โอ้ยอดรักฉันกลับมา
จากขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล...
จากโคนรุ้งที่เนินไศล..
จากใบไม้ หลากสีสัน..
ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย ฉันหวัง.....
..........................................
จำได้แม่นยำว่า ในคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ เมื่อปี 2525.. สุรชัย จันทิมาธร หรือ “น้าหงา” แห่งวงคาราวาน เปิดเพลงแรกด้วย “คืนรัง” ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องยาวนานกระหึ่มหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์..
เป็นการเปิดตัวในรูปแบบคอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเขา..“คาราวาน” หลังเดินทางกลับจากป่าเขา...
นาทีนั้นสารภาพว่า.. “คืนรัง” ทำเอาผมน้ำตาซึมไหล หันไปข้างๆ เงี่ยหูฟังคนใกล้ๆ ก็มีแต่เสียงซู้ดซี้ดร้องห่มร้องไห้แบบไม่มีใครอายใคร..
ความไพเราะ เนื้อหาแห่งบทกวีในเสียงเพลงจับใจ ความคิดถึงวงดนตรีเพื่อชีวิตอย่างคาราวานที่จากเมืองไปตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มันบรรจบพบกันตรงที่น้ำตาแห่งความปีติ...ของคนกลุ่มหนึ่ง..
*********
วงคาราวานเพิ่งจะมีอายุครบ 30 ปี เมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา แต่หลังจากคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ 2525 แล้ว ผมได้ชมการแสดงของคาราวานประเภทเต็มวงจริงๆ อีกไม่เกิน 3 ครั้ง..
วันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่มสธ.เป็นครั้งล่าสุด เป็นมินิคอนเสิร์ตภายใต้ชื่อ “คาราวานคิดถึงลันตา” ซึ่งคาราวานทั้ง 4 คน ..สุรชัย จันทิมาธร, มงคล อุทก, ทองกราน ทานา และ วีระศักดิ์ สุนทรศรี มากันครบ..
“น้าหงา” เปิดวงด้วยเพลง “คืนรัง” แม้จะไม่กระชากอารมณ์ความรู้สึกจนตื้นตันจนน้ำตาซึมไหล เหมือนตอนคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ แต่ก็อยู่ในระดับประทับใจ
ผมเชื่อว่าแฟนเพลงของคาราวานที่อยู่ในวัย 40 -60 ปี น่าจะอิ่มเอมพอประมาณกับการได้ฟังคาราวานขับขานหลายบทเพลงในวันนั้น ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เป็นบทเพลงเก่าๆ ประเภท ใกล้ตา ไกลตีน, คนตีเหล็ก, ค่ำลง, คิดถึงบ้าน (เดือนเพ็ญ), ถั่งโถมโหมแรงไฟ, จิตร ภูมิศักดิ์ ..ฯลฯ..
รวมทั้ง “ฉันคือประชาชน”..
ฉันคือประชาชน ไม่ใช่คนที่มีเกียรติ
ไปไหนต้องละเลียด ค่อยค่อยเหยียดค่อยค่อยเงย
ฉันคือประชาชน ไม่เหมือนคนที่ยิ่งใหญ่
ไปไหนคนก็ไหว้ เอามือไหว้หว่างขา
ฉันคือประชาชน ไม่ใช่คนที่มีอำนาจ
ไม่เคยคิดไม่เคยคาด จะผูกขาดประเทศไทย...
..................................
ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า ขนาดอายุเลยเลข 50 ไปแล้ว แต่ “น้าหงา” ยังขับขานทุกบทเพลงด้วยความไพเราะ แหบโหยแบบ “หงา” แต่พลังเสียงยังเปี่ยมกังวาน สร้างสรรค์แบบคาราวาน
ระหว่างตั้งสายกีตาร์ ตอนหนึ่ง “น้าหงา”บอกว่าตอนนี้เวทีของคาราวานไม่ได้อยู่ตามมหาวิทยาลัย ตาม ผับในกรุงเทพฯ อีกแล้ว หากอยู่ที่ อบจ.,อบต....อยู่ที่ชนบท..
แต่แน่นอน ไม่ใช่ชนบทที่หมายถึงเขตป่าเขา ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เหมือนในช่วง 2519 -2524
********
ในมินิคอนเสิร์ต “คาราวานคิดถึงลันตา” นอกเหนือจากมีคาราวานเจ้าเก่าแล้ว ยังมี “คาราวานน้อย” อันเป็นการรวมตัวของลูกๆ หลานๆ ชาวคาราวานแสดงให้ชมกันอย่างสุดฝีมืออีกด้วย..
ผมเคยสัมภาษณ์สัมผัสเด็กๆ กลุ่มนี้มาบ้าง ได้เห็นพัฒนาการอย่างรวดเร็วของพวกเขา อดจะชื่นชมและดีใจแทนคุณพ่อคุณแม่พวกเขาไม่ได้... พวกเขาคือ ต้นหญ้าต้นใหม่ ใบไม้ใบใหม่ ดอกไม้ดอกใหม่ ที่รอเติบกล้า ผลิบาน..สืบสาน...ในยุคที่สังคมกำลังเป็นสังคมบริโภคสุดลิ่ม..
ทราบว่าเบื้องลึกของคอนเสิร์ตหนนี้ก็เพื่อหารายได้เล็กๆ น้อยๆ ให้ศูนย์สืบสานวัฒนธรรมแห่งเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีคุณวินัย อุกฤษณ์ กวีเจ้าของบทเพลง “นกสีเหลือง” เป็นโต้โผได้มีทุนทำงานฟื้นฟู - ขับเคลื่อน “รองแง็ง” ที่กำลังจะล้มหายตายจากให้หยัดยืนอยู่ได้ในวิถีชีวิตจริงของคนพื้นถิ่น...
ค่ำนั้น..กลับจากมินิคอนเสิร์ต “คาราวานคิดถึงลันตา” ที่มีผู้เข้าชมประมาณ700 คน ถึงบ้านก็ 3 ทุ่มกว่า ได้ทันชมการถ่ายทอดสด การเดินทางไปเปิดงาน “บางกอก มิวสิก เฟสติวัล” ของ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี..ทัวริสต์ชั่นแนล พอดี..
คนไทยแสนกว่าคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นไทยแออัดกันในสนามกีฬาราชมังคลาสถาน หัวหมาก...ร้องกรี๊ดเมื่อนายกฯของเราเล่นบทเบิร์ด ธงไชย ตะโกนว่า...นายกฯรักทุกๆ คน...นายกฯรักทุกๆ คน..พร้อมทั้งประกาศก้องจะให้ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา จัดงานแบบนี้อีกเรื่อยๆ..
ทำเอาทั้งรมว.การท่องเที่ยวฯ และคณะผู้จัดเดินยิ้มหน้าบานไปตามๆ กัน...
ผมไม่ทราบว่างาน “บางกอก มิวสิก เฟสติวัล” เบ็ดเสร็จรัฐบาล โดยททท., กกท.และโมเดิร์นไนน์ทีวีใช้งบฯ ของพวกเราไปกี่ร้อยล้านบาท เพื่อสนองเจตนารมณ์รัฐบาลที่ต้องการสื่อข่าวส่งสารให้ชาวโลกทราบว่า ประเทศไทยเป็นปกติ ปลอดภัยดี...
ผมทราบจากคาราวาน จากคุณวินัย อุกฤษณ์ แต่เพียงว่า..ลมหายใจแห่ง “ร็องแง็ง” ที่เกาะลันตา และอีกหลายพื้นที่ กำลังรวยรินใกล้สิ้นใจเต็มที.
ถ้าพี่เบิร์ดจะส่งมอบความรักให้บ้าง ก็น่าจะดี !!
จากขอบฟ้าที่ไกลแสนไกล...
จากโคนรุ้งที่เนินไศล..
จากใบไม้ หลากสีสัน..
ฉันเหนื่อย ฉันเพลีย ฉันหวัง.....
..........................................
จำได้แม่นยำว่า ในคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ เมื่อปี 2525.. สุรชัย จันทิมาธร หรือ “น้าหงา” แห่งวงคาราวาน เปิดเพลงแรกด้วย “คืนรัง” ท่ามกลางเสียงปรบมือกึกก้องยาวนานกระหึ่มหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์..
เป็นการเปิดตัวในรูปแบบคอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเขา..“คาราวาน” หลังเดินทางกลับจากป่าเขา...
นาทีนั้นสารภาพว่า.. “คืนรัง” ทำเอาผมน้ำตาซึมไหล หันไปข้างๆ เงี่ยหูฟังคนใกล้ๆ ก็มีแต่เสียงซู้ดซี้ดร้องห่มร้องไห้แบบไม่มีใครอายใคร..
ความไพเราะ เนื้อหาแห่งบทกวีในเสียงเพลงจับใจ ความคิดถึงวงดนตรีเพื่อชีวิตอย่างคาราวานที่จากเมืองไปตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มันบรรจบพบกันตรงที่น้ำตาแห่งความปีติ...ของคนกลุ่มหนึ่ง..
*********
วงคาราวานเพิ่งจะมีอายุครบ 30 ปี เมื่อปี 2547 ที่ผ่านมา แต่หลังจากคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ 2525 แล้ว ผมได้ชมการแสดงของคาราวานประเภทเต็มวงจริงๆ อีกไม่เกิน 3 ครั้ง..
วันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา ที่มสธ.เป็นครั้งล่าสุด เป็นมินิคอนเสิร์ตภายใต้ชื่อ “คาราวานคิดถึงลันตา” ซึ่งคาราวานทั้ง 4 คน ..สุรชัย จันทิมาธร, มงคล อุทก, ทองกราน ทานา และ วีระศักดิ์ สุนทรศรี มากันครบ..
“น้าหงา” เปิดวงด้วยเพลง “คืนรัง” แม้จะไม่กระชากอารมณ์ความรู้สึกจนตื้นตันจนน้ำตาซึมไหล เหมือนตอนคอนเสิร์ต ฟอร์ ยูนิเซฟ แต่ก็อยู่ในระดับประทับใจ
ผมเชื่อว่าแฟนเพลงของคาราวานที่อยู่ในวัย 40 -60 ปี น่าจะอิ่มเอมพอประมาณกับการได้ฟังคาราวานขับขานหลายบทเพลงในวันนั้น ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เป็นบทเพลงเก่าๆ ประเภท ใกล้ตา ไกลตีน, คนตีเหล็ก, ค่ำลง, คิดถึงบ้าน (เดือนเพ็ญ), ถั่งโถมโหมแรงไฟ, จิตร ภูมิศักดิ์ ..ฯลฯ..
รวมทั้ง “ฉันคือประชาชน”..
ฉันคือประชาชน ไม่ใช่คนที่มีเกียรติ
ไปไหนต้องละเลียด ค่อยค่อยเหยียดค่อยค่อยเงย
ฉันคือประชาชน ไม่เหมือนคนที่ยิ่งใหญ่
ไปไหนคนก็ไหว้ เอามือไหว้หว่างขา
ฉันคือประชาชน ไม่ใช่คนที่มีอำนาจ
ไม่เคยคิดไม่เคยคาด จะผูกขาดประเทศไทย...
..................................
ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า ขนาดอายุเลยเลข 50 ไปแล้ว แต่ “น้าหงา” ยังขับขานทุกบทเพลงด้วยความไพเราะ แหบโหยแบบ “หงา” แต่พลังเสียงยังเปี่ยมกังวาน สร้างสรรค์แบบคาราวาน
ระหว่างตั้งสายกีตาร์ ตอนหนึ่ง “น้าหงา”บอกว่าตอนนี้เวทีของคาราวานไม่ได้อยู่ตามมหาวิทยาลัย ตาม ผับในกรุงเทพฯ อีกแล้ว หากอยู่ที่ อบจ.,อบต....อยู่ที่ชนบท..
แต่แน่นอน ไม่ใช่ชนบทที่หมายถึงเขตป่าเขา ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เหมือนในช่วง 2519 -2524
********
ในมินิคอนเสิร์ต “คาราวานคิดถึงลันตา” นอกเหนือจากมีคาราวานเจ้าเก่าแล้ว ยังมี “คาราวานน้อย” อันเป็นการรวมตัวของลูกๆ หลานๆ ชาวคาราวานแสดงให้ชมกันอย่างสุดฝีมืออีกด้วย..
ผมเคยสัมภาษณ์สัมผัสเด็กๆ กลุ่มนี้มาบ้าง ได้เห็นพัฒนาการอย่างรวดเร็วของพวกเขา อดจะชื่นชมและดีใจแทนคุณพ่อคุณแม่พวกเขาไม่ได้... พวกเขาคือ ต้นหญ้าต้นใหม่ ใบไม้ใบใหม่ ดอกไม้ดอกใหม่ ที่รอเติบกล้า ผลิบาน..สืบสาน...ในยุคที่สังคมกำลังเป็นสังคมบริโภคสุดลิ่ม..
ทราบว่าเบื้องลึกของคอนเสิร์ตหนนี้ก็เพื่อหารายได้เล็กๆ น้อยๆ ให้ศูนย์สืบสานวัฒนธรรมแห่งเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีคุณวินัย อุกฤษณ์ กวีเจ้าของบทเพลง “นกสีเหลือง” เป็นโต้โผได้มีทุนทำงานฟื้นฟู - ขับเคลื่อน “รองแง็ง” ที่กำลังจะล้มหายตายจากให้หยัดยืนอยู่ได้ในวิถีชีวิตจริงของคนพื้นถิ่น...
ค่ำนั้น..กลับจากมินิคอนเสิร์ต “คาราวานคิดถึงลันตา” ที่มีผู้เข้าชมประมาณ700 คน ถึงบ้านก็ 3 ทุ่มกว่า ได้ทันชมการถ่ายทอดสด การเดินทางไปเปิดงาน “บางกอก มิวสิก เฟสติวัล” ของ ฯพณฯนายกรัฐมนตรี ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี..ทัวริสต์ชั่นแนล พอดี..
คนไทยแสนกว่าคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นไทยแออัดกันในสนามกีฬาราชมังคลาสถาน หัวหมาก...ร้องกรี๊ดเมื่อนายกฯของเราเล่นบทเบิร์ด ธงไชย ตะโกนว่า...นายกฯรักทุกๆ คน...นายกฯรักทุกๆ คน..พร้อมทั้งประกาศก้องจะให้ คุณสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา จัดงานแบบนี้อีกเรื่อยๆ..
ทำเอาทั้งรมว.การท่องเที่ยวฯ และคณะผู้จัดเดินยิ้มหน้าบานไปตามๆ กัน...
ผมไม่ทราบว่างาน “บางกอก มิวสิก เฟสติวัล” เบ็ดเสร็จรัฐบาล โดยททท., กกท.และโมเดิร์นไนน์ทีวีใช้งบฯ ของพวกเราไปกี่ร้อยล้านบาท เพื่อสนองเจตนารมณ์รัฐบาลที่ต้องการสื่อข่าวส่งสารให้ชาวโลกทราบว่า ประเทศไทยเป็นปกติ ปลอดภัยดี...
ผมทราบจากคาราวาน จากคุณวินัย อุกฤษณ์ แต่เพียงว่า..ลมหายใจแห่ง “ร็องแง็ง” ที่เกาะลันตา และอีกหลายพื้นที่ กำลังรวยรินใกล้สิ้นใจเต็มที.
ถ้าพี่เบิร์ดจะส่งมอบความรักให้บ้าง ก็น่าจะดี !!