หนังสือ ภาษิต คำพังเพย สำนวนไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (แก้ไขเพิ่มเติม ) 2545 ได้อธิบายวลีที่ว่า ปากว่าตาขยิบ ไว้ว่า พูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่ง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำประเทศที่มักปากว่าตาขยิบ เพราะเป็นผู้ที่พูดอะไร มักถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของเรื่องราว แต่จริงๆ แล้วรัฐบาลของท่านหรือพรรคของท่าน มักทำไปอีกอย่าง! เป็นการตรงกันข้ามเสมอ!
เมื่อปีที่แล้ว สื่อมวลชนได้จัดงานใหญ่ที่อาคารอิมแพค เมืองทองธานี คุณทักษิณได้รับเชิญให้ไปกล่าวเปิดงาน
คุณทักษิณ บอกว่าแต่นี้ต่อไป รัฐบาลของท่านจะเคารพในสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน คำพูดครั้งนั้นได้สร้างความประทับใจให้ผู้คนเป็นจำนวนมาก เพราะเท่ากับรัฐบาลทักษิณได้เปลี่ยนท่าทีกับสื่อมวลชนแล้ว!
แต่เมื่อเดือนที่แล้ว องค์กรทางวิชาชีพหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน ต้องออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลได้พยายามเข้าแทรกแซงและใส่ร้ายสื่อมวลชน เช่นว่า "เต้าข่าว" เป็นต้น
อย่างนี้ก็เรียกว่า ปากว่าตาขยิบ หรือพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง ใช่ไหม?
ใครๆ ทั้งบ้านทั้งเมืองก็รู้ว่า ในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว มีการใช้เงินและใช้อิทธิพลของการเป็นรัฐบาลเข้าแทรกแซงการเลือกตั้ง
มีการใช้เงินจำนวนมหาศาล และใช้อิทธิพลของการเป็นรัฐบาลทุ่มเทผู้สมัครพรรค
รัฐบาล และขัดขวางพรรคฝ่ายตรงข้าม จนในที่สุดพรรคไทยรักไทยได้จำนวน ส .ส.ถึง 377 คน สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ!
เมื่อไม่นานมานี้คุณบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้บ่นว่าการรณรงค์เลือกตั้งครั้งที่แล้ว เป็นงานหนักที่สุดในชีวิตการเมืองที่ผ่านมา
คุณบรรหารใช้สำนวนว่าในการเลือกตั้งคราวที่แล้ว มี "ฝนตกห่าใหญ่" ซึ่งมีความหมายว่าในการหาเสียงครั้งที่แล้ว มีการใช้เงินใช้ทองกันจำนวนมากมหาศาล แถมยังมีการใช้อิทธิพลของการเป็นรัฐบาลเข้ามาในการหาเสียงเลือกตั้งด้วย
เรื่องนี้ต่อมาคุณทักษิณ ได้โต้ตอบว่า คุณบรรหารเป็นคน "หลงยุค" ไม่รู้ว่าประชาชนผู้เลือกตั้งได้เปลี่ยนทัศนคติในการเลือกตั้งแล้ว หมดความนิยมในพรรคชาติไทยแล้ว และหันมาให้ความสนับสนุนเชื่อถือพรรคไทยรักไทย จึงเทคะแนนให้ผู้สมัครของไทยรักไทย ไม่ใช่เพราะอำนาจเงินและด้วยอิทธิพลใดๆ
คุณทักษิณได้กล่าวว่า คุณบรรหารไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงดังกล่าว กลับมาหาว่าการเลือกตั้งคราวที่ว่า มี "ฝนตกห่าใหญ่" เป็นทำนองว่าพรรคไทยรักไทยทุ่มเงินและใช้อิทธิพลของการเป็นรัฐบาลเข้าแทรกแซงในการเลือกตั้ง
การพูดจาของคุณทักษิณเช่นนี้ นอกจากเป็นเรื่อง "ปากว่าตาขยิบ" ซึ่งมีความหมายว่า ทำจริงอย่างหนึ่งแล้วมาพูดอีกอย่างหนึ่ง! แถมยังมีอาการ "ปากแข็ง" เสียอีกด้วย!
เมื่อต้นเดือนนี้นี่เอง ในงานวันเกิดของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
ได้มีรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบอกว่า มีนายทหารระดับ เสธ.คนหนึ่ง ได้กล่าวอย่างโจ๋งครึ่มกลางงานวันเกิดของคุณหญิงสุดารัตน์ ว่า ภรรยาของเขาจะลงสมัคร ส.ว.กรุงเทพฯ ในการเลือกตั้ง ส.ว.ในต้นปีหน้า ขอให้สามีและตัวคุณหญิงสุดารัตน์ช่วยสนับสนุนด้วย!
ไม่รู้ว่า เสธ.ผู้นั้น ได้เคยอ่านรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ห้ามไม่ให้ผู้สมัคร ส.ว.สังกัดพรรคการเมืองหรือเปล่า? หรืออันที่จริงก็รู้เรื่องบทบัญญัติดังกล่าวของรัฐธรรมนูญดีอยู่แล้ว! แต่ก็เชื่อมั่นว่าคนระดับรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยนั้น มีอิทธิพลเหนือบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็เป็นได้!
ในขณะเดียวกันก็มี ส.ว.ปัจจุบันคนหนึ่ง คือคุณวิชัย ครองยุติ สมาชิกวุฒิสภา อุบลราชธานี ได้ออกมาเปิดเผยว่า พรรคไทยรักไทยเตรียมผู้สมัคร ส.ว.ไว้ครบถ้วน ทั้ง 200 เขตเลือกตั้งแล้ว!
เมื่อมีผู้สื่อข่าวไปสอบถามเรื่องนี้กับนายกรัฐมนตรีทักษิณ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยด้วย ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า?
คุณทักษิณตอบเสียงแข็งว่า ไม่มีมูลความจริง! "..ไม่มีพรรคการเมืองไหน จะมานั่งส่ง ส.ว.หรอก!" เพราะรัฐธรรมนูญห้ามมิให้ ส.ว.สังกัดพรรคการเมือง!
การปฏิเสธเรื่องนี้จะเชื่อถือว่าจริงจังได้สักเพียงใด? หรือว่าเป็นเรื่อง "ปากว่าตาขยิบ" ของคุณทักษิณอีกแล้วกระมัง!
ต่อมา น.พ.ประสิทธิ์ พิทูรกิจจา ส.ว.นครสวรรค์ ได้ยืนยันว่า เรื่องพรรคไทยรักไทยกำลังเดินแผนยึดวุฒิสภาชุดใหม่นั้นเป็นความจริง
คุณหมอประสิทธิ์เปิดเผยว่า แผนของไทยรักไทยใช้ ส.ส.ในพื้นที่เป็นฐานเสียงและเป็น "หน้าม้า" ในการหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ว. ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญห้ามมิให้ผู้สมัคร ส.ว.หาเสียงสนับสนุนตัวเองได้!
นอกจากนี้ ส.ว.นครสวรรค์ปัจจุบัน ยังกล่าวด้วยว่า "...รวมแล้วค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งหน้าแต่ละคนจะไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ว.มีหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือจ่ายเงินให้กับ ส.ส.ในพื้นที่ ..."
ต่อมามีกระแสข่าวว่า มีผู้ว่าราชการจังหวัดบางจังหวัด ซึ่งใกล้เกษียณแล้ว เตรียมตัวสมัคร ส.ว.ได้ใช้งบประมาณของจังหวัดเพื่อหาเสียงปูทางไว้ก่อน
แต่เรื่องนี้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ถึงกับกล่าวเตือนให้ผู้ว่าฯ อย่าใช้เงินงบประมาณของจังหวัดปูทางไว้เพื่อลงสมัคร ส.ว.หลังเกษียณแล้ว โดยย้ำว่าการกระทำเช่นนั้น "เป็นการทำลายสถาบันผู้ว่าฯ"
ต่อมาในรายการวิทยุประจำสัปดาห์ นายกฯ ทักษิณคุยกับประชุาชน คุณทักษิณก็บอกว่าได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัด อย่าได้ใช้งบประมาณของผู้ว่าฯ ซีอีโอ เตรียมตัวหาเสียงในการจะลงสมัคร ส.ว.
ทางนายกรัฐมนตรีก็จะส่งทีมข่าวกรองไปสอดส่องพฤติกรรมของผู้ว่าฯ ซีอีโอเหล่านี้ ถ้ามีข้อเท็จจริงในทำนอง หาประโยชน์เพื่อการลงสมัคร ส.ว.ก็จะสั่งย้ายทันที! แม้จะใกล้เกษียณแล้วก็ตาม!
แสดงว่าเรื่องการใช้งบประมาณจังหวัด เพื่อเป็นการปูทางให้ผู้ว่าฯ ที่จะเกษียณ เตรียมตัวลงสมัคร ส.ว.นั้น ก็คงมีมูลแน่นอน นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงต้องกำชับเป็นการดักคอไว้ทีเดียวว่า อย่าได้ทำเป็นอันขาด!
ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะเป็นแบบ "ปากว่าตาขยิบ" อีกหรือ?
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม กรณีคุณหมอประสิทธิ์ ส.ว.นครสวรรค์ เปิดเผยนั้น เป็นเรื่องน่าคิดทีเดียว!
การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติห้ามมิให้ผู้สมัคร ส.ว.หาเสียงหาความนิยมเลยนั้น เป็นการฝืนธรรมชาติของการเมืองและการเลือกตั้ง
ฉะนั้นทางออกซึ่งเป็นช่องว่างอยู่ก็คือ ผู้สมัคร ส.ว.บางคนอาจใช้ฐานเสียงของ ส.ส.ในพื้นที่นั่นเองเป็นเสียงสนับสนุนตน และก็อาจใช้ ส.ส.นั้นเองเป็น "หน้าม้า" หาเสียงให้ตนด้วยเลย
การที่ผู้สมัคร ส.ว.จะมีความสัมพันธ์ถึงขนาดนั้นกับ ส.ส.ในพื้นที่ ก็ย่อมต้องมีการใช้เงินเป็นเครื่องผูกไมตรีกันให้มั่นคงแน่นอน ส่วนมูลค่าเงินทองค่าใช้จ่ายจะเป็นเท่าใดก็แล้วแต่จะตกลงกันเป็นรายๆ ไป
จำนวนเงิน 30 ล้านบาท ซึ่งคุณหมอประสิทธิ์กำหนดนั้น อาจเป็นเพียงการคาดคะเนของคุณหมอเอง จริงๆ แล้วก็คงจ่ายกัน อาจมากหรือน้อยกว่านั้นก็เป็นได้
เรื่องไทยรักไทยเข้าไปเกี่ยวพันกับการส่งผู้สมัคร ส.ว.นั้น อาจไม่ถึงแนวทางระดับพรรค! ขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มหรือแต่ละ "มุ้ง" ในไทยรักไทยจะเล่นกันไปเอง!
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า มีนายทหารระดับเสธ.คนหนึ่ง ไปกล่าวในงานวันเกิดคุณหญิงสุดารัตน์ ขอให้คุณหญิงและสามี ช่วยสนับสนุนภรรยาของ เสธ.ผู้นั้นในการสมัคร ส.ว.ของ กทม.ด้วยนั้น คงแสดงแต่เพียงว่า กลุ่มกทม.ของคุณหญิงสุดารัตน์มีแนวทางเช่นนั้นเท่านั้นเอง
อย่าลืมว่า พรรคไทยรักไทยยังไม่มีโครงสร้างแบบรวมศูนย์ แต่เป็นแบบแบ่งเป็นกลุ่มเป็น "มุ้ง" หรือเป็น "วัง" ดังนั้นเรื่องการสนับสนุนผู้สมัคร ส.ว.อาจไม่ได้เป็นแนวทางของพรรคไทยรักไทยทั้งหมด แต่เป็นเพียงแนวของแต่ละกลุ่มเท่านั้นเอง
อันที่จริงเรื่องการเลือกตั้ง ส.ว.นั้น ในที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องพรรคการเมืองไปได้!
ใช่ว่าไทยรักไทยจะสามารถคุมการเลือกตั้ง ส.ว.ได้ทั้งประเทศ 200 คน เฉพาะในจังหวัด ภาคใต้นั้น ผู้ที่โน้มเอียงไปในทางไทยรักไทย ย่อมยากที่จะได้รับเลือกเป็น ส.ว.ของจังหวัดภาคใต้ได้!
ตรงกันข้ามในจังหวัดภาคใต้ ผู้ที่มีความผูกพันกับประชาธิปัตย์ ย่อมมีทางที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาของจังหวัดภาคใดได้ง่ายกว่า
ฉะนั้น เมื่อมีข่าวว่าคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ จะลงสมัคร ส.ว.ที่นครศรีธรรมราช ก็หวังได้ว่า คุณหญิงก็คงได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะเคยเป็น ส.ส.จังหวัดนี้มาก่อน และได้ถอยออกจากประชาธิปัตย์มา 4-5 ปีแล้วก็ตาม ทั้งนามสกุล "มาศดิตถ์" ก็ผูกพันกับการเมืองของนครศรีธรรมราชมานานแล้ว
ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีข่าวว่าคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ จะลงสมัคร ส.ว.ที่นครพนม ไทยรักไทยจะสนับสนุนคุณหญิงหลุยส์หรือไม่ก็ตาม แต่ความจริงที่ว่าคุณหญิงเป็นภรรยาของ "พ่อใหญ่" จิ๋ว ก็เป็นหลักประกันได้ว่าคุณหญิงพันธุ์เครือ คงได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภานครพนมค่อนข้างแน่นอน!
อันที่จริงพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีทักษิณที่จัดว่าเป็นเรื่อง "ปากว่าตาขยิบ" นั้น คงมีสาเหตุมาแต่ความจริงที่ว่าคุณทักษิณเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าตนเป็นยอดมนุษย์ ไม่มีใครฉลาด รู้ทันตน จึงพูดอะไรออกไป เป็นการถูกต้องตามหลักการ แต่ความจริงพฤติกรรมกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็คงคิดว่าไม่มีใครจับได้ไล่ทัน!
แต่อย่าลืมว่าคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 5 ปีแล้ว ผู้คนถึงแม้ไม่ฉลาดลึกล้ำเท่าคุณทักษิณก็จริง แต่ก็นานพอที่จะจับร่องรอยของคุณทักษิณได้บ้างแล้ว!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ยิ่งอยู่ในอำนาจนาน ยิ่งต้องระมัดระวังและมีความสำรวมในการพูดจากมากขึ้น! เพราะผู้คนย่อมเห็นร่องรอยได้ง่ายและชัดเจนขึ้น!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำประเทศที่มักปากว่าตาขยิบ เพราะเป็นผู้ที่พูดอะไร มักถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของเรื่องราว แต่จริงๆ แล้วรัฐบาลของท่านหรือพรรคของท่าน มักทำไปอีกอย่าง! เป็นการตรงกันข้ามเสมอ!
เมื่อปีที่แล้ว สื่อมวลชนได้จัดงานใหญ่ที่อาคารอิมแพค เมืองทองธานี คุณทักษิณได้รับเชิญให้ไปกล่าวเปิดงาน
คุณทักษิณ บอกว่าแต่นี้ต่อไป รัฐบาลของท่านจะเคารพในสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน คำพูดครั้งนั้นได้สร้างความประทับใจให้ผู้คนเป็นจำนวนมาก เพราะเท่ากับรัฐบาลทักษิณได้เปลี่ยนท่าทีกับสื่อมวลชนแล้ว!
แต่เมื่อเดือนที่แล้ว องค์กรทางวิชาชีพหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชน ต้องออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลได้พยายามเข้าแทรกแซงและใส่ร้ายสื่อมวลชน เช่นว่า "เต้าข่าว" เป็นต้น
อย่างนี้ก็เรียกว่า ปากว่าตาขยิบ หรือพูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง ใช่ไหม?
ใครๆ ทั้งบ้านทั้งเมืองก็รู้ว่า ในการเลือกตั้งใหญ่คราวที่แล้ว มีการใช้เงินและใช้อิทธิพลของการเป็นรัฐบาลเข้าแทรกแซงการเลือกตั้ง
มีการใช้เงินจำนวนมหาศาล และใช้อิทธิพลของการเป็นรัฐบาลทุ่มเทผู้สมัครพรรค
รัฐบาล และขัดขวางพรรคฝ่ายตรงข้าม จนในที่สุดพรรคไทยรักไทยได้จำนวน ส .ส.ถึง 377 คน สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ!
เมื่อไม่นานมานี้คุณบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้บ่นว่าการรณรงค์เลือกตั้งครั้งที่แล้ว เป็นงานหนักที่สุดในชีวิตการเมืองที่ผ่านมา
คุณบรรหารใช้สำนวนว่าในการเลือกตั้งคราวที่แล้ว มี "ฝนตกห่าใหญ่" ซึ่งมีความหมายว่าในการหาเสียงครั้งที่แล้ว มีการใช้เงินใช้ทองกันจำนวนมากมหาศาล แถมยังมีการใช้อิทธิพลของการเป็นรัฐบาลเข้ามาในการหาเสียงเลือกตั้งด้วย
เรื่องนี้ต่อมาคุณทักษิณ ได้โต้ตอบว่า คุณบรรหารเป็นคน "หลงยุค" ไม่รู้ว่าประชาชนผู้เลือกตั้งได้เปลี่ยนทัศนคติในการเลือกตั้งแล้ว หมดความนิยมในพรรคชาติไทยแล้ว และหันมาให้ความสนับสนุนเชื่อถือพรรคไทยรักไทย จึงเทคะแนนให้ผู้สมัครของไทยรักไทย ไม่ใช่เพราะอำนาจเงินและด้วยอิทธิพลใดๆ
คุณทักษิณได้กล่าวว่า คุณบรรหารไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริงดังกล่าว กลับมาหาว่าการเลือกตั้งคราวที่ว่า มี "ฝนตกห่าใหญ่" เป็นทำนองว่าพรรคไทยรักไทยทุ่มเงินและใช้อิทธิพลของการเป็นรัฐบาลเข้าแทรกแซงในการเลือกตั้ง
การพูดจาของคุณทักษิณเช่นนี้ นอกจากเป็นเรื่อง "ปากว่าตาขยิบ" ซึ่งมีความหมายว่า ทำจริงอย่างหนึ่งแล้วมาพูดอีกอย่างหนึ่ง! แถมยังมีอาการ "ปากแข็ง" เสียอีกด้วย!
เมื่อต้นเดือนนี้นี่เอง ในงานวันเกิดของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย
ได้มีรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งบอกว่า มีนายทหารระดับ เสธ.คนหนึ่ง ได้กล่าวอย่างโจ๋งครึ่มกลางงานวันเกิดของคุณหญิงสุดารัตน์ ว่า ภรรยาของเขาจะลงสมัคร ส.ว.กรุงเทพฯ ในการเลือกตั้ง ส.ว.ในต้นปีหน้า ขอให้สามีและตัวคุณหญิงสุดารัตน์ช่วยสนับสนุนด้วย!
ไม่รู้ว่า เสธ.ผู้นั้น ได้เคยอ่านรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ห้ามไม่ให้ผู้สมัคร ส.ว.สังกัดพรรคการเมืองหรือเปล่า? หรืออันที่จริงก็รู้เรื่องบทบัญญัติดังกล่าวของรัฐธรรมนูญดีอยู่แล้ว! แต่ก็เชื่อมั่นว่าคนระดับรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทยนั้น มีอิทธิพลเหนือบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็เป็นได้!
ในขณะเดียวกันก็มี ส.ว.ปัจจุบันคนหนึ่ง คือคุณวิชัย ครองยุติ สมาชิกวุฒิสภา อุบลราชธานี ได้ออกมาเปิดเผยว่า พรรคไทยรักไทยเตรียมผู้สมัคร ส.ว.ไว้ครบถ้วน ทั้ง 200 เขตเลือกตั้งแล้ว!
เมื่อมีผู้สื่อข่าวไปสอบถามเรื่องนี้กับนายกรัฐมนตรีทักษิณ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยด้วย ว่าเป็นความจริงหรือเปล่า?
คุณทักษิณตอบเสียงแข็งว่า ไม่มีมูลความจริง! "..ไม่มีพรรคการเมืองไหน จะมานั่งส่ง ส.ว.หรอก!" เพราะรัฐธรรมนูญห้ามมิให้ ส.ว.สังกัดพรรคการเมือง!
การปฏิเสธเรื่องนี้จะเชื่อถือว่าจริงจังได้สักเพียงใด? หรือว่าเป็นเรื่อง "ปากว่าตาขยิบ" ของคุณทักษิณอีกแล้วกระมัง!
ต่อมา น.พ.ประสิทธิ์ พิทูรกิจจา ส.ว.นครสวรรค์ ได้ยืนยันว่า เรื่องพรรคไทยรักไทยกำลังเดินแผนยึดวุฒิสภาชุดใหม่นั้นเป็นความจริง
คุณหมอประสิทธิ์เปิดเผยว่า แผนของไทยรักไทยใช้ ส.ส.ในพื้นที่เป็นฐานเสียงและเป็น "หน้าม้า" ในการหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ว. ทั้งนี้เพราะรัฐธรรมนูญห้ามมิให้ผู้สมัคร ส.ว.หาเสียงสนับสนุนตัวเองได้!
นอกจากนี้ ส.ว.นครสวรรค์ปัจจุบัน ยังกล่าวด้วยว่า "...รวมแล้วค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้ง ส.ว.ครั้งหน้าแต่ละคนจะไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งว่าที่ผู้สมัคร ส.ว.มีหน้าที่เพียงอย่างเดียว คือจ่ายเงินให้กับ ส.ส.ในพื้นที่ ..."
ต่อมามีกระแสข่าวว่า มีผู้ว่าราชการจังหวัดบางจังหวัด ซึ่งใกล้เกษียณแล้ว เตรียมตัวสมัคร ส.ว.ได้ใช้งบประมาณของจังหวัดเพื่อหาเสียงปูทางไว้ก่อน
แต่เรื่องนี้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ถึงกับกล่าวเตือนให้ผู้ว่าฯ อย่าใช้เงินงบประมาณของจังหวัดปูทางไว้เพื่อลงสมัคร ส.ว.หลังเกษียณแล้ว โดยย้ำว่าการกระทำเช่นนั้น "เป็นการทำลายสถาบันผู้ว่าฯ"
ต่อมาในรายการวิทยุประจำสัปดาห์ นายกฯ ทักษิณคุยกับประชุาชน คุณทักษิณก็บอกว่าได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัด อย่าได้ใช้งบประมาณของผู้ว่าฯ ซีอีโอ เตรียมตัวหาเสียงในการจะลงสมัคร ส.ว.
ทางนายกรัฐมนตรีก็จะส่งทีมข่าวกรองไปสอดส่องพฤติกรรมของผู้ว่าฯ ซีอีโอเหล่านี้ ถ้ามีข้อเท็จจริงในทำนอง หาประโยชน์เพื่อการลงสมัคร ส.ว.ก็จะสั่งย้ายทันที! แม้จะใกล้เกษียณแล้วก็ตาม!
แสดงว่าเรื่องการใช้งบประมาณจังหวัด เพื่อเป็นการปูทางให้ผู้ว่าฯ ที่จะเกษียณ เตรียมตัวลงสมัคร ส.ว.นั้น ก็คงมีมูลแน่นอน นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงต้องกำชับเป็นการดักคอไว้ทีเดียวว่า อย่าได้ทำเป็นอันขาด!
ถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะเป็นแบบ "ปากว่าตาขยิบ" อีกหรือ?
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม กรณีคุณหมอประสิทธิ์ ส.ว.นครสวรรค์ เปิดเผยนั้น เป็นเรื่องน่าคิดทีเดียว!
การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติห้ามมิให้ผู้สมัคร ส.ว.หาเสียงหาความนิยมเลยนั้น เป็นการฝืนธรรมชาติของการเมืองและการเลือกตั้ง
ฉะนั้นทางออกซึ่งเป็นช่องว่างอยู่ก็คือ ผู้สมัคร ส.ว.บางคนอาจใช้ฐานเสียงของ ส.ส.ในพื้นที่นั่นเองเป็นเสียงสนับสนุนตน และก็อาจใช้ ส.ส.นั้นเองเป็น "หน้าม้า" หาเสียงให้ตนด้วยเลย
การที่ผู้สมัคร ส.ว.จะมีความสัมพันธ์ถึงขนาดนั้นกับ ส.ส.ในพื้นที่ ก็ย่อมต้องมีการใช้เงินเป็นเครื่องผูกไมตรีกันให้มั่นคงแน่นอน ส่วนมูลค่าเงินทองค่าใช้จ่ายจะเป็นเท่าใดก็แล้วแต่จะตกลงกันเป็นรายๆ ไป
จำนวนเงิน 30 ล้านบาท ซึ่งคุณหมอประสิทธิ์กำหนดนั้น อาจเป็นเพียงการคาดคะเนของคุณหมอเอง จริงๆ แล้วก็คงจ่ายกัน อาจมากหรือน้อยกว่านั้นก็เป็นได้
เรื่องไทยรักไทยเข้าไปเกี่ยวพันกับการส่งผู้สมัคร ส.ว.นั้น อาจไม่ถึงแนวทางระดับพรรค! ขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มหรือแต่ละ "มุ้ง" ในไทยรักไทยจะเล่นกันไปเอง!
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่า มีนายทหารระดับเสธ.คนหนึ่ง ไปกล่าวในงานวันเกิดคุณหญิงสุดารัตน์ ขอให้คุณหญิงและสามี ช่วยสนับสนุนภรรยาของ เสธ.ผู้นั้นในการสมัคร ส.ว.ของ กทม.ด้วยนั้น คงแสดงแต่เพียงว่า กลุ่มกทม.ของคุณหญิงสุดารัตน์มีแนวทางเช่นนั้นเท่านั้นเอง
อย่าลืมว่า พรรคไทยรักไทยยังไม่มีโครงสร้างแบบรวมศูนย์ แต่เป็นแบบแบ่งเป็นกลุ่มเป็น "มุ้ง" หรือเป็น "วัง" ดังนั้นเรื่องการสนับสนุนผู้สมัคร ส.ว.อาจไม่ได้เป็นแนวทางของพรรคไทยรักไทยทั้งหมด แต่เป็นเพียงแนวของแต่ละกลุ่มเท่านั้นเอง
อันที่จริงเรื่องการเลือกตั้ง ส.ว.นั้น ในที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องพรรคการเมืองไปได้!
ใช่ว่าไทยรักไทยจะสามารถคุมการเลือกตั้ง ส.ว.ได้ทั้งประเทศ 200 คน เฉพาะในจังหวัด ภาคใต้นั้น ผู้ที่โน้มเอียงไปในทางไทยรักไทย ย่อมยากที่จะได้รับเลือกเป็น ส.ว.ของจังหวัดภาคใต้ได้!
ตรงกันข้ามในจังหวัดภาคใต้ ผู้ที่มีความผูกพันกับประชาธิปัตย์ ย่อมมีทางที่จะได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาของจังหวัดภาคใดได้ง่ายกว่า
ฉะนั้น เมื่อมีข่าวว่าคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ จะลงสมัคร ส.ว.ที่นครศรีธรรมราช ก็หวังได้ว่า คุณหญิงก็คงได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา เพราะเคยเป็น ส.ส.จังหวัดนี้มาก่อน และได้ถอยออกจากประชาธิปัตย์มา 4-5 ปีแล้วก็ตาม ทั้งนามสกุล "มาศดิตถ์" ก็ผูกพันกับการเมืองของนครศรีธรรมราชมานานแล้ว
ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีข่าวว่าคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ จะลงสมัคร ส.ว.ที่นครพนม ไทยรักไทยจะสนับสนุนคุณหญิงหลุยส์หรือไม่ก็ตาม แต่ความจริงที่ว่าคุณหญิงเป็นภรรยาของ "พ่อใหญ่" จิ๋ว ก็เป็นหลักประกันได้ว่าคุณหญิงพันธุ์เครือ คงได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภานครพนมค่อนข้างแน่นอน!
อันที่จริงพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีทักษิณที่จัดว่าเป็นเรื่อง "ปากว่าตาขยิบ" นั้น คงมีสาเหตุมาแต่ความจริงที่ว่าคุณทักษิณเป็นผู้ที่มีความมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าตนเป็นยอดมนุษย์ ไม่มีใครฉลาด รู้ทันตน จึงพูดอะไรออกไป เป็นการถูกต้องตามหลักการ แต่ความจริงพฤติกรรมกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง ก็คงคิดว่าไม่มีใครจับได้ไล่ทัน!
แต่อย่าลืมว่าคุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีมาเกือบ 5 ปีแล้ว ผู้คนถึงแม้ไม่ฉลาดลึกล้ำเท่าคุณทักษิณก็จริง แต่ก็นานพอที่จะจับร่องรอยของคุณทักษิณได้บ้างแล้ว!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ยิ่งอยู่ในอำนาจนาน ยิ่งต้องระมัดระวังและมีความสำรวมในการพูดจากมากขึ้น! เพราะผู้คนย่อมเห็นร่องรอยได้ง่ายและชัดเจนขึ้น!