xs
xsm
sm
md
lg

ความตายที่กรือเซะเงื่อนไขที่ล้มเหลว ความตายที่กรือเซะเงื่อนไขที่ล้มเหลว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงาน
ศูนย์ข่าวหาดใหญ่

ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดำเนินมาแล้วร่วมหนึ่งปีเศษ หากนับเอาเหตุการณ์ การปล้นปืนในกองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เป็นจุดเริ่มต้นของความรุนแรง ภายหลังที่รัฐบาลนำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีมติให้ยุบ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยผสมพลเรือนตำรวจทหารที่ 43 (พตท.43) หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และใน 4 อำเภอของ จ.สงขลา มาอย่างต่อเนื่อง

รวมทั้งเหตุการณ์ความรุนแรงที่มีการสูญเสียของทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ก่อความไม่สงบ รวมทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์ อีกหลายเหตุการณ์ ซึ่งในวันที่ 28 เม.ย.48 ก็จะเป็นวันครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์ปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบ 106 ศพ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.47 ซึ่งมี 32 ศพ ที่เสียชีวิตใน "มัสยิดกรือเซะ" อ.หนองจิก จ.ปัตตานี อันเป็นมัสยิดศักดิ์สิทธิ์และมีความสำคัญกับชาวมุสลิม ไม่เฉพาะแต่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่เป็นที่เคารพของมุสลิมทุกคน

ถึงแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านพ้นไปแล้ว 1 ปีและภาครัฐได้เปิดเผยผลการสอบสวนการปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบภายในมัสยิดกรือเซะ ให้เป็นที่รับรู้ของสาธารณชนแล้วก็ตาม ประชาชนในพื้นที่ก็ยังมีท่าทีเคลือบแคลงสงสัย และไม่สบายใจกับบาดแผลอันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำต่อมัสยิดศักดิ์สิทธิ์

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราไม่ได้ติดใจในการตายของผู้ก่อความไม่สงบภายในมัสยิดกรือเซะ เพราะคนที่เสียชีวิตเป็นผู้ก่อความไม่สงบที่มาจากนอกพื้นที่ แต่เรายังคงมีความสงสัยว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่จึงเลือกที่จะกระทำการแบบนั้น ทั้งๆ ที่น่าจะใช้วิธีการเจรจามากกว่าใช้กำลัง เพราะสถานที่แห่งนั้นมีความหมายต่อชาวมุสลิมภาคใต้ทุกคน" ชาวบ้านรายหนึ่งกล่าว

ความสำคัญของมัสยิดกรือเซะ เกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิมมลายูปัตตานี ดังที่ปรากฏอยู่ในเอกสารทางประวัติศาสตร์ทั้งของรัฐไทย และขบวนการแบ่งแยกดินแดนในนาม "ขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี" ที่มีความแตกต่างกันตามมุมมองและวัตถุประสงค์ของแต่ละฝ่าย แต่กระนั้นกลุ่มผู้ก่อการได้พยายามเชื่อมโยงเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.47 เข้ากับเหตุการณ์การปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบที่ ต.ดุซงญอ จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 28 เม.ย.2491 ให้กลายเป็น "ประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดจากการถูกกระทำ" สมัยใหม่ เพื่อเงื่อนไขของ "ขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี"จะมีน้ำหนักขึ้น

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมัสยิดกรือเซะ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.47 มองได้ 2 มุมคือผู้ก่อการต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐตกหลุมพราง และอีกมุมหนึ่งคือการดิ้นหนีจน จนมุมและเลือกที่จะตายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อได้เข้าเฝ้าพระเจ้าตามหลักของอิสลาม แน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นความพยายามสร้างประวัติศาสตร์ให้เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่ดุซงญอ เพราะเหตุเกิดในวันเดียวกัน

ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการจดจำถึงภาพของชาวมุสลิมที่ถูกกระทำโดยรัฐไทย อันจะเพิ่มน้ำหนักให้ปฏิบัติการแบ่งแยกดินแดน ในสายตาคนมุสลิม มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น"
นายครองชัย หัตถา อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มอ.ปัตตานี ผู้ศึกษาวิจัยประวัติศาสตร์เมืองปัตตานี ให้ทัศนะ

ก่อนหน้าการเกิดเหตุการณ์ในมัสยิดกรือเซะ 2 วัน คือวันที่ 26 เม.ย.47 เป็นวันครบรอบการประกาศใช้รัฐธรรมนูญของขบวนการแบ่งแยกดินแดน "เบอร์ซาตู" ที่ได้ประกาศไว้เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2534 ซึ่งนายครองชัย หัตถา เชื่อว่าเกี่ยวโยงกับเหตุการณ์วันที่ 28 เม.ย.47 ที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนต้องการให้เหตุการณ์นั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับชาวปัตตานีโดยตรง

เพื่อตอกย้ำความรู้สึกถูกกระทำให้ฝังลึกในความรู้สึกของคนปัตตานี หากแต่บุคคลที่เสียชีวิตในมัสยิดกรือเซะกลับไม่ใช่คนในพื้นที่ ต.ตันหยงลุโละ อันเป็นที่ตั้งของมัสยิดกรือเซะ การพยายามสร้างประวัติศาสตร์ครั้งนี้จึงไม่มีน้ำหนักโดยตรงต่อความรู้สึกของคนในพื้นที่

"คนที่เข้ามาเสียชีวิตในมัสยิดกรือเซะเป็นคนที่มาจากที่อื่น ไม่ใช่คนในพื้นที่ เพียงแต่เข้ามาใช้มัสยิดกรือเซะเป็นที่ก่อเหตุ ซึ่งคนในพื้นที่เองก็ไม่เห็นด้วยกับการก่อความไม่สงบที่เกิดขึ้น เพราะทำให้การค้าขายซึ่งเป็นอาชีพหลักของคนในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างยาวนาน นักท่องเที่ยวไม่เข้ามาเยี่ยมสถานที่แห่งนี้ ทำให้การค้าซบเซา และในวันครบรอบ 1 ปี ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวบ้านก็ไม่อยากให้มีการจัดงานรำลึกใดๆ ทั้งสิ้นเพราะเขาไม่อยากให้กลายเป็นประวัติศาสตร์ เพราะเมื่อเกิดเหตุไม่สงบขึ้นคนก็จะพุ่งเป้ามาที่ปัตตานี" นายแวอุมา แวดอเลาะ กำนันตำบลตันหยงลุโละ กล่าวในฐานะผู้ดูแลพื้นที่มัสยิดกรือเซะ

คำพูดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นสภาพวิถีชีวิตของชาวจังหวัดปัตตานี โดยเฉพาะในเขต อ.เมือง ที่ให้ความสำคัญกับการทำมาค้าขายหารายได้เลี้ยงชีพ มากกว่าที่จะคิดถึงการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งตามประวัติศาสตร์ เมืองปัตตานีเป็นเมืองท่าสำคัญ ที่มีการค้าขายกับหลายหัวเมือง และเปิดรับคนทุกชาติศาสนาที่มาติดต่อค้าขาย ซึ่งแม้แต่ปัจจุบันปัตตานีก็ยังคงเป็นเมืองที่มีศักยภาพทางการค้าอย่างสูงยิ่ง ติดขัดแต่ความสงบที่ไม่เกิดขึ้นขณะนี้ทำให้เศรษฐกิจต้องได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ด้าน ผศ.ดร.จรัล มะลูลีม อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า กรณีมัสยิดกรือเซะ อาจไม่ส่งผลต่อคนในพื้นที่มากนัก เพราะคนที่มาเสียชีวิตไม่ใช่คนในพื้นที่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีการปราบปรามผู้ชุมนุมหน้า สภ.อ.ตากใบแล้ว กลับได้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะกรณีที่มีบุคคลจากหลากหลายที่ต้องมาจบชีวิตลงอย่างอนาถจากการขนย้ายผู้ถูกควบคุมตัวจาก จ.นราธิวาส ไปยังค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่มัสยิดกรือเซะ มีความพยายามเชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์หลายอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นความบังเอิญที่มาตรงกัน เช่น เหตุการณ์ดุซงญอ ซึ่งงานวิจัยส่วนใหญ่ยืนยันว่าเป็นเรื่องของความเข้าใจผิด จนทำให้มีคนตายทั้งสองฝ่ายรวมกันเป็นจำนวนมาก แต่ข้างประชาชนตายมากกว่า นอกจากนี้กรณี 28 เมษายน ยังถูกเชื่อมโยงเข้ากับตัวบุคคล คือคุณเด่น โต๊ะมีนา ส.ว.ปัตตานี ซึ่งเกิดวันที่ 28 เม.ย.เช่นเดียวกัน ซึ่งในทัศนะ ของผมมองว่าน่าจะเป็นการพ้องกันโดยบังเอิญมากกว่า"

อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านมุสลิม ยังกล่าวอีกว่า จากประสบการณ์ การเข้าไปเป็นคณะกรรมการอิสระสืบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในมัสยิดกรือเซะ ซึ่งคณะกรรมการส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 32 คน แม้ว่าคนเหล่านั้นเป็นผู้ริเริ่มก่อความไม่สงบก่อนก็ตาม แต่ผู้ตายส่วนใหญ่เป็นคนที่ค่อนข้างมีอายุ และน่าจะเป็นแกนนำสำคัญในการก่อความไม่สงบ

"อย่างไรก็ตาม ในวันที่เกิดเหตุ ผู้ก่อความไม่สงบได้ให้โอกาสกับผู้ที่เข้ามาละหมาดในมัสยิด ว่าหากต้องการอยู่ต่อสู้ตามอุดมการณ์เช่นเดียวกับพวกตนก็ขอให้อยู่ในมัสยิดต่อไป ส่วนผู้ที่ต้องการออกไปข้างนอกก็สามารถออกไปได้เลย ซึ่งสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คนในพื้นที่ไม่ได้มีจิตใจหรือมีอุดมการณ์ร่วมกับผู้เสียชีวิต คือไม่มีโต๊ะอิหม่าม หรือ สัปปุรุษ คนใดอยู่ร่วมกับขบวนการเหล่านี้เลย"

ที่สำคัญก่อนที่จะมีการปะทะกัน ยังมีเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ที่ผู้ก่อการสามารถตัดสินใจยกเลิกการกระทำนั้นได้ แต่คนเหล่านั้นก็ยืนหยัดที่จะต่อสู้และยอมพลีชีพในสิ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่พี่น้องคนไทยทั้งเจ้าหน้าที่ 5 คน และผู้ก่อความไม่สงบอีก 32 คน ต้องมาจบชีวิตลงท่ามกลางความไม่เข้าใจของคนอีกจำนวนมากว่า นัยที่แฝงเร้นอยู่เบื้องหลังความตายนั้นคืออะไรและรับอิทธิพลมาจากไหน ทำไมต้องนำเอาไสยศาสตร์ ที่ไม่ใช่กระแสหลักของอิสลามมาใช้ รวมทั้งการเชื่อมโยงกับบุคคลที่มีเชื้อสายเจ้าเมืองกลันตัน และการใช้มีดเป็นอาวุธ

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างลึกลับ แม้แต่คนมุสลิมเองยังอดงุนงงสงสัยกับกรณีมัสยิดกรือเซะไม่ได้ เพราะมีหลายอย่างที่แตกต่างกับการต่อสู้ในแบบเดิมๆ แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา ซึ่งก็ครบรอบ 1 ปีแล้ว พบว่าขบวนการที่มีแนวคิดแบบรหัสนัยได้ลดจำนวนลงจนภายหลังไม่ปรากฏขึ้นอีกเลย การใช้ดาบทำร้ายคนมีเพียงประปราย แต่ความรุนแรงกลับถูกแทนที่ด้วยการเข้ามาก่อกวนในเมือง การใช้ระเบิด และอาวุธสงคราม ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง" ผศ.ดร.จรัล กล่าวและว่า

หากบุคคลที่เสียชีวิตในมัสยิดกรือเซะเป็นคนในพื้นที่ทั้งหมดจะทำให้มีผลทางจิตใจของคนที่อยู่ข้างหลังมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน

ความพยายามของกลุ่มผู้ก่อการร้ายทั้งในชื่อของ "ขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี" หรือในชื่ออื่นๆ ก็ตามแต่ ที่ต้องการเชื่อมโยงเหตุการณ์ในมัสยิดกรือเซะ เข้ากับเหตุการณ์ในอดีต หรือตัวบุคคล ทำให้เห็นว่าความพยายามที่จะสร้างประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดจากการถูกกระทำโดยรัฐไทย ให้ตราตรึงอยู่ในใจของคนในพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดปัตตานี กลับไม่มีน้ำหนักเท่าที่ควร

สาเหตุที่คนในพื้นที่ไม่มีความรู้สึกร่วมกับกลุ่มผู้ก่อการ นอกจากคนที่มาตายในมัสยิดกรือเซะ จะไม่ใช่คนในพื้นที่แล้ว การกระทำของกลุ่มดังกล่าวยังเป็นปริศนาดำมืดที่แม้แต่คนมุสลิมด้วยกันเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใด คนมุสลิมจำนวนกว่า 100 คน ผู้มีความเชื่อในทางไสยศาสตร์จึงพร้อมใจกันมาตายในรุ่งเช้านั้น

มีความรู้สึกเดียวที่ยังค้างคาใจคือการที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำกับมัสยิดศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นที่เคารพของเหล่าชาวมุสลิม แต่เชื่อว่ากาลเวลาและท่าทีของรัฐที่เปลี่ยนไปจะค่อยๆ เยียวยาให้ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไปได้บ้าง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า หากผู้เสียชีวิตในมัสยิดกรือเซะ ล้วนแต่เป็นคนในพื้นที่

และเป็นความตายเช่นเดียวกับที่ผู้ถูกขนย้ายตัวจากตากใบไปปัตตานีทั้ง 78 คน ได้รับเหตุการณ์นี้จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ฝังลึกในจิตใจมุสลิมทุกคน และจะทำให้เงื่อนไขของ "ขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี" มีน้ำหนักขึ้นก็เป็นได้
กำลังโหลดความคิดเห็น