที่ทรุดเกิดจากการก่อสร้างของบริษัทอย่างแน่นอน ซึ่งตามปกติแล้ว การก่อสร้างรากฐานของอาคารใหญ่ขนาดนี้ จำเป็นจะต้องใช้วัสดุกั้นดินหรือที่เรียกว่า "ชีพพลาย" ที่มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็ก ฝังลงไปรอบบริเวณที่จะก่อสร้าง เพื่อป้องกันปัญหาดินไหลออกบริเวณข้างเคียงโดยเฉพาะ เชื่อว่าทางอิตัลไทยก็คงจะมีการป้องกันในส่วนของชีพพลาย แต่อาจจะไม่พอเพียง เพราะการฝังชีพพลายมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ แม้จะมีการ"ดีดบ้าน" ให้สูงขึ้นมาระดับเดิม ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะไม่สามารถจะย้ายบ้านที่เคลื่อนตัวจากที่เดิมแล้ว ให้กลับมาอยู่ที่เดิมได้
นอกจากนี้ ในวันดังกล่าวยังได้มีเพื่อนบ้านผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับนายไกรภพ คือนายปรัชญา เลิศเจริญโชค มาฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้ พร้อมทั้งกล่าวว่า ตนเองเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านของนายไกรภพมากนัก ลักษณะบ้านเป็นตึกแถว ซึ่งเจ้าของได้สร้างทั้งหมดเป็นจำนวน 14 คูหา
สำหรับคูหาที่ได้เช่าไว้นั้น ถึงกับร้าวตั้งแต่ฐานล่างจนถึงดาดฟ้า บ้านเอียงจนนั่งแล้วยังรู้สึกว่าน้ำหนักเทไปด้านหลัง ได้ขอใช้โอกาสนี้ออกมาร้องเรียนด้วยเช่นกัน และโดยส่วนตัวก็อยากให้นายไกรภพฟ้องร้องจนชนะคดี จะได้เป็นคดีตัวอย่างแก่ผู้ก่อสร้างที่ไม่รับผิดชอบทั้งหลาย ให้คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นบ้าง
วานนี้ (10 พฤษภาคม) นายไกรภพ แพ่งสภา นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของบ้านย่านกล้วยน้ำไท ที่เจอปัญหาการขุดเจาะฐานคอนโดมิเนียมใกล้บ้าน จนดินไหลเคลื่อนตัวเข้ามาในพื้นที่บ้าน ทำให้ร้าวและแตกทั้งหลัง ได้เปิดบ้านแถลงข่าวโดยเปิดเผยว่า ช่วงปีที่เกิดปัญหาคือเดือนมกราคม 2546 บ.อิตัลไทยเทรวี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัททางด้านวิศวกรรมรากฐานอาคารสูง ในเครือของ บ.อิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด มหาชน ได้เริ่มปรับพื้นที่เพื่อดำเนินการก่อสร้างโครงการ "เมธา คอมเพล็กซ์" ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม สูง 39 ชั้นใกล้กับบ้านของตนเอง
เมื่อบริษัทเริ่มลงมือก่อสร้าง ก็ได้ก่อความเดือดร้อนรำคาญจากมลภาวะทางอากาศและเสียงเป็นอย่างมาก พื้นดินภายในบ้านก็เหมือนมีแผ่นดินไหวอยู่ตลอดเวลา บริษัทก็ได้เร่งก่อสร้างทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้คนในบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอน จากนั้นช่วงประมาณเดือนเม.ย.ในปีเดียวกัน ผลจากการขุดเจาะฐานรากของโครงการดังกล่าว ได้ทำให้เรือนหลังบ้าน ที่ถูกปลูกอยู่ติดกับโครงการได้ทรุดตัวลงมา บางจุดเอียง บางจุดแตกร้าว ต้นไม้ขนาดใหญ่ 6 ต้น ล้มฟาดบ้านตัวเองและบ้านหลังใกล้เคียง
ทั้งนี้ หลังจากการร้องเรียนต่ออิตาเลียนไทยเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร ประกอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจำนวนมากภายในบ้าน ก็ฟ้องออกมาถึงความจริงที่เกิดขึ้น บริษัทจึงยอมจ่ายค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 5,047,998 บาท แต่เนื่องจากเห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้น มากกว่าจำนวนเงินที่บริษัทเสนอมาหลายเท่า จึงไม่ยอมรับข้อเสนออันนี้
“ผมพยายามจะติดต่อไปยังผู้บริหารของอิตาเลียนไทย ในที่สุดก็ได้พบผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่ง เราก็ได้เจรจา ผมเสนอค่าเสียหายของผมอยู่ที่ 21,115,900 บาท เป็นค่ารื้อบ้าน ทุบบ้าน สร้างใหม่ ค่าเช่าที่พักอาศัยตอนผมพาครอบครัวออกไปอาศัยเพื่อรอบ้านเสร็จ แต่หลังจากผมเจรจากับผู้บริหารของบริษัท เค้ากลับบอกว่า ผมโชคดีแล้วที่ได้เงินชดเชยถึงขนาดนี้ แต่ถ้าอยากได้มากกว่านี้ก็ให้ไปฟ้องร้องเอาเอง แต่ขอเตือนให้หาทนายมือที่ดีที่สุดเอาไว้ก็แล้วกัน”
ด้านนายต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยฯ(วสท.) ให้ความเห็นว่า บ้านที่ทรุดเกิดจากการก่อสร้างของบริษัทอย่างแน่นอน ซึ่งตามปกติแล้ว การก่อสร้างรากฐานของอาคารใหญ่ขนาดนี้ จำเป็นจะต้องใช้วัสดุกั้นดินหรือที่เรียกว่า "ชีพพลาย" ที่มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็ก ฝังลงไปรอบบริเวณที่จะก่อสร้าง เพื่อป้องกันปัญหาดินไหลออกบริเวณข้างเคียงโดยเฉพาะ เชื่อว่าทางอิตัลไทยก็คงจะมีการป้องกันในส่วนของชีพพลาย แต่อาจจะไม่พอเพียง เพราะการฝังชีพพลายมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ แม้จะมีการ"ดีดบ้าน" ให้สูงขึ้นมาระดับเดิม ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะไม่สามารถจะย้ายบ้านที่เคลื่อนตัวจากที่เดิมแล้ว ให้กลับมาอยู่ที่เดิมได้
นอกจากนี้ ในวันดังกล่าวยังได้มีเพื่อนบ้านผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกับนายไกรภพ คือนายปรัชญา เลิศเจริญโชค มาฟังการแถลงข่าวในครั้งนี้ พร้อมทั้งกล่าวว่า ตนเองเป็นเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านของนายไกรภพมากนัก ลักษณะบ้านเป็นตึกแถว ซึ่งเจ้าของได้สร้างทั้งหมดเป็นจำนวน 14 คูหา
สำหรับคูหาที่ได้เช่าไว้นั้น ถึงกับร้าวตั้งแต่ฐานล่างจนถึงดาดฟ้า บ้านเอียงจนนั่งแล้วยังรู้สึกว่าน้ำหนักเทไปด้านหลัง ได้ขอใช้โอกาสนี้ออกมาร้องเรียนด้วยเช่นกัน และโดยส่วนตัวก็อยากให้นายไกรภพฟ้องร้องจนชนะคดี จะได้เป็นคดีตัวอย่างแก่ผู้ก่อสร้างที่ไม่รับผิดชอบทั้งหลาย ให้คำนึงถึงความเสียหายของผู้อื่นบ้าง