xs
xsm
sm
md
lg

ยุคฟื้นฟูของการสักยันต์

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

เมื่อเดือนก่อนผู้จัดกวนของเราได้ลงภาพนายประมวล รุจนเสรี กำลังให้อาจารย์หนูสักยันต์ แล้วบรรยายภาพว่าเพื่อทำให้เก้าอี้เหนียวหนึบ ใครแซะก็ไม่ออก ซึ่งแม้ว่าจะถือเป็นจริงเป็นจังอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้สะท้อนให้เห็นว่ายุคฟื้นฟูของการสักยันต์ได้เกิดขึ้นแล้ว

บังเอิญหลังจากได้เห็นหนังสือผู้จัดกวนดังกล่าวแล้วก็ได้พบกับนายประมวล รุจนเสรี จึงได้ถามในทางสัพยอกว่าเดี๋ยวนี้ท่านอธิบดีต้องไปให้อาจารย์หนูสักยันต์แล้วหรือ? ที่เรียกอธิบดีก็เพราะว่านายประมวล รุจนเสรี เคยเป็นอธิบดีกรมการปกครองที่มีฝีมือลือชาปรากฏคนหนึ่งของกระทรวงมหาดไทย

นายประมวล รุจนเสรี ได้ยินคำถามดังนั้นก็ปฏิเสธลั่น จึงเอาหนังสือผู้จัดกวนให้ดู นายประมวล รุจนเสรี เห็นภาพแล้วก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าอาจารย์หนูอาจารย์เหนออะไรนั่นศักดิ์สิทธิ์สู้อาจารย์ทักษิณไม่ได้หรอก

การสักยันต์เป็นกรรมวิธีกำกับสติของคนไทยมาแต่โบราณ แต่ร่วงโรยเสื่อมความนิยมและใกล้จะดับสูญไปตามสมัยนิยม

คนไทยแต่โบราณนั้นนับถือพระพุทธศาสนา แต่ส่วนใหญ่กลับไม่รู้หนังสือ บางคนก็ความจำไม่ดี และเชื่อว่าพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ จะคุ้มครองป้องกันตนให้พ้นจากอันตรายทั้งปวงได้

ดังนั้นจึงแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการสักยันต์ไว้กับตัว วัตถุประสงค์ที่แท้จริงก็คือเพื่อให้มีสติรู้ว่ามีพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อยู่กับตัว หากจะเป็นตายร้ายดีประการใดก็ยังอุ่นใจว่ายังอยู่กับพระ แม้หากจะถึงตายก็ย่อมตายดี

ดังนั้นบรรดาทหารที่จะออกไปทำศึกสงครามจึงรักที่จะสักยันต์ไว้กับตัว เพราะในยามสู้รบกระทำศึกต่อกันนั้นความมุ่งมั่นก็จะอยู่ที่การสู้รบ ไม่อาจรำลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัยได้ จะได้ทำการสู้รบโดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง

และการสักยันต์ในสมัยโบราณก็ต้องกระทำโดยผู้ที่รู้หนังสือเป็นอย่างดี ซึ่งยุคนั้นภาษาไทยยังใช้ภาษาเขียนแบบภาษาขอม และผู้ที่รู้หนังสือเช่นนี้ก็คือพระสงฆ์ โดยเฉพาะสมภารเจ้าวัดต่าง ๆ

และเป็นธรรมดาของพระที่มีความเมตตาอาทรต่อพุทธศาสนิกชน ดังนั้นแม้วัตถุประสงค์แท้คือความต้องการให้มีพระรัตนตรัยติดอยู่กับตัว แต่พอสักยันต์เข้าจริงก็มักจะมีการตั้งจิตให้มั่นคง เพ่งเอาความปลอดภัยให้บังเกิด

เพราะเหตุที่พระสงฆ์ในยุคนั้นมีความบริสุทธิ์ในศีล มีกำลังของสมาธิที่แก่กล้า มีจิตที่มั่นคง จึงมีพลังที่สามารถแผ่ไปปกป้องคุ้มครองผู้อื่นด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัยได้ ดังนั้นจำนวนมากของการสักยันต์จึงไม่เพียงแต่เป็นแค่ให้รำลึกถึงคุณพระรัตนตรับ หากได้แฝงฝังความขลังของกำลังจิตไว้ในการสักยันต์นั้นด้วย

จึงมีอานิสงส์เป็นอย่างเดียวกันกับอานิสงส์ของพระปริตร คือ ปกป้องคุ้มครองป้องกันและกำจัดสรรพอุบาทว์และสรรพภัยทั้งหลายได้มากบ้างน้อยบ้างตามควรแก่กรณี

ผู้ที่เห็นและได้รับอานิสงส์เช่นนั้นก็จะกล่าวเล่าขานกันออกไป จนในที่สุดก็เลื่องชื่อลือชาว่าการสักยันต์นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ มีผลทางเมตตามหานิยมหรืออยู่ยงคงกระพันหรือแคล้วคลาด

จึงทำให้การสักยันต์ยิ่งแพร่หลายขยายตัวออกไป ทั้งผู้คนที่อยู่ในฝ่ายราชการและชาวบ้านทั่ว ๆ ไป

เมื่อความนิยมมีมากขึ้นการขวนขวายหาพระหรืออาจารย์เก่ง ๆ ก็ยิ่งกว้างขวางออกไป เรื่องการสักยันต์ก็ยิ่งโด่งดังเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นไปอีก

การสักยันต์ในสมัยก่อนนั้นจะมีส่วนประกอบสี่ส่วน คือ พระหรืออาจารย์ที่ทรงวิทยาคมส่วนหนึ่ง หมึกซึ่งใช้ในการสักยันต์อย่างหนึ่ง ซึ่งส่วนนี้ไม่ใช้หมึกดังที่ใช้กันในปัจจุบัน

แต่จะใช้ดีปลาช่อนแล้วฝนด้วยว่านนาคราชหรือว่านสบู่เลือด และหินอาถรรพ์หรือข้าวเม่าอาถรรพ์จำพวกหนึ่ง ซึ่งจำพวกนี้จะมีผลในทางอยู่ยงคงกระพันหรือแคล้วคลาด

หรืออีกจำพวกหนึ่งจะใช้น้ำมันมนต์แทนหมึกสักอย่างเดียว หรือใช้น้ำมันอาถรรพ์ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันปลาพะยูน น้ำมันเสือ น้ำมันช้าง หรือน้ำมันจันทน์ซึ่งจะมีผลในทางเมตตามหานิยม เป็นเสน่ห์อีกจำพวกหนึ่ง

นั่นเป็นสองส่วนสำคัญแล้ว ส่วนที่สามคืออักขระวิธีซึ่งเป็นอักษรขอมโบราณสักเป็นบทพระคาถาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หรือบทอิติปิโสแปดทิศ หรือหัวใจศีล หรือบทคาถาเต่าเลือน เป็นต้น

และส่วนที่สี่ก็คือส่วนประกอบจะเป็นรูปภาพเสือบ้าง พญานาคบ้าง นกคุ่มบ้าง ในส่วนนี้ยังมีส่วนรูปยันต์ไม่ว่าจะเป็นรูปยันต์มหาอุตม์ ยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์มะอะอุ ยันต์ธาตุทั้งสี่ เป็นต้น และยังรวมถึงรูปพระภัควัมบดี รูปอุนนาโลม รูปหัวกระดาน รูปท้ายกระดาน เป็นต้น

นั่นเป็นสี่ส่วนสำคัญของการสักยันต์ นอกจากนี้ก็ยังมีบทพระคาถาในการสักตัวอักขระ ในการสักรูปยันต์ หรือในการสักรูปพระ รวมทั้งบทตรึงพระคาถาอาคมทั้งหลาย

แต่ทั้งหมดนั้นจะมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาได้ก็ด้วยพลังจิต ที่ผู้สักมีภูมิธรรมขั้นสูงในระดับอย่างน้อยทุติยฌาน หรือถ้าจะเลิศก็ต้องอยู่ในระดับจตุตถฌาน และกระทำในอุปจารสมาธิ

ในยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง เรื่องราวของการสักยันต์โดยกรรมวิธีที่ว่านี้ได้แพร่ขยายไปในทุกภาคของประเทศไทย และในหมู่ชายชาติอาชาไนยทั้งปวง

แต่หลังเสร็จสงครามแล้วความนิยมก็ออกจะเสื่อมถอยลงไป ยิ่งเมื่อได้รับวัฒนธรรมตะวันตกก็ยิ่งเห็นว่าการสักยันต์เป็นเรื่องของพวกนักเลงหัวไม้ ประกอบทั้งบรรดาผู้มีฝีไม้ลายมือทั้งหลายเมื่อว่างศึกแล้วจำนวนหนึ่งก็ประพฤติตัวเป็นโจรผู้ร้าย

ทำให้อาชญากรจำนวนมากมีภาพลักษณ์ที่ปรากฏต่อสาธารณะว่ามีรอยสัก ดังนั้นพอนานวันเข้าใครเห็นใครมีรอยสักกับตัวก็จะเกิดความรู้สึกว่าเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าไว้วางใจ หนักเข้าก็มองว่าเป็นพวกอาชญากรไปเลย จะไปสมัครทำงานที่ไหนก็ถูกเขารังเกียจ

ยิ่งทำให้การสักยันต์ค่อย ๆ เสื่อมสลายสูญหายไป กรรมวิธีและกระบวนการในการสักยันต์ก็ค่อย ๆ สูญหายไป

แต่ต่อมาเมื่อเกิดสงครามเวียดนามพวกทหารฝรั่งเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น แล้วเกิดติดอกติดใจในรอยสักและแสวงหาอาจารย์สักยันต์ เมื่อสักแล้วกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตนก็เกิดการแตกตื่นฮือฮาเป็นเรื่องแปลกเป็นเรื่องประหลาด

แล้วระบาดหนักเข้าไปอีกเพราะบรรดาดาราหรือนักร้องฝรั่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังกระทั่งพวกฮิปปี้ก็พออกพอใจในรอยสักนั้น พากันเข้ามาแสวงหาในประเทศไทย

จึงเกิดธุรกิจใหม่ขึ้นในประเทศไทยคือการสักยันต์ แต่เพราะเหตุที่กรรมวิธีและกระบวนการสักเลือนหายไปมากแล้ว และเพราะการสักมีความเจ็บ มีความปวดแสบปวดร้อนเป็นอันมาก บางคนก็ทนไม่ได้ จึงทำให้เกิดกรรมวิธีใหม่คือการวาดรูปแทนการสักยันต์

ดังนั้นการสักยันต์ในยุคใหม่จึงมีอยู่สองแบบ คือ แบบที่สักกับตัวแต่ใช้หมึกเป็นพื้น แบบนี้สักกันทั้งเป็นรูปยันต์บ้าง เป็นรูปภาพต่างๆ ตามแต่จะนิยม หรือตามแต่ใจชอบบ้าง ส่วนอีกแบบหนึ่งก็คือการเขียนด้วยหมึกแทนการสัก แต่เป็นหมึกที่ติดทนนาน อยู่ได้ถึง 15 วัน แบบนี้จะเป็นนักเขียนอาสาสมัครซึ่งบ้างก็เป็นชาวบ้านธรรมดา บ้างก็จบช่างเขียน

การสักยันต์ทั้งสองแบบเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่ดาราฮอลลีวูดคนหนึ่งเกิดติดอกติดใจในรอยสักและเดินทางมาสักยันต์ในประเทศไทย โดยพาพรรคพวกเข้ามาสักยันต์อีกหลายคน

ในขณะเดียวกันพวกนักท่องเที่ยวที่อยากลองของแต่กลัวเจ็บก็เกิดนิยมการเขียนยันต์กับตัวหรือเขียนภาพกับตัวด้วยหมึก จึงทำให้ธุรกิจแบบนี้โด่งดังฮือฮาจนผู้จัดกวนต้องนำเอามาเขียน

สำหรับพวกที่เขียนด้วยหมึกนั้นเป็นการทำมาหากินด้วยตัวคนเดียว แต่อาจจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนและทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งทำรายได้ไม่น้อย ระหว่างวันละ 1,000-4,000 บาท

แต่พวกนี้ก็ถูกมารผจญ ถูกเทศกิจไล่จับราวกับเป็นหมูเป็นหมา ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รบกวนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และยังเป็นเสน่ห์ให้กับการท่องเที่ยวอีกด้วย จึงอยากจะบอกฝากเทศบาลหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหลายที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้พิจารณาทำบัตรหรือจัดที่ทำมาหากินให้แก่คนเหล่านี้ เพราะแท้จริงแล้วนี่ก็คือเสน่ห์ของการท่องเที่ยวไทยอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่พึงรังเกียจเดียดฉันท์แต่ประการใด

ส่วนพวกที่สักยันต์กันจริง ๆ นั้นเมื่อฝรั่งมานิยม คนไทยก็พลอยนิยมตาม สื่อมวลชนก็สนใจ ไปทำข่าวมาออกโทรทัศน์ ทำให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์และความมหัศจรรย์ต่าง ๆ แล้วเป็นข่าวฮือฮากันออกไป

กลายเป็นแฟชั่นยุคใหม่ดังที่เห็น ๆ กันอยู่ในทุกวันนี้

การสักยันต์แบบที่สักกันจริง ๆ นั้นควรจะต้องระมัดระวังกันให้ดี เพราะอาจเป็นที่มาแห่งการหลงงมงาย หรือเกิดฮึกเหิมขึ้นมาว่าอยู่ยงคงกระพันฟันไม่เข้า ยิงไม่ออกแล้วเพิ่มความฮึกเหิมจนไปก่อกรรมทำเข็ญต่อผู้อื่น ซึ่งไม่เป็นผลดี

ถ้าหากสักยันต์แล้วมีความรู้สึกสำนึกในบาปบุญคุณโทษ มีความเกรงกลัวและละอายต่อบาปเพราะมียันต์อันประกอบด้วยคุณของพระรัตนตรัยอยู่กับตัวแล้ว คอยกำกับสติตัวเองไม่ให้เผอเรอ ไม่ให้หลงก่อกรรมทำชั่ว ไม่ให้กินสินบาทคาดสินบนเช่นนั้นแล้ว การสักยันต์นั้นก็จะเป็นมงคลแก่ตัว และจะมีความสวัสดีในที่ทั้งปวง

ใครจะตั้งตัวเป็นอาจารย์สักยันต์ก็เหมือนกัน จะเป็นบาปอย่างมหันต์ถ้าหากว่าทำให้คนหลงเชื่อว่าการสักยันต์นั้นจะเป็นเครื่องป้องกันความผิด หรือฮึกเหิมกล้าที่จะทำความผิดโดยไม่เกรงกลัวบาปและกฎหมาย แต่จะได้รับผลบุญอนันต์ถ้าหากทำให้คนเชื่อได้ว่าเมื่อได้สักยันต์แล้วจะต้องมีสติมั่นคง มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป และมุ่งบำเพ็ญแต่ความดี เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนอื่น

นี่ก็เป็นอุปกรณ์เสริมอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวไทย ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยน่าจะลองให้ความสนใจและสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยต่อไป.
กำลังโหลดความคิดเห็น