xs
xsm
sm
md
lg

ทุนทางสังคม

เผยแพร่:   โดย: คำนูณ สิทธิสมาน

นักคิดนักปราชญ์หลายท่านในบ้านเราให้คำจำกัดความคำ ๆ นี้เอาไว้หลากหลายด้วยกัน

“ทุนทางสังคม”

บางท่านก็ใช้คำต่างกันออกไป แต่ได้ยินได้ฟังแล้วก็ใกล้เคียงกัน

ทุนชุมชน, ทุนชีวิต, ทุนจิตวิญญาณ, ทุนวัฒนธรรม, ทุนสาธารณะ ฯลฯ

หรือแม้แต่คำเก่าที่ให้ความหมายใกล้เคียงกันก็มี อย่างเช่น ขนบธรรมเนียม, วัฒนธรรม, จารีตประเพณี หรือแม้แต่ความเป็นเอกลักษณ์ของสังคมไทย

สำนักนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช. หรือสภาพัฒน์ฯ) ได้จำแนกทุนทางสังคมเอาไว้ 3 ส่วนหลัก ก็คือ

1. ทุนมนุษย์ ทั้งที่เป็นบุคคลทั่วไปและผู้นำทางสังคม เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน อาสาสมัคร ฯลฯ ที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจจากชุมชนเพราะมีบารมีส่วนตัว เช่น มีคุณธรรม วินัย ความซื่อสัตย์ จิตสำนึกสาธารณะ

2. ทุนที่เป็นสถาบัน ตั้งแต่สถาบันหลักของชาติ ได้แก่ สถาบันครอบครัว สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันสำคัญในสังคม เช่น สถาบันการศึกษา สถาบันการเมือง ฯลฯ องค์กรที่ตั้งขึ้นมา เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรชุมชน องค์กรประชาชน ภาคธุรกิจเอกชน และสื่อมวลชน

3. ทุนทางภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ทั้งภูมิปัญญาไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ วัฒนธรรมไทย จารีตประเพณีที่ดีงาม และสถาปัตยกรรมต่าง ๆ เช่น แหล่งประวัติศาสตร์ โบราณสถาน เป็นต้น

เชื่อว่ายังคงมีต้นทุนอื่น ๆ อีก อาทิ ความสวยงามของธรรมชาติ และบุคคลที่มีความสามารถหรือทักษะด้านต่าง ๆ ระบบเครือญาติ ฐานของสังคมที่เน้นคุณธรรมความกตัญญูรู้คุณ ฐานความคิดโอบอ้อมอารี เหล่านี้เข้าไปด้วย

คนที่มีกระบวนความคิดว่าจะคิดจะทำอะไรก็ตามต้องคำนวณย้อนกลับมาเป็นเม็ดเงินที่จับต้องได้ อาจจะมองไม่เห็นทุนทางสังคมมากนัก

แต่จริง ๆ แล้ว “ทุนทางสังคม” ในยุคนี้ที่ “ขายได้” ก็มี

OTOP ไงครับ !

เพราะนี่คือสินค้าที่ต่อยอดมาจากรากฐานภูมิปัญญาไทยในระดับชาวบ้าน และทักษะของชาวบ้าน ซึ่งผมว่าเป็น “ทุนทางสังคม” ล้วน ๆ

การพัฒนาประเทศใน 4 ทศวรรษที่ผ่านมา มีผลต่อทุนทางสังคมอยู่เหมือนกัน อย่างเช่น การกระจุกตัวของการพัฒนาอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้คนวัยหนุ่มสาวในภาคอีสานทะลักมาอยู่ในกรุงเทพฯ ทำให้หมู่บ้านร้างลงเรื่อย ๆ

เป็นอาการหนึ่งของภาวการณ์ “บ้านแตกสาแหรกขาด” เหมือนกัน

ลึกเข้าไปในเมืองอุตสาหกรรมที่เป็นตัวดึงดูดประชากรจากต่างถิ่นให้อพยพเข้าไปนั้น มีหลายกิจกรรมที่ทำลายต้นทุนทางสังคมโดยตรง มีคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และยาเสพติด

เศรษฐกิจที่เร่งรัดทำให้คนไทยเริ่มหลงลืมความเอื้ออาทรต่อกัน เอารัดเอาเปรียบ แก่งแย่งแข่งขัน

ปัญหาการใช้รถใช้ถนนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด

พวกเราต้องหาที่เบียดให้รถยนต์แทรกเข้าไปให้เร็วที่สุด เพื่อจะไปรับลูก หรือไปทำงานให้ทัน แล้วก็ก่นด่ารถรอบ ๆ ตัวไป

หรือเรื่องของศาสนา สังคมอุตสาหกรรมและบริโภคนิยมทำให้เราเข้าวัดน้อยลง และถือศีลต่ำกว่า 5 ข้อเป็นนิจ ใช่ไหม

เรื่องทุนทางสังคมนี้ เป็นประเด็นที่นานาชาติเริ่มให้ความสนใจมากขึ้น

OECD (The Organization for Economic Co-operation and Development) เคยวิเคราะห์ว่า ประเทศใดมีทุนทางสังคมสูง ระบบเศรษฐกิจจะเจริญก้าวหน้าและมีเสถียรภาพมากกว่าประเทศที่มีทุนทางสังคมต่ำ เพราะมีคนหรือองค์กรมีกระบวนการควบคุมทางสังคม (Social Control) ในการกำกับดูแลสมาชิกของกลุ่มเอง

พูดง่าย ๆ ว่า คนในสังคมยึดระเบียบวินัยและกฎกติกามากกว่า

เช่น ไม่เมาเหล้าแล้วขับรถ จนเกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจจำนวนมากในแต่ละปี

ในยามปกติ เรามักไม่สนใจต้นทุนส่วนนี้ เพราะมันตีเป็นเม็ดเงินไม่ได้ เพิ่งจะมาเห็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อภัยมา

คนไทยเริ่มเข้าใจและรู้ซึ้งถึงคุณค่าของ “ทุนทางสังคม” อย่างจริงจังก็ต่อเมื่อเราเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในช่วงปี 2540 หลายคนคงจะจำสภาพบ้านเมืองในช่วงดังกล่าวได้

ในขณะที่ทุนทางเศรษฐกิจ ทุนที่เป็นเม็ดเงินและทุนความเชื่อมั่นภายนอกของเราไม่มีเหลือแล้ว ในตอนนั้นเราก็ยังอยู่รอดมาได้ด้วยปัจจัยอย่างหนึ่งที่เป็นตัวรองรับเอาไว้ นั่นก็คือ “ทุนทางสังคม” เรามีทุนนี้อยู่ดั้งเดิมแล้ว เป็นต้นทุนที่ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษช่วยกันสร้างช่วยสะสมเอาไว้ให้

ไม่มีเงินเดือนกินก็กลับไปพักพิงอยู่กับญาติต่างจังหวัดได้

เกิดโรงทานพระราชทานขึ้นกลางเมือง

รัฐบาลชุดนี้ถูกตำหนิว่ามุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจมากไปหน่อย น่าที่จะต้องให้ความสำคัญกับมิติทางด้านสังคมและวัฒนธรรมมากกว่านี้

ก็ต้องรอดูเทอม 2 กันละ

ปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นมากมายทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ส่วนหนึ่งมาจากการไม่สมดุลของการพัฒนาในช่วง 3 - 4 ทศวรรษที่ผ่านมา เพราะเรามุ่งเน้นภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเป็นหลัก ก็เลยมาถึงอีกศัพท์ฮิตหนึ่ง

“การพัฒนาอย่างยั่งยืน”

ฮิตจนเกือบจะกลายเป็น “ศัพท์โหล” ที่ใช้กันทั่วไป กวาดตาไปทางไหนจะมีคำว่า “อย่างยั่งยืน” ต่อท้ายจนกลายเป็นศัพท์สามัญไปแล้ว

มีคำอธิบายคำว่าพัฒนาอย่างยั่งยืนจำนวนมาก ซึ่งทั้งหมดขมวดอยู่ที่คำ 3 คำเท่านั้น นั่นก็คือ...

การพัฒนาเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ, สังคมวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม

สมดุลคืออะไร ?

ก็คือ การไม่เน้นเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งโดยทอดทิ้งเป้าหมายอื่นไว้ข้างหลัง

ตัวอย่างเล็ก ๆ เช่น การขยายถนนดั้งเดิมเป็น 6 เลนเพื่อรองรับรถคอนเทนเนอร์ หรือรถน้ำมัน ออกแบบให้เป็นถนนไฮเวย์ แต่ไม่ได้สนใจว่าชาวบ้านร้านตลาดที่เขาเคยจอดรถริมถนน แวะซื้อโจ๊ก ซื้อปาท่องโก๋ เคยยูเทิร์นหรือข้ามไปข้ามมาสะดวก ก็ทำไม่ได้อีกต่อไป ร้านรวงริมถนนเส้นนั้นเจ๊งหมด

หมายถึงว่า เราขยายถนนเพื่อตอบสนองทุนใหญ่แต่ได้ละเลยเศรษฐกิจเล็ก ๆ ของชุมชนไป เพราะไปมองเป้าใหญ่ที่เป็นตัวเลขหลายหลัก

หรือแม้แต่การออกแบบถนน เราก็ทำเพื่อรถเป็นหลัก ทางเท้าสำหรับคนเดินมีน้อยมาก

หากเกิดการพัฒนาแบบไม่สมดุลดังที่ผ่านมาและที่เป็นอยู่

สักวันหนึ่ง -- ส่วนที่มันไม่สมดุล ก็คือปัญหาภาคสังคมวัฒนธรรม หรือปัญหาสิ่งแวดล้อม จะมาเป็นตัวฉุดรั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยตัวของมันเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น