xs
xsm
sm
md
lg

สองมุมของเอเชีย

เผยแพร่:   โดย: เกษม ศิริสัมพันธ์

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในทวีปเอเชียมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นสองมุม แต่ต่างกันอย่างตรงกันข้ามกันทีเดียว!

มุมหนึ่งเป็นปรากฏการณ์ของสันติภาพและความสมานฉันท์! แต่อีกมุมหนึ่งก็มีการประท้วงและการรื้อฟื้นแผลเก่าในอดีตจนสถานการณ์ปัจจุบันแทบจะลุกเป็นไฟ!

ด้านหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานกับอินเดีย เคยเป็นคู่แค้นกันมานานร่วม 58 ปี ตั้งแต่ชมพูทวีปได้รับเอกราชจากอังกฤษ แต่ถูกแบ่งแยกเป็นสองประเทศ คืออินเดีย และปากีสถาน แต่มาบัดนี้ทั้งสองประเทศนี้ได้เริ่มหันหน้าผูกมิตรกันได้บ้างแล้ว!

แต่อีกมุมหนึ่ง เป็นการขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ในเรื่องเหตุการณ์ในอดีตเช่นเดียวกัน คือสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อกองทัพญี่ปุ่นได้บุกเข้ายึดครองหลายส่วนของประเทศจีน ในครั้งนั้นกองทัพญี่ปุ่นได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับประชาชนชาวจีนมิใช่น้อย

มาบัดนี้ เกิดการประท้วงเรื่องหนังสือเรียนประวัติศาสตร์ชั้นมัธยมต้นของเด็กนักเรียนญี่ปุ่น ซึ่งทางจีนเห็นว่าหนังสือแบบเรียนดังกล่าวนี้บิดเบือนความเป็นจริงในประวัติศาสตร์

การประท้วงได้ทำให้เกิดความตึงเครียดขยายวงกว้างขึ้น เมื่อมีชาวจีนมากกว่า 20,000 คน เข้าร่วมชุมนุม เฉพาะในเมืองใหญ่สองเมืองของมณฑลกวางตุ้ง และมีการขว้างปาสถานทูตญี่ปุ่นและทำเนียบที่พักของทูตญี่ปุ่นในกรุงปักกิ่งด้วย

ทางด้านญี่ปุ่น ก็มีการปฏิบัติในทำนองตอบโต้ ฝูงชนญี่ปุ่นได้ชุมนุมประท้วง และขว้างปาสถานทูตและทำเนียบที่พักของเอกอัครราชทูตจีนในกรุงโตเกียวเช่นเดียวกัน

ด้านนี้ของทวีปเอเชียความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่นได้ร้อนระอุรุนแรงขึ้นมา! ตรงกันข้ามอีกด้านหนึ่งของเอเชีย ได้มีสัญญาณของการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างปากีสถานและอินเดียที่ส่อเค้าของความสันติและร่มเย็นขึ้นมาได้!

สองมุมสองด้านของเอเชีย มุมหนึ่งกำลังเร่าร้อน มีเค้าของความรุนแรงอาจแผ่ขยายออกไปอีก! แต่อีกมุมหนึ่ง อุณหภูมิของความขัดแย้งของเรื่องในอดีตกลับเริ่มลดลง!

ทั้งสองมุมล้วนเป็นความขัดแย้งที่เคยมีมาในอดีต แต่มุมหนึ่งมีพื้นฐานมาจากความตระหนักในความเข้าใจร่วมกัน เป็นพื้นฐานสำคัญของสันติภาพที่เพิ่งแรกแย้มขึ้นมา

แต่อีกมุมหนึ่ง มีชนวนสำคัญในปัจจุบันที่พลิกฟื้นให้ความทรงจำของอดีตต้องหวนกลับมาเพิ่มความรุนแรงในขณะนี้ได้!

แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่เคยมีความขัดแย้งรุนแรงในอดีตเหมือนกัน แต่สภาพในปัจจุบันได้ผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มหันหน้าเข้าหากันได้บ้างแล้ว!

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายพลเปอร์เวซ มูชาราฟ ประธานาธิบดีของปากีสถาน ได้เดินทางไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ อันที่จริงนายพลมูชาราฟ ประมุขของปากีสถานเคยเยือนอินเดียมาครั้งหนึ่งแล้ว

แต่ครั้งนั้นการเยือนไม่ค่อยได้บังเกิดผลดีเท่าใดนัก เพราะสมัยนั้นพรรคภาระริยะ ชนตะ ซึ่งเป็นพรรคชาตินิยมฮินดูกำลังครองอำนาจในอินเดีย พรรคนี้มีนโยบายต่อต้านรุนแรงกับชาวมุสลิมในอินเดีย เรื่องนี้เป็นชนวนสำคัญประการหนึ่งของความขัดแย้งกับปากีสถาน เพราะปากีสถานเป็นประเทศมุสลิม

แต่มาครั้งนี้ พรรคคองเกรสได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วในอินเดีย นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอินเดีย คือ นายมานโมฮาน ซิงห์ เป็นผู้เดินสายกลางและมีบุคลิกอ่อนโยนและเปิดกว้าง จึงสามารถทำให้การเยือนของประธานาธิบดีปากีสถาน สามารถปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ให้ดีขึ้นได้

อันที่จริงในที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งสะท้อนถึงความมีมนุษยสัมพันธ์ของผู้นำประเทศนั่นเอง!

ในการเยือนครั้งนี้ ฝ่ายนายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้มอบรูปถ่ายสูติบัตรของประธานาธิบดีมูชาราฟ พร้อมกับรูปบ้านเก่าที่ท่านประธานาธิบดีได้ถือกำเนิดและเติบโตมาในกรุงเดลฮี นครหลวงของอินเดีย

ประธานาธิบดีมูชาราฟ เป็นชาวปากีสถานก็จริง แต่ท่านเกิดในกรุงเดลี ก่อนที่มีการแบ่งแยกชมพูทวีป เป็นอินเดียเป็นปากีสถานเมื่อ 58 ปีก่อน

ในทำนองเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมานโมฮาน ซิงห์ของอินเดีย ก็เป็นคนที่เกิดในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในแคว้นปัญจาบ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศปากีสถาน!

เมื่อมีการแบ่งแยกอนุทวีปอินเดียออกเป็นสองประทศ ปรากฏว่าคนฮินดูที่เคยอยู่ในเขตปากีสถานก็ดี หรือคนมุสลิมที่เคยอยู่ในเขตแดนของอินเดียก็ดี คนเหล่านี้มีจำนวนมหาศาล นับเป็นหลายล้านคน ต่างต้องอพยพย้ายถิ่นที่อยู่ใหม่ บางส่วนไม่สามารถอพยพไปได้ ก็ตกค้างอยู่ในแผ่นดินบ้านเกิด ไม่สามารถอพยพเคลื่อนย้ายไปไหนได้ คนเช่นนี้ก็มีจำนวนมากมายเหมือนกัน

ผู้คนเหล่านี้อาจมีพี่น้องหรือเครือญาติที่ต้องแยกกันอยู่คนละประเทศ ไปมาหาสู่กันไม่ได้ แต่การเยือนของประธานาธิบดีของปากีสถานครั้งนี้ มีผลทำให้ทั้งสองประเทศเปิดช่องให้มีโอกาสได้พบปะเยี่ยมเยียนกันได้บ้าง

ผลที่ได้จากการเยือนครั้งนี้ที่เป็นรูปธรรมที่สุด คือทั้งสองประเทศตกลงให้สร้างท่อส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากอิหร่าน ผ่านปากีสถานจนมาถึงอินเดียได้ นอกจากนี้ยังมีการเปิดจุดการค้าตามบริเวณชายแดนของประเทศทั้งสองด้วย

นี่เป็นตัวอย่างของความเปลี่ยนแปลงในเชิงสันติ นับว่าเป็นก้าวแรกของการปรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่เคยเป็นศัตรูคู่แข่งที่ห่ำหั่นกันมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว!

แต่อีกด้านหนึ่งของเอเชีย ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศเพื่อนบ้าน คือเกาหลีใต้และจีน เฉพาะอย่างยิ่งจีนกับญี่ปุ่นนั้น ได้รุนแรงและตึงเครียดขึ้นมา โดยมีมูลเหตุมาจากเรื่องประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งญี่ปุ่นเคยบุกเข้าไปยึดครองส่วนใหญ่ของจีน และญี่ปุ่นก็เคยครอบครองคาบสมุทรเกาหลีในฐานะเป็นอาณานิคมของญี่ปุนมาก่อน

ความขัดแย้งครั้งนี้เริ่มมาจากกระทรวงศึกษาธิการญี่ปุ่นได้ประกาศใช้หนังสือแบบเรียนใหม่ วิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมต้น ซึ่งทั้งเกาหลีใต้และจีนต่างอ้างว่า ญี่ปุ่นบิดเบือนประวัติศาสตร์ในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง

ฝ่ายจีนอ้างว่า ญี่ปุ่นไม่ยอม "ชำระ" ประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา ว่าญี่ปุ่นเป็นผู้รุกรานจีนและเอเชียตะวันออก แต่หนังสือแบบเรียนของญี่ปุ่นกลับ "บิดเบือน" ประวัติศาสตร์ โดยสอนเด็กนักเรียนญี่ปุ่น ว่าต้องทำสงครามครั้งนี้เพื่อปลดปล่อยให้เอเชียตะวันออกได้พ้นจากการครอบงำของลัทธิอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก!

มีการชุมนุมประท้วงญี่ปุ่นเกิดขึ้นทั้งในจีนและเกาหลีใต้ แต่การชุมนุมในจีนนั้นได้รุนแรงและขยายตัวไปตามเมืองต่างๆ ของจีนอย่างรวดเร็ว

เรื่องนี้ญี่ปุ่นคงมีความสงสัยว่าทางรัฐบาลจีนหนุนหลังอยู่ เพราะจีนมีระบบควบคุมผู้คนไว้อย่างแน่นหนา ถ้ารัฐบาลไม่ได้ให้สัญญาณสนับสนุน การชุมนุมประท้วงขนาดนี้คงเกิดไม่ได้

การชุมนุมประท้วงได้ลุกลามไปถึงขนาดมีการขว้างปาทำลายสถานทูตและทำเนียบที่พักของทูตญี่ปุ่นในปักกิ่ง แถมยังมีการขู่จะทำร้ายตัวทูตญี่ปุ่นอีกด้วย

อันที่จริงเรื่องของอดีตในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองนั้นไม่ใช่มีแต่ญี่ปุ่น เยอรมนีในสมัยฮิตเลอร์ก็ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้หนักหนาเช่นเดียวกัน ขนาดฆ่าชาวยิวไปถึง 6 ล้านคน แต่เยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้ยอมรับความผิดในความเลวร้ายของตนในสมัยนั้นได้อย่างตรงไปตรงมา และเยอรมนีไม่เคยแก้ตัวในความชั่วช้าและโหดร้ายทารุณในสมัยฮิตเลอร์เลย

ผลที่ตาม ก็คือไม่มีใครตามไปรังควานเยอรมนีในเรื่องความชั่วร้ายของสมัยฮิตเลอร์อีกแล้ว!

ตรงกันข้ามญี่ปุ่นกลับบิดเบือนหรือไม่กล้ายอมรับความจริง เช่น ญี่ปุ่นไม่เคยยอมรับว่ามีเหตุการณ์อัปยศ เป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ ที่เมืองนานกิง ที่เรียกกันว่า The Rape of Nanking ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1937 (พ.ศ. 2480) เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดเมืองนานกิงได้ ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ทหารญี่ปุ่นได้ฆ่าฟันพลเรือนชาวจีนไปถึงแสนกว่าคน!

ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันยังมีการแสดงความคารวะรำลึกถึง "วีรกรรม" ของทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่สองที่อนุสาวรีย์วีรบุรุษที่วัดยาสุคุนิ ซึ่งเป็นวัดของศาสนาชินโตในกรุงโตเกียว

ผู้ที่มักนำหน้าไปแสดงคารวะนั้นไม่ใช่ใครอื่นคือนายจุนอิชิโร โคอิซูมิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งทุกครั้งที่เมื่อไปเคารพอนุสาวรีย์ดังกล่าว ก็มักแต่งตัวใส่ชุดกิโมโนเต็มยศของชายชาวญี่ปุ่น เป็นการแสดงความรำลึกถึงค่านิยมบูชิโดของญี่ปุ่น

ปีนี้นายโคอิซูมิก็เตรียมตัวจะไปแสดงคารวะศาลเจ้าดังกล่าวอีก แต่คงเกิดความกระดาก ด้วยกำลังมีการประท้วงในต่างประเทศ จึงเลื่อนจะไปเคารพศาลเจ้าดังกล่าวตอนปลายปีนี้

แต่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะมีการชุมนุมประท้วงใหญ่ของฝูงชนในจีนและเกาหลีใต้ มีสมาชิกสภาผู้แทนฯ ญี่ปุ่น กลุ่มฝ่ายขวาหลายคน ได้ร่วมใจกันแสดงพลังตบเท้าไปแสดงคารวะศาลเจ้าที่วัดชินโตดังกล่าว เป็นการท้าทายว่าญี่ปุ่นไม่มีความละอายที่จะยกย่องเชิดชูวีรบุรุษของฝ่ายตนที่ได้พลีชีพในสงครามโลกครั้งที่แล้ว

พฤติกรรมอย่างนี้ของญี่ปุ่นนี่เอง ที่ชวนให้คนในเอเชียตะวันออก เกิดความหมั่นไส้ญี่ปุ่น ว่าไม่ได้มีความสำนึกในความผิดของตนในอดีต แถมยังมีท่าทีจะรื้อฟื้นลัทธิชาตินิยมขึ้นมาอีกเสียด้วย!

นอกจากนี้ญี่ปุ่นกับจีนยังมีประเด็นความขัดแย้งของปัญหาปัจจุบันเสียด้วย!

ญี่ปุ่นต้องการเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ ที่กำลังปฏิรูปปรับปรุงโครงสร้างกันใหม่

แต่จีนก็ย้ำว่าถ้าขืนญี่ปุ่นยังเดินตามรอยหลังสหรัฐฯ อยู่อย่างนี้ จีนจะใช้สิทธิยับยั้งไม่ให้ญี่ปุ่นได้ที่นั่งเป็นสมาชิกถาวรในคณะมนตรีความมั่นคง

จีนไม่พอใจญี่ปุ่นที่เดินตามก้นอเมริกัน ที่แสดงความไม่พอใจจีนที่ออกกฎหมายให้การแยกตัวเป็นอิสระของไต้หวัน เป็นการละเมิดกฎหมายของจีน

ส่วนญี่ปุ่นก็เห็นด้วยกับสหรัฐฯ ที่ชี้ให้เห็นว่า การที่จีนแสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้นทุกทีนั้น นับว่าเป็นภัยต่อสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเป็นอย่างยิ่ง!

จะเห็นได้ว่าสองมุมสองด้านของทวีปเอเชียได้มีปรากฏการณ์ที่แตกต่างแบบตรงกันข้ามกันทีเดียว ด้านหนึ่งปากีสถานกับอินเดียได้เริ่มจับมือแสดงความเป็นมิตรกัน! แต่อีกด้านหนึ่งขณะเดียวกันจีนกับญี่ปุ่นกลับมีความขัดแย้งกันเสียแล้ว!

เมื่อใดหนอสันติภาพจึงจะสามารถแผ่ปกคลุมได้ทั่วทุกภูมิภาคของเอเซียสักที?
กำลังโหลดความคิดเห็น