วันก่อน เพื่อนโทร. มาบอกว่าชอบงานที่ผมเขียนเรื่อง ประเทศไทยสู่ Chaotic Wholeness ซึ่งงานชิ้นนี้ผมกล่าวถึงเรื่องวิกฤตสิ่งแวดล้อม เพื่อนก็เล่าเรื่องการตัดไม้ทำลายป่าที่ผ่านมาในอดีตให้ผมฟัง
เพื่อนเล่าว่า การสร้างเขื่อน และการสร้างถนนเกี่ยวพันกับการทำลายล้างธรรมชาติและทรัพยากรได้อย่างไร
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีตสักประมาณ 20 ปีมาแล้ว
สมัยนั้นมี โครงการปลูกป่ากันอย่างใหญ่โต ผมไปเจอเพื่อนๆ ที่รับงานส่วนหนึ่งของโครงการ
ผมชมเพื่อนๆ ว่า
"โครงการนี้น่าสนใจ และดูดีนิ"
เพื่อนๆ ได้แต่ยิ้ม ยิ้มประหลาดๆ
รอยยิ้มของเพื่อนๆ ทำให้ผมเริ่มสงสัย ในที่สุดก็รู้ความจริงว่า เจตนาจริงๆ ก็คือการตัดป่าโดยอ้างว่า พื้นที่ป่าที่อุดมคือเขตป่าเสื่อมโทรม จึงมีความจำเป็นต้องปลูกป่ากัน
แต่แทนที่จะปลูก ก็ตัดป่าเอาไม้ไปขาย
นี่คือ นักธุรกิจไทย ข้าราชการไทย และนักการเมืองไทย
ช่วยกันกินป่า ทำลายป่า จนไม่เหลือ
พอคุยได้สักพัก เพื่อนถามผมว่า
"มีประเทศไหนบ้างที่ถลำลึกสู่สภาวะ Chaotic Wholeness จนเกิดวิกฤตใหญ่ๆ"
ผมแนะว่า น่าจะไปดูหนังเรื่อง Hotel Ravanda
ภาพยนตร์เรื่อง Hotel Ravanda เป็นเรื่องที่สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นประมาณปี 1994 ที่ประเทศรวันดา ประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งตั้งอยู่ตรงแถบแอฟริกาตอนกลาง
หนังดี หรือพูดได้ว่า "ดีมาก" ทั้งการสร้างและการแสดง แต่หาคนดูได้ยากเพราะเป็นเรื่องค่อนข้างเครียด หนัก และรุนแรง (อย่างยิ่ง)
ที่กล่าวว่ารุนแรง (อย่างยิ่ง) เพราะเรื่องนี้สะท้อนภาพของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างชนเผ่า Hutu กับชนเผ่า Tutsi
ในช่วงเวลาไม่นานนัก คนเกือบ 800,000 หรืออาจถึง 1,000,000 คน ถูกฆ่าตาย
ถือได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ
เดี๋ยวนี้ จนถึงวันนี้ การฆ่ากันก็ยังไม่สิ้นสุดลง แต่ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกสนใจ หรือพยายามที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย ปัจจุบันไม่เป็นข่าว และไม่มี "ค่า" ที่จะพูดถึงอีกต่อไป
คนผิวดำ "ฆ่า" กันเอง ก็ช่างหัวมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้พยายามสะท้อนความรู้สึกของผู้คนทั่วโลกไว้อย่างน่าสนใจทำนองว่า
พอได้ยินข่าว การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และคนตายนับล้าน คนที่ได้ยินข่าวก็จะหยุดทานอาหารสักพัก และอาจจะถามตัวเองว่า ที่ไหนนะรวันดา น่าสงสารจริงๆ เสร็จแล้วก็จะกินอาหารต่อ
พอหนังจบลง ผมกับหลานๆ ที่ไปดูด้วยกัน ก็ไปกินข้าว
หลานคนหนึ่งถามผมว่า
"มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น"
หลานตั้งคำถามนี้เพราะว่าหนังเรื่องนี้เริ่มต้นเดินเรื่องจากการฆ่ากัน และพยายามสะท้อนภาพความไม่สามารถของ UN ที่จะเข้าไปจัดการแก้ไขมากกว่าจะอธิบายสาเหตุของปัญหา
กรณีการฆ่ากันครั้งนี้เคยถูกนำเสนอเรื่องถึงสภาความมั่นคงของ UN แต่ไม่มีประเทศมหาอำนาจชาติไหนที่สนใจและพยายามเข้าไป เพราะหากมองในแง่เศรษฐกิจ หมายถึงงบประมาณมหาศาลที่ต้องจ่าย
นอกจากนี้ ในสายตาของชาติมหาอำนาจ วิกฤตและการฆ่ากันในแอฟริกาก็เกินกว่าจะแก้ไขได้ ทำได้เพียงปล่อยให้คนแอฟริกันฆ่ากันจนหมด และทุกอย่างจะดีเอง
ที่สำคัญ การฆ่ากันยังสามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่พ่อค้า และบรรษัทค้าอาวุธขนาดใหญ่ของโลก ผลประโยชน์และเงินทองจึงมีค่ายิ่งกว่าชีวิตผู้คน
ผมบอกหลานๆ ว่า
จนถึงวันนี้ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันระหว่างชนเผ่าทั้งสองก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะสงครามเปลี่ยนสภาพเป็นการล้างแค้น
มีหมอชาวสเปนคนหนึ่งชื่อ Laura Barroeta ที่ทำงานอยู่ที่รวันดา สรุปให้ฟังว่า
"เพียงแต่รู้ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเป็นฝ่ายตรงข้าม อีกฝ่ายหนึ่งก็จะใช้มีด หรืออาวุธ ฆ่าให้ตายทันที แม้ว่า คนที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นคนชรา ผู้หญิง หรือเด็กๆ"
เธอสรุปว่า ทุกวันนี้สงครามในรูปของการล้างแค้นได้กลายเป็นวัฏจักรสืบต่อที่ไม่มีวันสิ้นสุด
แต่อะไรเล่า คือสาเหตุ
คำตอบของผมคือ วิกฤตซ้อนวิกฤต หรือ Chaotic Wholeness พูดง่ายๆ แอฟริกาเกิดทั้งวิกฤตทางธรรมชาติ และวิกฤตทางเศรษฐกิจ และการเมือง และโรคภัยไข้เจ็บในเวลาเดียวกัน
ทฤษฎีระบบโลกถือแอฟริกาว่าเป็น โลกที่สี่ ไม่ใช่โลกที่สาม เป็นโลกที่ล้มละลายทางเศรษฐกิจเนื่องจากจำนวนหนี้สินที่ทับทวีคูณ
ในเวลาเดียวกันก็เกิดวิกฤตธรรมชาติคุกคามอย่างรุนแรง (อย่างยิ่ง) เขตทะเลทรายขยายตัวขึ้น และแพร่ครอบคลุมพื้นที่ไปเกือบ (อย่างน้อย) 14 ประเทศ
จุดไหนที่ไม่มีน้ำ และแห้งแล้ง ผู้คนก็ต้องอพยพหนีตาย มีจำนวนผู้อพยพเกือบ 30 ล้านคนกลายเป็นคนไร้แผ่นดิน ไร้ประเทศ ไม่มีที่อยู่ ต้องอาศัยในเขตผู้อพยพ ทุกปีมีคนอดตายนับล้าน
โลกทั้งร้อนและแล้งขึ้นทุกวันจนทำให้เขตทะเลทรายขยายพื้นที่ขึ้นทุกปี แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ก็เหลือน้อยลง
เพื่อเอาชีวิตให้อยู่รอด ผู้อพยพก็จะอพยพจากดินแดนที่แห้งแล้งไปแหล่งที่อุดม
สงครามที่เรียกว่า สงครามแย่งชิงทรัพยากร และแย่งชิงพื้นที่ที่อุดม จึงปรากฏขึ้น
รัฐบาลรวันดาจึงต้องทำทุกทางที่จะขับไล่ชนเผ่าไร้ถิ่นฐานเหล่านี้ออกไปจากพื้นที่ที่อุดมที่เหลืออยู่ของตน
เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว (อย่างยิ่ง) ก็ต้องใช้ความรุนแรง (อย่างยิ่ง) การฆ่าหมู่ขนาดใหญ่จึงเริ่มขึ้น
การใช้ความรุนแรง (อย่างยิ่ง) ก็คือ ที่มาของสงครามล้างแค้น
ชนเผ่า Hutu ประมาณ 2 ล้านคนลุกขึ้นจับมีด และปืน ฆ่าคนทุกคนที่เป็นชาว Tutsi ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง และเด็ก
เรื่องราวโศกนาฏกรรมขนาดใหญ่จึงได้เกิดขึ้นในราวันดา
ความรุนแรงที่รวันดาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวสงคราม และความรุนแรงที่ขยายตัวไปทั้งทวีปแอฟริกา
เริ่มที่ประเทศ Liberia เกิดสงครามยาวนานถึง 6 ปี ตามด้วยสงครามที่ประเทศ Somali ตามด้วยการล้างเผ่าพันธุ์ที่รวันดาซึ่งถูกเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์ ตามด้วยสงครามที่ Burundi สงครามที่ถูกเรียกว่า "Slow genecide" เพราะมีการฆ่ากันเป็นประจำทุกวัน ไม่มากนัก ทุกวันมีคนถูกฆ่าตายเป็นสิบจนถึงนับร้อย แต่พอรวมๆ กัน ถึงปัจจุบัน ตัวเลขรวมอาจจะถึงเกือบหลายแสนคน
ผลของสงครามทำให้ชาว Burundians เกือบ 600,000 คนต้องอพยพหนีสงคราม กลายเป็นคนไม่มีบ้าน และไม่มีแผ่นดินอยู่
ตามด้วยความรุนแรง และสงครามที่เกิดขึ้นที่ ประเทศ Zair และที่ Sierra Leone
ที่ประเทศ Sudan ก็เกิดสงครามระหว่างศาสนา ระหว่างคริสต์กับอิสลาม และเกิดภัยแล้งในช่วง เวลาเดียวกัน ในช่วงปี ค.ศ. 1990 ถึง 2000 คนตายไปไม่น้อยกว่า 1 ล้าน 4 แสนคน ผู้คนต้องหนีภัยสงคราม กลายเป็นคนอพยพ ไม่มีที่อยู่อาศัยเกือบประมาณ 3 ล้านคน
ผมบอกหลานๆ ว่า
"เชื่อไหม!! คนไทยน้อยคนนักที่จะรู้ว่า มีชื่อประเทศเหล่านี้อยู่ในโลก หรือรู้ว่าประเทศเหล่านี้อยู่ตรงไหน ไม่มีใครสนใจ และไม่มีคนไทยรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเพราะพวกเขาเป็นคนผิวดำแอฟริกา ไม่ใช่คนไทย"
เราลืมไปว่า
คนเหล่านี้ก็คือ มนุษย์ร่วมโลก และเหยื่อของสงครามคือ ผู้หญิง คนแก่ และเด็กๆ
ในขณะเดียวกับที่ต้องเผชิญภัยแล้ง และภัยสงคราม แอฟริกาก็เกิดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ และ อหิวาตกโรค ฆ่าและทำลายชีวิตผู้คนแอฟริกันไปอีกนับล้านๆ คน
ผมบอกหลานๆ ว่า
"เชื่อไหมว่า นรกมีจริง"
หลานถามขึ้นว่า
"สงครามในที่อื่นๆ มีเรื่องของสิ่งแวดล้อมเกี่ยวพันด้วยหรือไม่"
ผมตอบว่า
เดี๋ยวนี้ มิติของสงคราม ได้กลายสภาพเป็นสงครามช่วงชิงทรัพยากร ผมยกตัวอย่างเช่น สงครามที่เกิดขึ้นที่อิรัก และตะวันออกกลาง
หรือแม้แต่สงครามระหว่างอิสราเอล กับ ชาวปาเลสไตน์ ก็มีสภาพเป็นสงครามแย่งชิงทรัพยากร
หลานถามว่า
"น้ำมันอีกสิ"
ผมตอบว่า
"ไม่ใช่น้ำมัน แต่คือ น้ำ"
ชนวนที่มาอันสำคัญของความขัดแย้งคือแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งผู้ใช้แหล่งน้ำนี้มี ประเทศอิสราเอล ซีเรีย เลบานอน และชาวปาเลสไตน์
เนื่องจากเกษตรอุตสาหกรรมของอิสราเอลต้องการใช้น้ำจำนวนมากจากแม่น้ำนี้เป็นสำคัญ เพราะอิสราเอลมีพื้นที่ที่อยู่ในลุ่มน้ำเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำสายนี้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์
อิสราเอลจึงต้องยึดครองเวสต์แบงก์ (west bank) และที่ราบสูงโกลันซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืด และรวมทั้งทะเลสาบน้ำจืดกาลิลี
ปัจจุบัน ชาวอิสราเอลบริโภค 82 เปอร์เซ็นต์ของน้ำในเวสต์แบงก์ ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดิน มีโอกาสใช้น้ำได้เพียง 18 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แต่เรื่องก็ยังไม่จบแค่นี้ เพราะปัจจุบันน้ำในทะเลสาบกาลิลี และแม่น้ำจอร์แดน ยิ่งลดลงไปอีก ยิ่งเกิดความจำเป็นที่อิสราเอลต้องทำทุกทางที่จะยึดครองดินแดนแถบนี้ต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญสงครามที่ยาวนาน และยืดเยื้อก็ตาม
หลานๆ พอฟังผมเล่าจบ ก็บอกว่า
"ดีใจจริงๆ ที่เกิดบนแผ่นดินไทย"
ผมบอกว่า
"อย่าเพิ่งดีใจ"
ปัจจุบัน ประเทศไทยเริ่มต้องเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมโดยตรงแล้ว
วันนี้ ภาคใต้แหล่งท่องเที่ยวที่ถือว่ามีอนาคตที่สุดของประเทศไทย กำลังต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวและสึนามิ และอาจจะถือได้ว่า นี่คือการสูญเสียครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจด้วยตัวเลขไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท
ปีนี้ร้อนจัดมาก ปลายปีก็คงแล้งจัดอีก ถ้าร้อนและแล้งต่อเนื่องสัก 3 ปี ภาคเกษตรกรรมของประเทศไทยก็จะเผชิญหายนะใหญ่เช่นกัน
แม่น้ำโขงปีที่ผ่านมา บางช่วงเกือบไม่มีน้ำไหล บางคนโทษเรื่องจีนสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ แต่ที่จริงไม่ใช่เรื่องเขื่อนเท่านั้น แต่เนื่องจากน้ำแข็งบนยอดภูเขาหิมาลัยละลาย อันมีสาเหตุมาจากความร้อนของโลกที่เพิ่มขึ้น
เมื่อน้ำแข็งละลาย บางช่วงจะมีน้ำไหลบ่ารุนแรงจนน้ำท่วม แต่บางช่วงจะไม่มีน้ำเลย
แม่น้ำแยงซี ฮวงโหของประเทศจีนก็ต้องเผชิญวิบัติภัยน้ำท่วม และแล้งครั้งใหญ่ บางช่วงเกิดน้ำไหลหลากท่วมบ้านเมืองขนาดใหญ่ อย่างเช่น ข่าวน้ำท่วมใหญ่ที่แยงซี ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่บางช่วงก็แล้งจัด จนไม่มีน้ำ
ปัจจุบัน แม้แต่แม่น้ำไนล์ที่แอฟริกาซึ่งไหลผ่านหลายประเทศ อย่างเช่น เอธิโอเบีย อียิปต์ เคนยา ยูกานดา แทนซาเนีย คองโก ก็เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างประเทศที่เส้นทางน้ำผ่านเพราะมีการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ และผันน้ำจากที่หนึ่งไปใช้อีกที่หนึ่ง
แม้แต่ในประเทศอเมริกาก็เกิดสงครามช่วงชิงน้ำ ระหว่างชาวเมืองซึ่งอาศัยอยู่ที่หุบเขาโอเวนส์ กับชาวเมืองลอสแองเจลิส เพราะรัฐอเมริกาได้ทำท่อส่งน้ำจากหุบเขายาวนับร้อยไมล์เพื่อผันน้ำไปใช้ที่เมืองลอสแองเจลิส ชาวโอเวนส์ได้พยายามระเบิดท่อส่งน้ำจนปะทะกับทหารหลายครั้ง ทางรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการขุดน้ำบาดาลให้ชาวโอเวนส์ แต่เรื่องก็ยังไม่จบ เนื่องจากน้ำบาดาลเริ่มลดลง และน้ำในทะเลสาบโอเวนส์ก็แห้ง และลดลง การระเบิดท่อส่งน้ำจึงเกิดขึ้นอีก
ที่ประเทศอินเดีย ทุกสายน้ำกลายเป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้ง และสงครามระหว่างผู้คน และระหว่างรัฐต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างระบบชลประทาน และเขื่อนซึ่งทำหน้าที่เก็บกักน้ำ และผันน้ำจากที่หนึ่งไปใช้อีกที่หนึ่ง กลายเป็นศูนย์ของความขัดแย้งจนเกิดการฆ่ากัน และสงครามแย่งชิงน้ำ
ที่ประเทศจีน บ่อน้ำจำนวนประมาณหนึ่งในสามของประเทศแห้งขอดเพราะรัฐบาลเร่งพัฒนาเกษตร อุตสาหกรรม จนทำให้ระดับน้ำใต้ดินลดลงไปถึง 50 เมตรต่ำกว่าระดับน้ำทะเล รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องน้ำของจีนต้องออกมายอมรับความจริงว่า 600 เมืองในประเทศจีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำ และมากกว่า 100 เมืองขาดแคลนขั้นรุนแรง
อาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องการยุบตัวลงของแผ่นดินอันเกิดมาจากการใช้น้ำบาดาลเกินขนาดในประเทศจีน จนเกิดแอ่งใหญ่มหึมาถึง 3 แอ่งในดินแดนสามเหลี่ยมแม่น้ำแยงซี ก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 1.6 ล้าน ล้านบาท
จนกล่าวอย่างสรุปได้ว่า
ทุกวันนี้ น้ำ และสายน้ำซึ่งเคยเป็นที่มาของความชุ่มชื่น ร่มเย็น และเป็นแหล่งก่อเกิดสรรพชีวิตในโลกกำลังจะกลายเป็นที่มาของสงคราม และวิบัติภัยทางธรรมชาติ
อวิชชาแห่งเศรษฐศาสตร์
งานครั้งที่แล้ว ผมพูดถึง อวิชชาของประวัติศาสตร์ พูดแบบสรุปคือ ประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันเป็น เรื่องราวของประวัติศาสตร์ของมนุษย์เท่านั้น
ธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม ไม่มีค่า และไม่มีประวัติศาสตร์ เราไม่ได้เขียน หรือมีวิชาประวัติศาสตร์ของต้นไม้ ป่า เขา สัตว์...ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถูกมองเหมือนสิ่งที่ไร้ชีวิต และจะมี "ค่า" บ้าง หรือมีความหมายเมื่อมนุษย์ได้นำเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เท่านั้น
ปีที่ผ่านมา ผมเคยไปเที่ยวป่ากับเพื่อนที่เป็นแพทย์แผนไทย เดินไป เพื่อนก็เล่าถึงสมุนไพรให้ผมฟังว่า ไม้ชนิดนี้ชื่ออะไร ชนิดโน้นชื่ออะไร และใช้รักษาโรคอะไร จนรู้สึกสุดทึ่งในความรู้ของแพทย์แผนไทย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เราไม่เคยมองว่า พรรณไม้ที่เราเรียกว่าสมุนไพรเหล่านี้มี "ค่า" ในตัวเอง ไม่ใช่มี "ค่า" เพื่อให้มนุษย์นำเอามาใช้
วันก่อน ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขานำเอาภาพ 2 ภาพมาวางติดกัน ภาพแรก คือภาพของเขื่อนใหญ่ที่มนุษย์สร้างขึ้น อีกภาพหนึ่งเป็นภาพเขตป่าที่ชุ่มชื้น และมีน้ำตกเล็กๆ ไหลผ่าน
ใต้ภาพถามว่า
"การกักเก็บน้ำของธรรมชาติ กับเขื่อนที่มนุษย์สร้างขึ้น ใครกักเก็บน้ำได้มากกว่ากัน"
ใครรู้ ช่วยตอบผมที
เราเรียนวิชาประวัติศาสตร์อวิชชามายาวนานมาก ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดสะท้อนเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของมนุษย์เท่านั้น
เดินไปตามพิพิธภัณฑ์ จุดเริ่มประวัติศาสตร์ก็คือ การคิดประดิษฐ์เครื่องมือหิน การใช้ไฟ และหลังจากนั้น ประวัติศาสตร์ก็เคลื่อนไปด้วยการค้นคิดระบบชลประทานขนาดใหญ่ จนกลายเป็นที่มาของการปฏิวัติเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นฐานที่มาของคำว่า "อารยธรรม"
ดังนั้น คำว่า อารยธรรม จึงเกิดจากฝีมือ และความสามารถของมนุษย์เท่านั้น
นี่คือ อวิชชา ซึ่งเป็นฐานแห่งความ "อหังการ" ของมนุษยชาติ
เมื่อประวัติศาสตร์มีฐานรากที่เป็นอวิชชาซ่อนอยู่ วิชาสังคมศาสตร์อื่นๆ ก็หนีไม่พ้นฐานรากแห่งอวิชชาซ่อนอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "วิชาเศรษฐศาสตร์" ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์แบบทุนนิยม หรือสังคมนิยม
ฐานของอวิชชาของวิชาเศรษฐศาสตร์
ประการแรก
เริ่มจากความเชื่อว่า กิจการทางการผลิต และการบริโภค หรือเศรษฐศาสตร์ คือรากฐานแห่งชีวิต และระบบอารยธรรม หรือพูดง่ายๆ ถ้าเราสามารถทำการผลิตและพัฒนาการผลิต ก็จะก่อให้เกิดการพัฒนา เรามองว่า การเมือง หรือรัฐศาสตร์ คือโครงสร้างส่วนบนซึ่งงอกเงยขึ้นมาจากฐานทางเศรษฐกิจ ดำรงอยู่เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาการผลิต และกำหนดทิศทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
เราลืมไปว่า ยังมีรากฐานที่ยิ่งใหญ่กว่า เศรษฐศาสตร์ ที่รองรับ เอื้ออำนวยและสนับสนุนพัฒนาการรากฐานนั้นคือ ธรรมชาติ
พูดง่ายๆ ไม่มีแม่น้ำเจ้าพระยา (ที่อุดม และหลากหลายทางชีวภาพ) ไม่มีอารยธรรมศรีอยุธยา ไม่มีแม่น้ำโขง ก็ไม่มีนครวัด
อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ก่อเกิดขึ้นตามลุ่มน้ำ และเขตป่าเขาที่อุดมทั้งนั้น
นี่คือ ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ก็คือทฤษฎีที่ขาดพร่อง และไม่บูรณาการ
ในเมื่อทฤษฎีนี้ ไม่ประเมิน "ค่า" แห่งธรรมชาติ การทำลายล้างธรรมชาติ เพื่อสร้างอารยธรรมมนุษย์ เท่านั้น จึงปรากฏขึ้น
ถ้ากล่าวแบบแรงๆ สักหน่อย
เศรษฐศาสตร์ ในเวลาเดียวกัน จึงกลายเป็นศาสตร์แห่งการทำลายล้างธรรมชาติ
(อ่านต่อพรุ่งนี้)
เพื่อนเล่าว่า การสร้างเขื่อน และการสร้างถนนเกี่ยวพันกับการทำลายล้างธรรมชาติและทรัพยากรได้อย่างไร
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีตสักประมาณ 20 ปีมาแล้ว
สมัยนั้นมี โครงการปลูกป่ากันอย่างใหญ่โต ผมไปเจอเพื่อนๆ ที่รับงานส่วนหนึ่งของโครงการ
ผมชมเพื่อนๆ ว่า
"โครงการนี้น่าสนใจ และดูดีนิ"
เพื่อนๆ ได้แต่ยิ้ม ยิ้มประหลาดๆ
รอยยิ้มของเพื่อนๆ ทำให้ผมเริ่มสงสัย ในที่สุดก็รู้ความจริงว่า เจตนาจริงๆ ก็คือการตัดป่าโดยอ้างว่า พื้นที่ป่าที่อุดมคือเขตป่าเสื่อมโทรม จึงมีความจำเป็นต้องปลูกป่ากัน
แต่แทนที่จะปลูก ก็ตัดป่าเอาไม้ไปขาย
นี่คือ นักธุรกิจไทย ข้าราชการไทย และนักการเมืองไทย
ช่วยกันกินป่า ทำลายป่า จนไม่เหลือ
พอคุยได้สักพัก เพื่อนถามผมว่า
"มีประเทศไหนบ้างที่ถลำลึกสู่สภาวะ Chaotic Wholeness จนเกิดวิกฤตใหญ่ๆ"
ผมแนะว่า น่าจะไปดูหนังเรื่อง Hotel Ravanda
ภาพยนตร์เรื่อง Hotel Ravanda เป็นเรื่องที่สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นประมาณปี 1994 ที่ประเทศรวันดา ประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งตั้งอยู่ตรงแถบแอฟริกาตอนกลาง
หนังดี หรือพูดได้ว่า "ดีมาก" ทั้งการสร้างและการแสดง แต่หาคนดูได้ยากเพราะเป็นเรื่องค่อนข้างเครียด หนัก และรุนแรง (อย่างยิ่ง)
ที่กล่าวว่ารุนแรง (อย่างยิ่ง) เพราะเรื่องนี้สะท้อนภาพของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างชนเผ่า Hutu กับชนเผ่า Tutsi
ในช่วงเวลาไม่นานนัก คนเกือบ 800,000 หรืออาจถึง 1,000,000 คน ถูกฆ่าตาย
ถือได้ว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของมนุษยชาติ
เดี๋ยวนี้ จนถึงวันนี้ การฆ่ากันก็ยังไม่สิ้นสุดลง แต่ก็ไม่มีประเทศไหนในโลกสนใจ หรือพยายามที่จะยื่นมือเข้าไปช่วย ปัจจุบันไม่เป็นข่าว และไม่มี "ค่า" ที่จะพูดถึงอีกต่อไป
คนผิวดำ "ฆ่า" กันเอง ก็ช่างหัวมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้พยายามสะท้อนความรู้สึกของผู้คนทั่วโลกไว้อย่างน่าสนใจทำนองว่า
พอได้ยินข่าว การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และคนตายนับล้าน คนที่ได้ยินข่าวก็จะหยุดทานอาหารสักพัก และอาจจะถามตัวเองว่า ที่ไหนนะรวันดา น่าสงสารจริงๆ เสร็จแล้วก็จะกินอาหารต่อ
พอหนังจบลง ผมกับหลานๆ ที่ไปดูด้วยกัน ก็ไปกินข้าว
หลานคนหนึ่งถามผมว่า
"มันเกิดอะไรขึ้นที่นั่น"
หลานตั้งคำถามนี้เพราะว่าหนังเรื่องนี้เริ่มต้นเดินเรื่องจากการฆ่ากัน และพยายามสะท้อนภาพความไม่สามารถของ UN ที่จะเข้าไปจัดการแก้ไขมากกว่าจะอธิบายสาเหตุของปัญหา
กรณีการฆ่ากันครั้งนี้เคยถูกนำเสนอเรื่องถึงสภาความมั่นคงของ UN แต่ไม่มีประเทศมหาอำนาจชาติไหนที่สนใจและพยายามเข้าไป เพราะหากมองในแง่เศรษฐกิจ หมายถึงงบประมาณมหาศาลที่ต้องจ่าย
นอกจากนี้ ในสายตาของชาติมหาอำนาจ วิกฤตและการฆ่ากันในแอฟริกาก็เกินกว่าจะแก้ไขได้ ทำได้เพียงปล่อยให้คนแอฟริกันฆ่ากันจนหมด และทุกอย่างจะดีเอง
ที่สำคัญ การฆ่ากันยังสามารถสร้างความมั่งคั่งให้แก่พ่อค้า และบรรษัทค้าอาวุธขนาดใหญ่ของโลก ผลประโยชน์และเงินทองจึงมีค่ายิ่งกว่าชีวิตผู้คน
ผมบอกหลานๆ ว่า
จนถึงวันนี้ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันระหว่างชนเผ่าทั้งสองก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะสงครามเปลี่ยนสภาพเป็นการล้างแค้น
มีหมอชาวสเปนคนหนึ่งชื่อ Laura Barroeta ที่ทำงานอยู่ที่รวันดา สรุปให้ฟังว่า
"เพียงแต่รู้ว่าคนที่อยู่ต่อหน้าเป็นฝ่ายตรงข้าม อีกฝ่ายหนึ่งก็จะใช้มีด หรืออาวุธ ฆ่าให้ตายทันที แม้ว่า คนที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นคนชรา ผู้หญิง หรือเด็กๆ"
เธอสรุปว่า ทุกวันนี้สงครามในรูปของการล้างแค้นได้กลายเป็นวัฏจักรสืบต่อที่ไม่มีวันสิ้นสุด
แต่อะไรเล่า คือสาเหตุ
คำตอบของผมคือ วิกฤตซ้อนวิกฤต หรือ Chaotic Wholeness พูดง่ายๆ แอฟริกาเกิดทั้งวิกฤตทางธรรมชาติ และวิกฤตทางเศรษฐกิจ และการเมือง และโรคภัยไข้เจ็บในเวลาเดียวกัน
ทฤษฎีระบบโลกถือแอฟริกาว่าเป็น โลกที่สี่ ไม่ใช่โลกที่สาม เป็นโลกที่ล้มละลายทางเศรษฐกิจเนื่องจากจำนวนหนี้สินที่ทับทวีคูณ
ในเวลาเดียวกันก็เกิดวิกฤตธรรมชาติคุกคามอย่างรุนแรง (อย่างยิ่ง) เขตทะเลทรายขยายตัวขึ้น และแพร่ครอบคลุมพื้นที่ไปเกือบ (อย่างน้อย) 14 ประเทศ
จุดไหนที่ไม่มีน้ำ และแห้งแล้ง ผู้คนก็ต้องอพยพหนีตาย มีจำนวนผู้อพยพเกือบ 30 ล้านคนกลายเป็นคนไร้แผ่นดิน ไร้ประเทศ ไม่มีที่อยู่ ต้องอาศัยในเขตผู้อพยพ ทุกปีมีคนอดตายนับล้าน
โลกทั้งร้อนและแล้งขึ้นทุกวันจนทำให้เขตทะเลทรายขยายพื้นที่ขึ้นทุกปี แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ก็เหลือน้อยลง
เพื่อเอาชีวิตให้อยู่รอด ผู้อพยพก็จะอพยพจากดินแดนที่แห้งแล้งไปแหล่งที่อุดม
สงครามที่เรียกว่า สงครามแย่งชิงทรัพยากร และแย่งชิงพื้นที่ที่อุดม จึงปรากฏขึ้น
รัฐบาลรวันดาจึงต้องทำทุกทางที่จะขับไล่ชนเผ่าไร้ถิ่นฐานเหล่านี้ออกไปจากพื้นที่ที่อุดมที่เหลืออยู่ของตน
เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว (อย่างยิ่ง) ก็ต้องใช้ความรุนแรง (อย่างยิ่ง) การฆ่าหมู่ขนาดใหญ่จึงเริ่มขึ้น
การใช้ความรุนแรง (อย่างยิ่ง) ก็คือ ที่มาของสงครามล้างแค้น
ชนเผ่า Hutu ประมาณ 2 ล้านคนลุกขึ้นจับมีด และปืน ฆ่าคนทุกคนที่เป็นชาว Tutsi ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง และเด็ก
เรื่องราวโศกนาฏกรรมขนาดใหญ่จึงได้เกิดขึ้นในราวันดา
ความรุนแรงที่รวันดาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวสงคราม และความรุนแรงที่ขยายตัวไปทั้งทวีปแอฟริกา
เริ่มที่ประเทศ Liberia เกิดสงครามยาวนานถึง 6 ปี ตามด้วยสงครามที่ประเทศ Somali ตามด้วยการล้างเผ่าพันธุ์ที่รวันดาซึ่งถูกเอามาสร้างเป็นภาพยนตร์ ตามด้วยสงครามที่ Burundi สงครามที่ถูกเรียกว่า "Slow genecide" เพราะมีการฆ่ากันเป็นประจำทุกวัน ไม่มากนัก ทุกวันมีคนถูกฆ่าตายเป็นสิบจนถึงนับร้อย แต่พอรวมๆ กัน ถึงปัจจุบัน ตัวเลขรวมอาจจะถึงเกือบหลายแสนคน
ผลของสงครามทำให้ชาว Burundians เกือบ 600,000 คนต้องอพยพหนีสงคราม กลายเป็นคนไม่มีบ้าน และไม่มีแผ่นดินอยู่
ตามด้วยความรุนแรง และสงครามที่เกิดขึ้นที่ ประเทศ Zair และที่ Sierra Leone
ที่ประเทศ Sudan ก็เกิดสงครามระหว่างศาสนา ระหว่างคริสต์กับอิสลาม และเกิดภัยแล้งในช่วง เวลาเดียวกัน ในช่วงปี ค.ศ. 1990 ถึง 2000 คนตายไปไม่น้อยกว่า 1 ล้าน 4 แสนคน ผู้คนต้องหนีภัยสงคราม กลายเป็นคนอพยพ ไม่มีที่อยู่อาศัยเกือบประมาณ 3 ล้านคน
ผมบอกหลานๆ ว่า
"เชื่อไหม!! คนไทยน้อยคนนักที่จะรู้ว่า มีชื่อประเทศเหล่านี้อยู่ในโลก หรือรู้ว่าประเทศเหล่านี้อยู่ตรงไหน ไม่มีใครสนใจ และไม่มีคนไทยรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเพราะพวกเขาเป็นคนผิวดำแอฟริกา ไม่ใช่คนไทย"
เราลืมไปว่า
คนเหล่านี้ก็คือ มนุษย์ร่วมโลก และเหยื่อของสงครามคือ ผู้หญิง คนแก่ และเด็กๆ
ในขณะเดียวกับที่ต้องเผชิญภัยแล้ง และภัยสงคราม แอฟริกาก็เกิดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ และ อหิวาตกโรค ฆ่าและทำลายชีวิตผู้คนแอฟริกันไปอีกนับล้านๆ คน
ผมบอกหลานๆ ว่า
"เชื่อไหมว่า นรกมีจริง"
หลานถามขึ้นว่า
"สงครามในที่อื่นๆ มีเรื่องของสิ่งแวดล้อมเกี่ยวพันด้วยหรือไม่"
ผมตอบว่า
เดี๋ยวนี้ มิติของสงคราม ได้กลายสภาพเป็นสงครามช่วงชิงทรัพยากร ผมยกตัวอย่างเช่น สงครามที่เกิดขึ้นที่อิรัก และตะวันออกกลาง
หรือแม้แต่สงครามระหว่างอิสราเอล กับ ชาวปาเลสไตน์ ก็มีสภาพเป็นสงครามแย่งชิงทรัพยากร
หลานถามว่า
"น้ำมันอีกสิ"
ผมตอบว่า
"ไม่ใช่น้ำมัน แต่คือ น้ำ"
ชนวนที่มาอันสำคัญของความขัดแย้งคือแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งผู้ใช้แหล่งน้ำนี้มี ประเทศอิสราเอล ซีเรีย เลบานอน และชาวปาเลสไตน์
เนื่องจากเกษตรอุตสาหกรรมของอิสราเอลต้องการใช้น้ำจำนวนมากจากแม่น้ำนี้เป็นสำคัญ เพราะอิสราเอลมีพื้นที่ที่อยู่ในลุ่มน้ำเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องใช้น้ำจากแม่น้ำสายนี้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์
อิสราเอลจึงต้องยึดครองเวสต์แบงก์ (west bank) และที่ราบสูงโกลันซึ่งเป็นแหล่งน้ำจืด และรวมทั้งทะเลสาบน้ำจืดกาลิลี
ปัจจุบัน ชาวอิสราเอลบริโภค 82 เปอร์เซ็นต์ของน้ำในเวสต์แบงก์ ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดิน มีโอกาสใช้น้ำได้เพียง 18 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แต่เรื่องก็ยังไม่จบแค่นี้ เพราะปัจจุบันน้ำในทะเลสาบกาลิลี และแม่น้ำจอร์แดน ยิ่งลดลงไปอีก ยิ่งเกิดความจำเป็นที่อิสราเอลต้องทำทุกทางที่จะยึดครองดินแดนแถบนี้ต่อไป แม้ว่าจะต้องเผชิญสงครามที่ยาวนาน และยืดเยื้อก็ตาม
หลานๆ พอฟังผมเล่าจบ ก็บอกว่า
"ดีใจจริงๆ ที่เกิดบนแผ่นดินไทย"
ผมบอกว่า
"อย่าเพิ่งดีใจ"
ปัจจุบัน ประเทศไทยเริ่มต้องเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมโดยตรงแล้ว
วันนี้ ภาคใต้แหล่งท่องเที่ยวที่ถือว่ามีอนาคตที่สุดของประเทศไทย กำลังต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวและสึนามิ และอาจจะถือได้ว่า นี่คือการสูญเสียครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจด้วยตัวเลขไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท
ปีนี้ร้อนจัดมาก ปลายปีก็คงแล้งจัดอีก ถ้าร้อนและแล้งต่อเนื่องสัก 3 ปี ภาคเกษตรกรรมของประเทศไทยก็จะเผชิญหายนะใหญ่เช่นกัน
แม่น้ำโขงปีที่ผ่านมา บางช่วงเกือบไม่มีน้ำไหล บางคนโทษเรื่องจีนสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ แต่ที่จริงไม่ใช่เรื่องเขื่อนเท่านั้น แต่เนื่องจากน้ำแข็งบนยอดภูเขาหิมาลัยละลาย อันมีสาเหตุมาจากความร้อนของโลกที่เพิ่มขึ้น
เมื่อน้ำแข็งละลาย บางช่วงจะมีน้ำไหลบ่ารุนแรงจนน้ำท่วม แต่บางช่วงจะไม่มีน้ำเลย
แม่น้ำแยงซี ฮวงโหของประเทศจีนก็ต้องเผชิญวิบัติภัยน้ำท่วม และแล้งครั้งใหญ่ บางช่วงเกิดน้ำไหลหลากท่วมบ้านเมืองขนาดใหญ่ อย่างเช่น ข่าวน้ำท่วมใหญ่ที่แยงซี ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่บางช่วงก็แล้งจัด จนไม่มีน้ำ
ปัจจุบัน แม้แต่แม่น้ำไนล์ที่แอฟริกาซึ่งไหลผ่านหลายประเทศ อย่างเช่น เอธิโอเบีย อียิปต์ เคนยา ยูกานดา แทนซาเนีย คองโก ก็เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างประเทศที่เส้นทางน้ำผ่านเพราะมีการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำ และผันน้ำจากที่หนึ่งไปใช้อีกที่หนึ่ง
แม้แต่ในประเทศอเมริกาก็เกิดสงครามช่วงชิงน้ำ ระหว่างชาวเมืองซึ่งอาศัยอยู่ที่หุบเขาโอเวนส์ กับชาวเมืองลอสแองเจลิส เพราะรัฐอเมริกาได้ทำท่อส่งน้ำจากหุบเขายาวนับร้อยไมล์เพื่อผันน้ำไปใช้ที่เมืองลอสแองเจลิส ชาวโอเวนส์ได้พยายามระเบิดท่อส่งน้ำจนปะทะกับทหารหลายครั้ง ทางรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการขุดน้ำบาดาลให้ชาวโอเวนส์ แต่เรื่องก็ยังไม่จบ เนื่องจากน้ำบาดาลเริ่มลดลง และน้ำในทะเลสาบโอเวนส์ก็แห้ง และลดลง การระเบิดท่อส่งน้ำจึงเกิดขึ้นอีก
ที่ประเทศอินเดีย ทุกสายน้ำกลายเป็นพื้นที่แห่งความขัดแย้ง และสงครามระหว่างผู้คน และระหว่างรัฐต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างระบบชลประทาน และเขื่อนซึ่งทำหน้าที่เก็บกักน้ำ และผันน้ำจากที่หนึ่งไปใช้อีกที่หนึ่ง กลายเป็นศูนย์ของความขัดแย้งจนเกิดการฆ่ากัน และสงครามแย่งชิงน้ำ
ที่ประเทศจีน บ่อน้ำจำนวนประมาณหนึ่งในสามของประเทศแห้งขอดเพราะรัฐบาลเร่งพัฒนาเกษตร อุตสาหกรรม จนทำให้ระดับน้ำใต้ดินลดลงไปถึง 50 เมตรต่ำกว่าระดับน้ำทะเล รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องน้ำของจีนต้องออกมายอมรับความจริงว่า 600 เมืองในประเทศจีนกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนน้ำ และมากกว่า 100 เมืองขาดแคลนขั้นรุนแรง
อาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องการยุบตัวลงของแผ่นดินอันเกิดมาจากการใช้น้ำบาดาลเกินขนาดในประเทศจีน จนเกิดแอ่งใหญ่มหึมาถึง 3 แอ่งในดินแดนสามเหลี่ยมแม่น้ำแยงซี ก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 1.6 ล้าน ล้านบาท
จนกล่าวอย่างสรุปได้ว่า
ทุกวันนี้ น้ำ และสายน้ำซึ่งเคยเป็นที่มาของความชุ่มชื่น ร่มเย็น และเป็นแหล่งก่อเกิดสรรพชีวิตในโลกกำลังจะกลายเป็นที่มาของสงคราม และวิบัติภัยทางธรรมชาติ
อวิชชาแห่งเศรษฐศาสตร์
งานครั้งที่แล้ว ผมพูดถึง อวิชชาของประวัติศาสตร์ พูดแบบสรุปคือ ประวัติศาสตร์ที่เราเรียนกันเป็น เรื่องราวของประวัติศาสตร์ของมนุษย์เท่านั้น
ธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อม ไม่มีค่า และไม่มีประวัติศาสตร์ เราไม่ได้เขียน หรือมีวิชาประวัติศาสตร์ของต้นไม้ ป่า เขา สัตว์...ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถูกมองเหมือนสิ่งที่ไร้ชีวิต และจะมี "ค่า" บ้าง หรือมีความหมายเมื่อมนุษย์ได้นำเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นประโยชน์แก่มนุษย์เท่านั้น
ปีที่ผ่านมา ผมเคยไปเที่ยวป่ากับเพื่อนที่เป็นแพทย์แผนไทย เดินไป เพื่อนก็เล่าถึงสมุนไพรให้ผมฟังว่า ไม้ชนิดนี้ชื่ออะไร ชนิดโน้นชื่ออะไร และใช้รักษาโรคอะไร จนรู้สึกสุดทึ่งในความรู้ของแพทย์แผนไทย แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เราไม่เคยมองว่า พรรณไม้ที่เราเรียกว่าสมุนไพรเหล่านี้มี "ค่า" ในตัวเอง ไม่ใช่มี "ค่า" เพื่อให้มนุษย์นำเอามาใช้
วันก่อน ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขานำเอาภาพ 2 ภาพมาวางติดกัน ภาพแรก คือภาพของเขื่อนใหญ่ที่มนุษย์สร้างขึ้น อีกภาพหนึ่งเป็นภาพเขตป่าที่ชุ่มชื้น และมีน้ำตกเล็กๆ ไหลผ่าน
ใต้ภาพถามว่า
"การกักเก็บน้ำของธรรมชาติ กับเขื่อนที่มนุษย์สร้างขึ้น ใครกักเก็บน้ำได้มากกว่ากัน"
ใครรู้ ช่วยตอบผมที
เราเรียนวิชาประวัติศาสตร์อวิชชามายาวนานมาก ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดสะท้อนเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของมนุษย์เท่านั้น
เดินไปตามพิพิธภัณฑ์ จุดเริ่มประวัติศาสตร์ก็คือ การคิดประดิษฐ์เครื่องมือหิน การใช้ไฟ และหลังจากนั้น ประวัติศาสตร์ก็เคลื่อนไปด้วยการค้นคิดระบบชลประทานขนาดใหญ่ จนกลายเป็นที่มาของการปฏิวัติเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นฐานที่มาของคำว่า "อารยธรรม"
ดังนั้น คำว่า อารยธรรม จึงเกิดจากฝีมือ และความสามารถของมนุษย์เท่านั้น
นี่คือ อวิชชา ซึ่งเป็นฐานแห่งความ "อหังการ" ของมนุษยชาติ
เมื่อประวัติศาสตร์มีฐานรากที่เป็นอวิชชาซ่อนอยู่ วิชาสังคมศาสตร์อื่นๆ ก็หนีไม่พ้นฐานรากแห่งอวิชชาซ่อนอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "วิชาเศรษฐศาสตร์" ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์แบบทุนนิยม หรือสังคมนิยม
ฐานของอวิชชาของวิชาเศรษฐศาสตร์
ประการแรก
เริ่มจากความเชื่อว่า กิจการทางการผลิต และการบริโภค หรือเศรษฐศาสตร์ คือรากฐานแห่งชีวิต และระบบอารยธรรม หรือพูดง่ายๆ ถ้าเราสามารถทำการผลิตและพัฒนาการผลิต ก็จะก่อให้เกิดการพัฒนา เรามองว่า การเมือง หรือรัฐศาสตร์ คือโครงสร้างส่วนบนซึ่งงอกเงยขึ้นมาจากฐานทางเศรษฐกิจ ดำรงอยู่เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาการผลิต และกำหนดทิศทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
เราลืมไปว่า ยังมีรากฐานที่ยิ่งใหญ่กว่า เศรษฐศาสตร์ ที่รองรับ เอื้ออำนวยและสนับสนุนพัฒนาการรากฐานนั้นคือ ธรรมชาติ
พูดง่ายๆ ไม่มีแม่น้ำเจ้าพระยา (ที่อุดม และหลากหลายทางชีวภาพ) ไม่มีอารยธรรมศรีอยุธยา ไม่มีแม่น้ำโขง ก็ไม่มีนครวัด
อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่ก่อเกิดขึ้นตามลุ่มน้ำ และเขตป่าเขาที่อุดมทั้งนั้น
นี่คือ ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ
กล่าวอีกแบบหนึ่งคือ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ก็คือทฤษฎีที่ขาดพร่อง และไม่บูรณาการ
ในเมื่อทฤษฎีนี้ ไม่ประเมิน "ค่า" แห่งธรรมชาติ การทำลายล้างธรรมชาติ เพื่อสร้างอารยธรรมมนุษย์ เท่านั้น จึงปรากฏขึ้น
ถ้ากล่าวแบบแรงๆ สักหน่อย
เศรษฐศาสตร์ ในเวลาเดียวกัน จึงกลายเป็นศาสตร์แห่งการทำลายล้างธรรมชาติ
(อ่านต่อพรุ่งนี้)