ขณะนี้กำลังมีความสับสนเกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องกฎอัยการศึก บ้างก็พูดว่าจะต้องยกเลิกกฎอัยการศึก บ้างก็พูดว่าต้องเลิกใช้กฎอัยการศึก บ้างก็พูดว่าจะต้องจัดทำกฎหมายใหม่ทดแทนกฎอัยการศึก เพราะชื่อกฎอัยการศึกฟังแล้วน่ากลัว
ก็ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่ามีการสร้างภาพให้กฎอัยการศึกเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัว กระทั่งเป็นภาพเงาของเผด็จการ ทั้ง ๆ ที่ความจริงกฎอัยการศึกคือหลักแห่งความมั่นคงของบ้านเมืองที่สำคัญมาก
ดังนั้น ในยามที่มีความสับสนอลหม่านกันในเรื่องที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองเช่นนี้ จึงสมควรที่จะได้ทำความเข้าใจเพื่อชำระสะสางความสับสนเรื่องกฎอัยการศึกสักครั้งหนึ่ง
อันกฎหมายทั้งหลายนั้นในยุคโบราณก็อาจใช้คำเรียกว่าพระอัยการ ดังเช่นการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่เป็นที่ปรึกษาของผู้มีอำนาจประการหนึ่งว่าจะต้องมีความรู้ในบทกฎหมายและพระอัยการทั้งหลายที่มีมาสำหรับแผ่นดิน เป็นต้น
กฎอัยการศึกก็คือกฎหมายเกี่ยวกับการศึกสงคราม ในอดีตกาลโพ้นเป็นเรื่องที่พระเจ้าแผ่นดินจะใช้พระราชอำนาจประกาศอัยการศึก ครั้นมาถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสวยสิริราชสมบัติแล้ว ก็ทรงพิจารณาเห็นว่าบทกฎหมายเกี่ยวกับอัยการศึกนั้นสมควรจะได้มีการตราขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นแบบแผนและมีความชัดเจน
ดังนั้นจึงมีการตราพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกขึ้นบังคับใช้ และมีการปรับปรุงแก้ไขเป็นลำดับมา โดยมีวัตถุประสงค์หลักก็คือเพื่อให้อำนาจฝ่ายทหารในการบังคับหรือสั่งการในทางที่ลิดรอนสิทธิ์ของประชาชนหรือในการปฏิบัติการใด ๆ เพื่อรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศชาติและความปลอดภัยของประชาชน
ในระดับส่วนกลางเป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศหรือในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่ถ้าเป็นพื้นที่ในหัวเมืองก็เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาทหารที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นในการประกาศใช้กฎอัยการศึก
นั่นคือกฎอัยการศึกจะประกอบด้วยตัวบทกฎหมายแม่บทฉบับหนึ่งซึ่งเป็นหลักเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติเมื่อมีเหตุอันสมควรและมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว แต่การจะใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ใดนั้นกฎหมายได้ให้อำนาจไว้กับรัฐบาลในระดับประเทศ และแก่ฝ่ายทหารที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นในระดับพื้นที่
อำนาจตามกฎอัยการศึกเป็นอำนาจที่ใช้ในยามไม่ปกติ โดยเฉพาะในยามศึกสงคราม เช่น การเกณฑ์แรงงานหรือทรัพย์สิน การเข้าปฏิบัติการในเคหสถาน ในการตรวจสอบ ในการจับกุม และในการยับยั้งเหตุร้ายที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ
เพราะว่าในความเป็นชาตินั้นถือว่าไม่มีสิ่งใดใหญ่โตหรือสำคัญไปกว่าเอกราชหรืออธิปไตย พลเมืองทุกคนต้องยอมเสียสละและต้องยินยอมให้รัฐปฏิบัติการใด ๆ ตามที่เห็นสมควรได้ เพราะในยามเช่นนั้นจะรอให้ได้พยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงกระจ่างชัดย่อมไม่อาจทำได้
การกระทำใดก็ตามที่เป็นไปในทางป้องกันหรือยับยั้งเหตุจึงสามารถกระทำได้ และเป็นอำนาจที่ยกเว้นเหนือกว่าบทกฎหมายอื่น นั่นก็เป็นไปโดยหลักที่ว่าผลประโยชน์ของชาติสำคัญยิ่งกว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคล
แต่ทว่าอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารนั้นนอกจากยามศึกสงครามแล้วยังมีภาระหน้าที่อื่น ๆ อีก โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติอำนาจหน้าที่ของทหารเพิ่มขึ้นอีกหลายหน้าที่ เช่น หน้าที่ในการดูแลรักษาความมั่นคง ในการยับยั้งหรือปราบปรามการก่อจลาจล ในการป้องกันเหตุร้ายที่กระทบต่อเอกราชอธิปไตยและความมั่นคงทั้งระหว่างประเทศและในประเทศ หรือในการพัฒนาประเทศ
เป็นเรื่องน่าแปลกที่รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเช่นนั้นแล้วแต่กลับไม่มีการตรากฎหมายรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายทหารตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ดังนั้น จึงทำให้บทบัญญัติส่วนนี้เป็นตาลยอดด้วน
ในอดีตประเทศไทยเคยมีกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงรองรับการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหาร นั่นคือกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
กฎหมายนี้มีเนื้อหาอยู่สองส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารในยามสันติ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงและงานพัฒนา ตลอดจนงานมวลชนต่าง ๆ ส่วนที่สองเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับมาร่วม 30 ปี และเป็นธรรมดาของการบังคับใช้กฎหมายที่ต้องมีการใช้บังคับทั้งที่เป็นธรรมและที่ไม่เป็นธรรม ทั้งได้สร้างความหวาดกลัว ความน่ายำเกรงให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศไทยเป็นเผด็จการแล้วมีการใช้กฎหมายคอมมิวนิสต์ในการปราบปรามศัตรูทางการเมืองของนักการเมือง
และใช้กันมากเกินขอบเขตจนกระทั่งผู้คนเกิดความรู้สึกว่ากฎหมายฉบับนี้คือผีปีศาจแห่งเผด็จการ ที่คอยเหยียบย่ำทำลายลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้สุจริตโดยเฉพาะผู้ที่มีความคิดความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล
ดังนั้น หลังจากยุคสงครามเย็นสิ้นสุดลง ภัยคอมมิวนิสต์หมดสิ้นลง จึงมีการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ และในที่สุดก็มีการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นผลให้มีการยกเลิกบทบาทหน้าที่ของฝ่ายทหารทั้งสองส่วนดังกล่าวแล้ว
นั่นคืออำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาความมั่นคงทั่วไป ในเรื่องการพัฒนา ในเรื่องงานมวลชนก็ถูกยกเลิกเพิกถอนไปพร้อมกับอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์ด้วย
ดังนั้น ถ้าหากตราบใดที่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ตราบนั้นทหารก็เหมือนยักษ์ไม่มีกระบองคือไม่มีอำนาจหน้าที่อะไรนอกจากเกิดศึกสงครามระหว่างประเทศเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วก็ต้องนั่งนอนอยู่แต่ในกอง กินข้าวดูลมชมวิวไปวันหนึ่ง ๆ
และที่น่าแปลกประหลาดที่สุดคือเมื่อนับถึงวันนี้เป็นเวลาร่วมสิบปีแล้ว กลับไม่มีรัฐบาลไหนคิดอ่านรับเป็นธุระในการตรากฎหมายรองรับอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ทำให้ทหารกลายเป็นยักษ์ไม่มีกระบองต่อไป
ครั้นถึงเวลาจำเป็นเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติที่ต้องอาศัยกำลังทหารเข้าปฏิบัติการ ดังเช่น เมื่อครั้งที่ผู้ก่อการร้ายชนกลุ่มน้อยเข้ายึดโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคกลาง ผลสุดท้ายก็คือเจ้าหน้าที่ทหารถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาในข้อหาฆ่าคน
นั่นเป็นความเจ็บช้ำน้ำใจของทหารหาญของชาติที่ดำรงคงอยู่และพูดไม่ออกบอกไม่ถูกมาจนถึงทุกวันนี้
ทหารมีหน้าที่ต้องปกป้องชาติบ้านเมืองและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ แต่พอปฏิบัติหน้าที่เข้าจริงกลับถูกดำเนินคดีเป็นความผิดทางอาญาเพราะขาดกฎหมายรองรับ นี่คือสภาพที่คนไทยทั้งประเทศควรจะได้รู้และเข้าใจว่าสภาพที่เป็นไปในบ้านเมืองของเราในปัจจุบันนี้เป็นเช่นนี้
ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเข้าดูแลคุ้มครองความปลอดภัยที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบฆ่าคนรายวันอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ก็มีความจำเป็นที่จะต้องคุ้มครองบรรดาทหารหาญของชาติไม่ให้ต้องตกเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อไปอีก
เหตุนี้จึงมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นก็เพื่อรองรับกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการของทหารเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขและเพื่อความปลอดภัยของชาติและประชาชนนั่นเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือป้องกันฝ่ายทหารไม่ให้ต้องติดคุกติดตะรางในการปฏิบัติหน้าที่
มิฉะนั้นแล้วฝ่ายทหารจะเคลื่อนกำลังเข้าไปในพื้นที่หรือปฏิบัติการใด ๆ ในพื้นที่ไม่ได้ แม้กระทั่งจะพกอาวุธก็ไม่ได้ หากทำการต่อสู้แล้วมีการเจ็บตายก็ต้องกลายเป็นจำเลยในคดีอาญา ทั้ง ๆ ที่ได้ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองโดยตรง
ถึงกระนั้นฝ่ายทหารก็พยายามจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจอย่างยิ่ง คงใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และอำนาจบางส่วนก็ได้มอบหมายให้กับฝ่ายตำรวจไปปฏิบัติการ
คงจะจำกันได้ว่า ก่อนหน้านั้นเคยมีการสั่งการให้ทหารถอนตัวออกจากพื้นที่แล้วให้ฝ่ายตำรวจเข้ารับผิดชอบพื้นที่แทน จนเกิดเหตุลุกลามบานปลายแล้วจำเป็นต้องให้ฝ่ายทหารเข้ารักษาหน้าที่ความมั่นคงปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้มีการใช้กฎหมายอัยการศึกในพื้นที่ดังกล่าว
ดังนั้น เมื่อพูดถึงการเลิกกฎอัยการศึกก็ต้องพิจารณาเป็นสองประเด็น
ประเด็นแรก การยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกบางพื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือตัวกฎหมายแม่บทยังอยู่ แต่ยกเลิกการประกาศใช้สำหรับพื้นที่นั้น ซึ่งไม่ว่าใครหน้าไหนจะเสนอก็ตามก็ต้องตอบคำถามว่าถ้าหากให้ทหารถอนกำลังออกจากพื้นที่เพราะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากเลิกบังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่นั้นแล้ว ใครจะรับผิดชอบความปลอดภัยของประชาชน ทรัพย์สินของทางราชการ แม้เอกราชอธิปไตยของชาติ?
เพราะหากยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกแล้วก็จะทำให้เหตุการณ์ย้อนกลับไปเหมือนกับเมื่อครั้งให้ทหารออกจากพื้นที่ แล้วให้ฝ่ายตำรวจเข้ารับผิดชอบแทนจนเกิดเหตุเรื่องราวใหญ่โตจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ใครที่เสนอเรื่องนี้จึงต้องคิดอ่านให้จงดี โดยเฉพาะความรับผิดชอบต่อบรรดาความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงภัยในเอกราชอธิปไตยของชาติด้วย ที่สำคัญคือต้องบอกประชาชนได้ว่าถ้าเลิกใช้กฎอัยการศึกแล้วการฆ่ารายวันจะยุติลง และถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วประเทศนี้ พื้นที่นั้น ไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังทหารอีกแล้ว
ประเด็นที่สอง การยกเลิกกฎหมายกฎอัยการศึก ซึ่งก็คือการยกเลิกอำนาจหน้าที่ของทหารในยามศึกสงครามนั่นเอง ณ วันนี้ทหารหาญของชาติถูกลิดรอนอำนาจยังไม่พออีกหรือ? ถ้ายกเลิกกฎหมายนี้หากมีศึกสงครามแล้วจะให้ทหารนั่งงอมืองอเท้าให้ข้าศึกยึดบ้านยึดเมืองอย่างหน้าตาเฉยอย่างนั้นหรือ?
อย่าลืมว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงพระปรีชาสามารถ ทรงนำพาชาติให้รอดปลอดภัยในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเห็นประจักษ์มาแล้ว จะยกเลิกทำลายพระราชมรดก คือเลิกกฎหมายกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นกฎหมายสำหรับใช้ในยามศึกสงครามโดยตรงนั้นมีน้ำหนักและเหตุผลหรือหลักประกันเอกราชอธิปไตยของชาติหากมีศึกสงครามอย่างพอเพียงแล้วหรือไม่ด้วย
กฎหมายอัยการศึกยังคงจำเป็นคู่กับประเทศไทยตลอดไป เพราะตราบใดที่สงครามยังไม่สิ้นสูญไปจากโลก ตราบนั้นก็ยังมีความเสี่ยงภัยและยังจำเป็นต้องใช้กฎหมายกฎอัยการศึก
ที่ยังขาดจริง ๆ นั้นคือกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงที่รองรับอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหาร 6 ประการ ตามที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องเร่งตรากฎหมายนี้ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่ยกเลิกกฎหมายกฎอัยการศึก ซึ่งจำเป็นสำหรับแผ่นดินเสียเฉย ๆ
เหมือนกับบ้านที่ขาดครัวและระเบียง ก็ต้องสร้างครัวและระเบียงให้สมบูรณ์ ไม่ใช่รื้อบ้านเสียทั้งหลังแล้วสร้างบ้านใหม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ขอผองชนชาวไทยได้ทำความเข้าใจเรื่องกฎอัยการศึกให้ถูกตรง จะได้ไม่ถูกผีเผด็จการหลอกหลอนจนเป็นการทำลายชาติบ้านเมืองไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์!
ก็ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่ามีการสร้างภาพให้กฎอัยการศึกเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัว กระทั่งเป็นภาพเงาของเผด็จการ ทั้ง ๆ ที่ความจริงกฎอัยการศึกคือหลักแห่งความมั่นคงของบ้านเมืองที่สำคัญมาก
ดังนั้น ในยามที่มีความสับสนอลหม่านกันในเรื่องที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองเช่นนี้ จึงสมควรที่จะได้ทำความเข้าใจเพื่อชำระสะสางความสับสนเรื่องกฎอัยการศึกสักครั้งหนึ่ง
อันกฎหมายทั้งหลายนั้นในยุคโบราณก็อาจใช้คำเรียกว่าพระอัยการ ดังเช่นการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่เป็นที่ปรึกษาของผู้มีอำนาจประการหนึ่งว่าจะต้องมีความรู้ในบทกฎหมายและพระอัยการทั้งหลายที่มีมาสำหรับแผ่นดิน เป็นต้น
กฎอัยการศึกก็คือกฎหมายเกี่ยวกับการศึกสงคราม ในอดีตกาลโพ้นเป็นเรื่องที่พระเจ้าแผ่นดินจะใช้พระราชอำนาจประกาศอัยการศึก ครั้นมาถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสวยสิริราชสมบัติแล้ว ก็ทรงพิจารณาเห็นว่าบทกฎหมายเกี่ยวกับอัยการศึกนั้นสมควรจะได้มีการตราขึ้นใหม่เพื่อให้เป็นแบบแผนและมีความชัดเจน
ดังนั้นจึงมีการตราพระราชบัญญัติกฎอัยการศึกขึ้นบังคับใช้ และมีการปรับปรุงแก้ไขเป็นลำดับมา โดยมีวัตถุประสงค์หลักก็คือเพื่อให้อำนาจฝ่ายทหารในการบังคับหรือสั่งการในทางที่ลิดรอนสิทธิ์ของประชาชนหรือในการปฏิบัติการใด ๆ เพื่อรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศชาติและความปลอดภัยของประชาชน
ในระดับส่วนกลางเป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วประเทศหรือในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่ถ้าเป็นพื้นที่ในหัวเมืองก็เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาทหารที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นในการประกาศใช้กฎอัยการศึก
นั่นคือกฎอัยการศึกจะประกอบด้วยตัวบทกฎหมายแม่บทฉบับหนึ่งซึ่งเป็นหลักเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติเมื่อมีเหตุอันสมควรและมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว แต่การจะใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ใดนั้นกฎหมายได้ให้อำนาจไว้กับรัฐบาลในระดับประเทศ และแก่ฝ่ายทหารที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นในระดับพื้นที่
อำนาจตามกฎอัยการศึกเป็นอำนาจที่ใช้ในยามไม่ปกติ โดยเฉพาะในยามศึกสงคราม เช่น การเกณฑ์แรงงานหรือทรัพย์สิน การเข้าปฏิบัติการในเคหสถาน ในการตรวจสอบ ในการจับกุม และในการยับยั้งเหตุร้ายที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ
เพราะว่าในความเป็นชาตินั้นถือว่าไม่มีสิ่งใดใหญ่โตหรือสำคัญไปกว่าเอกราชหรืออธิปไตย พลเมืองทุกคนต้องยอมเสียสละและต้องยินยอมให้รัฐปฏิบัติการใด ๆ ตามที่เห็นสมควรได้ เพราะในยามเช่นนั้นจะรอให้ได้พยานหลักฐานหรือข้อเท็จจริงกระจ่างชัดย่อมไม่อาจทำได้
การกระทำใดก็ตามที่เป็นไปในทางป้องกันหรือยับยั้งเหตุจึงสามารถกระทำได้ และเป็นอำนาจที่ยกเว้นเหนือกว่าบทกฎหมายอื่น นั่นก็เป็นไปโดยหลักที่ว่าผลประโยชน์ของชาติสำคัญยิ่งกว่าผลประโยชน์ส่วนบุคคล
แต่ทว่าอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารนั้นนอกจากยามศึกสงครามแล้วยังมีภาระหน้าที่อื่น ๆ อีก โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบัญญัติอำนาจหน้าที่ของทหารเพิ่มขึ้นอีกหลายหน้าที่ เช่น หน้าที่ในการดูแลรักษาความมั่นคง ในการยับยั้งหรือปราบปรามการก่อจลาจล ในการป้องกันเหตุร้ายที่กระทบต่อเอกราชอธิปไตยและความมั่นคงทั้งระหว่างประเทศและในประเทศ หรือในการพัฒนาประเทศ
เป็นเรื่องน่าแปลกที่รัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติเช่นนั้นแล้วแต่กลับไม่มีการตรากฎหมายรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายทหารตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ดังนั้น จึงทำให้บทบัญญัติส่วนนี้เป็นตาลยอดด้วน
ในอดีตประเทศไทยเคยมีกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงรองรับการใช้อำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหาร นั่นคือกฎหมายว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
กฎหมายนี้มีเนื้อหาอยู่สองส่วน ส่วนแรกเป็นส่วนอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารในยามสันติ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงและงานพัฒนา ตลอดจนงานมวลชนต่าง ๆ ส่วนที่สองเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์
กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับมาร่วม 30 ปี และเป็นธรรมดาของการบังคับใช้กฎหมายที่ต้องมีการใช้บังคับทั้งที่เป็นธรรมและที่ไม่เป็นธรรม ทั้งได้สร้างความหวาดกลัว ความน่ายำเกรงให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ประเทศไทยเป็นเผด็จการแล้วมีการใช้กฎหมายคอมมิวนิสต์ในการปราบปรามศัตรูทางการเมืองของนักการเมือง
และใช้กันมากเกินขอบเขตจนกระทั่งผู้คนเกิดความรู้สึกว่ากฎหมายฉบับนี้คือผีปีศาจแห่งเผด็จการ ที่คอยเหยียบย่ำทำลายลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้สุจริตโดยเฉพาะผู้ที่มีความคิดความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล
ดังนั้น หลังจากยุคสงครามเย็นสิ้นสุดลง ภัยคอมมิวนิสต์หมดสิ้นลง จึงมีการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ และในที่สุดก็มีการยกเลิกกฎหมายว่าด้วยคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นผลให้มีการยกเลิกบทบาทหน้าที่ของฝ่ายทหารทั้งสองส่วนดังกล่าวแล้ว
นั่นคืออำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาความมั่นคงทั่วไป ในเรื่องการพัฒนา ในเรื่องงานมวลชนก็ถูกยกเลิกเพิกถอนไปพร้อมกับอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์ด้วย
ดังนั้น ถ้าหากตราบใดที่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ตราบนั้นทหารก็เหมือนยักษ์ไม่มีกระบองคือไม่มีอำนาจหน้าที่อะไรนอกจากเกิดศึกสงครามระหว่างประเทศเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วก็ต้องนั่งนอนอยู่แต่ในกอง กินข้าวดูลมชมวิวไปวันหนึ่ง ๆ
และที่น่าแปลกประหลาดที่สุดคือเมื่อนับถึงวันนี้เป็นเวลาร่วมสิบปีแล้ว กลับไม่มีรัฐบาลไหนคิดอ่านรับเป็นธุระในการตรากฎหมายรองรับอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหารให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ทำให้ทหารกลายเป็นยักษ์ไม่มีกระบองต่อไป
ครั้นถึงเวลาจำเป็นเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติที่ต้องอาศัยกำลังทหารเข้าปฏิบัติการ ดังเช่น เมื่อครั้งที่ผู้ก่อการร้ายชนกลุ่มน้อยเข้ายึดโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคกลาง ผลสุดท้ายก็คือเจ้าหน้าที่ทหารถูกฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาในข้อหาฆ่าคน
นั่นเป็นความเจ็บช้ำน้ำใจของทหารหาญของชาติที่ดำรงคงอยู่และพูดไม่ออกบอกไม่ถูกมาจนถึงทุกวันนี้
ทหารมีหน้าที่ต้องปกป้องชาติบ้านเมืองและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติ แต่พอปฏิบัติหน้าที่เข้าจริงกลับถูกดำเนินคดีเป็นความผิดทางอาญาเพราะขาดกฎหมายรองรับ นี่คือสภาพที่คนไทยทั้งประเทศควรจะได้รู้และเข้าใจว่าสภาพที่เป็นไปในบ้านเมืองของเราในปัจจุบันนี้เป็นเช่นนี้
ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่สงบขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเข้าดูแลคุ้มครองความปลอดภัยที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบฆ่าคนรายวันอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ก็มีความจำเป็นที่จะต้องคุ้มครองบรรดาทหารหาญของชาติไม่ให้ต้องตกเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อไปอีก
เหตุนี้จึงมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นก็เพื่อรองรับกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการของทหารเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขและเพื่อความปลอดภัยของชาติและประชาชนนั่นเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือป้องกันฝ่ายทหารไม่ให้ต้องติดคุกติดตะรางในการปฏิบัติหน้าที่
มิฉะนั้นแล้วฝ่ายทหารจะเคลื่อนกำลังเข้าไปในพื้นที่หรือปฏิบัติการใด ๆ ในพื้นที่ไม่ได้ แม้กระทั่งจะพกอาวุธก็ไม่ได้ หากทำการต่อสู้แล้วมีการเจ็บตายก็ต้องกลายเป็นจำเลยในคดีอาญา ทั้ง ๆ ที่ได้ทำหน้าที่เพื่อชาติบ้านเมืองโดยตรง
ถึงกระนั้นฝ่ายทหารก็พยายามจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจอย่างยิ่ง คงใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น และอำนาจบางส่วนก็ได้มอบหมายให้กับฝ่ายตำรวจไปปฏิบัติการ
คงจะจำกันได้ว่า ก่อนหน้านั้นเคยมีการสั่งการให้ทหารถอนตัวออกจากพื้นที่แล้วให้ฝ่ายตำรวจเข้ารับผิดชอบพื้นที่แทน จนเกิดเหตุลุกลามบานปลายแล้วจำเป็นต้องให้ฝ่ายทหารเข้ารักษาหน้าที่ความมั่นคงปลอดภัยอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นเหตุให้มีการใช้กฎหมายอัยการศึกในพื้นที่ดังกล่าว
ดังนั้น เมื่อพูดถึงการเลิกกฎอัยการศึกก็ต้องพิจารณาเป็นสองประเด็น
ประเด็นแรก การยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกบางพื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือตัวกฎหมายแม่บทยังอยู่ แต่ยกเลิกการประกาศใช้สำหรับพื้นที่นั้น ซึ่งไม่ว่าใครหน้าไหนจะเสนอก็ตามก็ต้องตอบคำถามว่าถ้าหากให้ทหารถอนกำลังออกจากพื้นที่เพราะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เนื่องจากเลิกบังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่นั้นแล้ว ใครจะรับผิดชอบความปลอดภัยของประชาชน ทรัพย์สินของทางราชการ แม้เอกราชอธิปไตยของชาติ?
เพราะหากยกเลิกการบังคับใช้กฎอัยการศึกแล้วก็จะทำให้เหตุการณ์ย้อนกลับไปเหมือนกับเมื่อครั้งให้ทหารออกจากพื้นที่ แล้วให้ฝ่ายตำรวจเข้ารับผิดชอบแทนจนเกิดเหตุเรื่องราวใหญ่โตจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ใครที่เสนอเรื่องนี้จึงต้องคิดอ่านให้จงดี โดยเฉพาะความรับผิดชอบต่อบรรดาความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงภัยในเอกราชอธิปไตยของชาติด้วย ที่สำคัญคือต้องบอกประชาชนได้ว่าถ้าเลิกใช้กฎอัยการศึกแล้วการฆ่ารายวันจะยุติลง และถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วประเทศนี้ พื้นที่นั้น ไม่มีความจำเป็นต้องใช้กำลังทหารอีกแล้ว
ประเด็นที่สอง การยกเลิกกฎหมายกฎอัยการศึก ซึ่งก็คือการยกเลิกอำนาจหน้าที่ของทหารในยามศึกสงครามนั่นเอง ณ วันนี้ทหารหาญของชาติถูกลิดรอนอำนาจยังไม่พออีกหรือ? ถ้ายกเลิกกฎหมายนี้หากมีศึกสงครามแล้วจะให้ทหารนั่งงอมืองอเท้าให้ข้าศึกยึดบ้านยึดเมืองอย่างหน้าตาเฉยอย่างนั้นหรือ?
อย่าลืมว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงพระปรีชาสามารถ ทรงนำพาชาติให้รอดปลอดภัยในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเห็นประจักษ์มาแล้ว จะยกเลิกทำลายพระราชมรดก คือเลิกกฎหมายกฎอัยการศึก ซึ่งเป็นกฎหมายสำหรับใช้ในยามศึกสงครามโดยตรงนั้นมีน้ำหนักและเหตุผลหรือหลักประกันเอกราชอธิปไตยของชาติหากมีศึกสงครามอย่างพอเพียงแล้วหรือไม่ด้วย
กฎหมายอัยการศึกยังคงจำเป็นคู่กับประเทศไทยตลอดไป เพราะตราบใดที่สงครามยังไม่สิ้นสูญไปจากโลก ตราบนั้นก็ยังมีความเสี่ยงภัยและยังจำเป็นต้องใช้กฎหมายกฎอัยการศึก
ที่ยังขาดจริง ๆ นั้นคือกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงที่รองรับอำนาจหน้าที่ของฝ่ายทหาร 6 ประการ ตามที่มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่จะต้องเร่งตรากฎหมายนี้ให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด ไม่ใช่ยกเลิกกฎหมายกฎอัยการศึก ซึ่งจำเป็นสำหรับแผ่นดินเสียเฉย ๆ
เหมือนกับบ้านที่ขาดครัวและระเบียง ก็ต้องสร้างครัวและระเบียงให้สมบูรณ์ ไม่ใช่รื้อบ้านเสียทั้งหลังแล้วสร้างบ้านใหม่ ฉันใดก็ฉันนั้น
ขอผองชนชาวไทยได้ทำความเข้าใจเรื่องกฎอัยการศึกให้ถูกตรง จะได้ไม่ถูกผีเผด็จการหลอกหลอนจนเป็นการทำลายชาติบ้านเมืองไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์!