xs
xsm
sm
md
lg

ทิศทางอุตสาหกรรมเหล็กของจีน

เผยแพร่:   โดย: ยุทธศักดิ์ คณาสวัสดิ์

อุตสาหกรรมเหล็กของจีนนับเป็นกรณีศึกษาสำคัญสำหรับประเทศไทยที่ปัจจุบันมีเอกชนบางรายสนใจลงทุน แต่ก็หวั่นเกรงว่าจะอยู่รอดหรือไม่ ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเป็นหนี้ NPLs หรือไม่ และโครงการมีความสามารถในการแข่งขันมากน้อยเพียงไร การอยู่รอดจะพึ่งพาการคุ้มครองโดยตั้งอากรขาเข้าสูงๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น รถยนต์ ก่อสร้าง ฯลฯ หรือไม่

อุตสาหกรรมเหล็กของจีนเริ่มต้นภายหลังญี่ปุ่นทำสงครามชนะรัสเซียเมื่อปี 2448 ทำให้ครอบครองแมนจูเรียซึ่งอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน ต่อมาในปี 2452 มีการค้นพบแหล่งสินแร่เหล็กในแมนจูเรีย ญี่ปุ่นจึงก่อสร้างโรงงานถลุงเหล็กขึ้นที่นคร Anshan เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องบินของสหรัฐฯ ได้มาทิ้งระเบิดโรงงานถลุงเหล็กแห่งนี้ เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงพร้อมกับการพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น สหภาพโซเวียตได้เข้ามายึดครองแมนจูเรีย พร้อมกับถือโอกาสรื้อถอนเครื่องจักรในอุตสาหกรรมเหล็กกลับประเทศ โดยถือเสมือนว่าเป็นค่าปฏิกรรมสงคราม

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างจีนคณะชาติและจีนคอมมิวนิสต์ในเวลาต่อมา ยิ่งทำให้โรงงานที่นคร Anshan เสียหายแทบทั้งหมด โดยเมื่อปี 2492 ซึ่งเป็นปีที่ฝ่ายจีนคอมมิวนิสต์ชนะสงคราม ประเทศจีนรวมกันทั้งประเทศผลิตเหล็กดิบในปีนั้นเป็นจำนวนเพียงแค่ 148,000 ตัน

ต่อมาจีนได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ รัฐบาลได้วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรกซึ่งใช้ระหว่างปี 2496 – 2500 โดยเน้นพัฒนาอุตสาหกรรมหนัก รวมถึงอุตสาหกรรมเหล็กด้วย มีการก่อสร้างเตาถลุงเหล็กซึ่งออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญจากสหภาพโซเวียต ทำให้ผลผลิตเหล็กของจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม จุดพลิกผันเกิดขึ้นในปี 2501 เมื่อรัฐบาลจีนมีนโยบาย “The Great Leap Forward” หรือ “ก้าวกระโดดไปข้างหน้า” ตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 2 โดยกระตุ้นให้ครัวเรือนก่อตั้งโรงงานถลุงเหล็กขนาดเล็กขึ้น แม้จะเพิ่มกำลังผลิตเหล็กจำนวนมาก แต่เป็นการผลิตโดยใช้เทคโนโลยีล้าสมัย ทำให้เหล็กถลุงมีคุณภาพต่ำมากจนแทบไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ นโยบายที่ผิดพลาดได้ส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กของจีนจึงอ่อนแอลงอย่างมาก

อุตสาหกรรมเหล็กของจีนเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งในปี 2503 เมื่อรัฐบาลสั่งซื้อเครื่องจักรที่ทันสมัย คือ เตาถลุงเหล็กกล้าแบบ Basic Oxygen Furnace จากออสเตรีย และเตาอาร์คไฟฟ้าจากญี่ปุ่น เพื่อนำมาปรับปรุงโรงงานเหล็กที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เป็นการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมเหล็กในช่วงสั้นๆ เท่านั้น การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนต้องมาสะดุดหยุดลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมืองจากการปฏิวัติวัฒนธรรมโดยกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายซ้าย

ภายหลังนายเหมาเจ๋อตุงเสียชีวิตลง นายเติ้งเสี่ยวผิงกุมอำนาจทางการเมืองอย่างสิ้นเชิงเมื่อเดือนธันวาคม 2521 ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจใหม่มาสู่การเปิดประเทศ มีการก่อตั้งบริษัท Baoshan (ปัจจุบันคือบริษัท Baosteel) ขึ้น นับเป็นโรงงานเหล็กที่ทันสมัยแห่งแรกของจีน ออกแบบโรงงานโดยบริษัท Nippon Steel ของญี่ปุ่น ก่อสร้างเสร็จและเปิดดำเนินการในปี 2528

ปริมาณการผลิตเหล็กของจีนเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากเดิมเพียงแค่ 34.5 ล้านตัน ในปี 2522 เพิ่มขึ้นเป็น 52 ล้านตัน ในปี 2529 จากนั้นผลิตทะลุ 100 ล้านตัน ในปี 2539 และในปีนั้นเองจีนแซงหน้าญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศผลิตเหล็กมากเป็นอันดับ 1 ของโลก และล่าสุดในปี 2547 จีนผลิตเหล็กสูงถึง 272.5 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 25% ของผลผลิตทั่วโลก

สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน คือ บริษัท Baosteel มีฐานการผลิตหลักอยู่ที่นครเซี่ยงไฮ้ ปัจจุบันนับเป็นผู้ผลิตเหล็กใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยในปี 2547 มีปริมาณการผลิตเหล็กดิบ 21.4 ล้านตัน มีข้อได้เปรียบโรงงานเหล็กอื่นๆ คือ ตั้งอยู่ติดกับท่าเรือน้ำลึก ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งเป็นอย่างมาก เน้นผลิตเหล็กที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กเคลือบสังกะสี ฯลฯ ขณะที่ปล่อยให้บริษัทอื่นๆ ผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ

แม้จีนผลิตเหล็กจำนวนมาก ขณะเดียวกันจีนนับเป็นประเทศที่บริโภคเหล็กมากที่สุดในโลกเช่นกัน ทำให้มีปริมาณการผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ ต้องนำเข้าเหล็กในปี 2547 มากถึง 29 ล้านตัน โดยเกือบทั้งหมดเป็นการนำเข้าเหล็กแผ่นคุณภาพสูงสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมยานยนต์

ขณะที่เหล็กทรงยาว เป็นต้นว่า เหล็กเส้น เหล็กรีดซ้ำ เหล็กสำหรับใช้เป็นรางรถไฟ ฯลฯ สถานการณ์กลับตรงกันข้าม จีนมีกำลังผลิตเกินความต้องการ จึงต้องส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ โดยในปี 2547 มีการส่งออก 11 ล้านตัน

ผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสังเกตว่าแม้จีนจะมี GDP ขนาดเพียงแค่ 1 ใน 8 ของสหรัฐฯ แต่กลับบริโภคเหล็กมากเป็น 2 เท่าของสหรัฐฯ เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมรถยนต์ ภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการก่อสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติยาว 4,200 กม. จากภาคตะวันตกไปยังภาคตะวันออกของประเทศ

การที่จีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ ทำให้บริษัทต่างประเทศพยายามส่งเหล็กเข้ามาจำหน่าย โดยภายหลังจีนได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก และมีพันธะในการลดอัตราอากรขาเข้าเหล็กจากเดิมมีอัตราเฉลี่ย 10.3% ลดลงเหลือ 6.1%

รัฐบาลจีนมีนโยบายเน้นปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเหล็กเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานเดิม โดยกำหนดเป้าหมายต่างๆ เป็นต้นว่า

-กำหนดว่าจะต้องเปลี่ยนเตาถลุงเหล็กกล้าจากเดิมแบบ Open-Hearth Furnace ซึ่งล้าสมัย มาเป็นแบบ Basic Oxygen Furnace ทั้งหมดภายในสิ้นปี 2544

-เพิ่มสัดส่วนการหล่อเหล็กแบบต่อเนื่อง Continuous Casting แทนที่แบบเดิม คือ Ingot เนื่องจากมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากกว่า

-เพิ่มประสิทธิภาพโดยลดปริมาณการใช้ถ่านหินต่อการถลุงเหล็กแต่ละตันจากเดิม 0.78 ตัน เหลือ 0.7 ตัน

-โรงงานผลิตเหล็กมีปัญหาคนล้นงานจำนวนมาก จึงมีการตั้งเป้าหมายลดจำนวนพนักงานจาก 1.3 ล้านคน เหลือ 600,000 คน ภายในปี 2548

อุตสาหกรรมเหล็กของจีนยังมีจุดอ่อนสำคัญ คือ เป็นการผลิตเหล็กประเภทที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำเป็นหลัก ซึ่งเดิมไม่เป็นปัญหามากนัก เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศส่วนใหญ่ต้องการเหล็กคุณภาพต่ำสำหรับใช้ในการก่อสร้าง

อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังอุปสงค์ต่อเหล็กคุณภาพสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ ทำให้จีนประสบปัญหาผลิตเหล็กคุณภาพสูงไม่เพียงพอกับความต้องการในประเทศ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศจำนวนมาก เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้น ในระยะหลังบริษัทจีนจึงพยายามก่อสร้างโรงงานผลิตเหล็กที่มีคุณภาพดีและมูลค่าเพิ่มสูง

จากตัวเลขของคณะกรรมการเหล็กแห่งทวีปอเมริกาเหนือ (North American Steel Trade Committee) ปัจจุบันหลายประเทศมีการก่อสร้างโรงงานถลุงเหล็ก ดังนั้น ในช่วง 5 ปีข้างหน้า คือ ปี 2553 กำลังผลิตเหล็กของโลกจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 25% จากปัจจุบัน ดังนั้น อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางหากอุปสงค์ต่อเหล็กไม่เพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย โดยเฉพาะหากจีนเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว จะส่งผลให้มีอุปทานส่วนเกินจำนวนมาก จำเป็นต้องส่งออกผลผลิตเหล็กจำนวนมากเพื่อทุ่มตลาดต่างประเทศ

ขณะเดียวกันในปัจจุบันมณฑลต่างๆ ของจีนพยายามส่งเสริมการก่อสร้างโรงงานเหล็กในมณฑลของตนเอง โดยการถลุงเหล็กนับเป็นอุตสาหกรรมหนัก ต้องลงทุนจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต้องอาศัยสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์มากกว่าจะมาจากเงินทุนของตนเอง

รัฐบาลจีนค่อนข้างวิตกกังวลในเรื่องการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กเป็นอย่างมาก เนื่องจากเกรงว่าจะก่อให้เกิดปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถาบันการเงินและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประกอบกับเกรงว่าประเทศจะประสบปัญหาขาดแคลนไฟฟ้ารุนแรงมากขึ้นอีก เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็กใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น รัฐบาลจีนจึงเข้มงวดอย่างมากในกรณีลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็ก โดยกำหนดหลักเกณฑ์ต่างๆ เป็นต้นว่า คณะรัฐมนตรีของจีนออกประกาศเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2547 กำหนดหลักเกณฑ์ว่าหากนักลงทุนสนใจลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ จะต้องใช้เงินทุนของตนเองอย่างน้อย 40% ก่อนจะไปหาเงินกู้ เพิ่มจากเดิมที่กำหนดให้เงินทุนของตนเองอย่างต่ำ 25%

รัฐบาลจะวิเคราะห์โครงการลงทุนในอุตสาหกรรมเหล็กอย่างรอบคอบ โดยหากไม่สอดคล้องกับนโยบายแล้ว จะไม่อนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อตั้งโรงงานเหล็ก ไม่อนุญาตให้ใช้กระแสไฟฟ้า ไม่อนุญาตให้ตั้งโรงงาน รวมถึงไม่อนุญาตให้บริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

ในระยะที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ดำเนินการกับผู้ละเมิดนโยบายของรัฐอย่างเข้มงวด เป็นต้นว่า เมื่อเดือนมีนาคม 2547 มีการจับกุมผู้บริหารของบริษัท Jiangsu Tieben Iron & Steel ในข้อหาก่อสร้างโรงงานเหล็กที่เมือง Changzhou (ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 150 กม.) โดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมกับผ่าฝืนกฎระเบียบการใช้ที่ดินผิดประเภท
กำลังโหลดความคิดเห็น