xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องลึกความขัดแย้งจีน-ญี่ปุ่น

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ในช่วงนี้ข่าวคราวความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างจีน-ญี่ปุ่น และระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่นออกจะหนักหน่วงและบานปลายออกไปเรื่อย ๆ จนทำให้บางวันราคาหุ้นทุกตลาดในโลกต้องผันผวนตกลงอย่างฮวบฮาบ และยังไม่มีทีท่าว่าความขัดแย้งและความตึงเครียดนั้นจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ภาพลักษณ์ที่ปรากฏออกสู่ภายนอกทำให้ประชาคมโลกเข้าใจว่าเป็นความขัดแย้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง และรอยแผลเก่าก็มากำเริบขึ้นอีก

เนื่องจากญี่ปุ่นได้ปรับปรุงตำราเรียนประวัติศาสตร์ใหม่ และในส่วนที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่สองนั้นตำราเรียนดังกล่าวนี้ก็ได้พรรณนาในลักษณะที่ทหารญี่ปุ่นที่รุกรบไปทั่วภูมิภาคเอเชียนั้นเป็นการกระทำเพื่อสันติภาพ เพื่อศักดิ์ศรีของประเทศชาติและได้กระทำการด้วยความละมุนละม่อม ด้วยความคำนึงถึงมนุษยธรรม ยกเว้นก็แต่ผู้ถืออาวุธ หรือคู่สงครามที่ทำการต่อสู้กันในสงครามเท่านั้น

ประวัติศาสตร์ที่เขียนใหม่ในลักษณะนี้ครอบคลุมถึงการปฏิบัติภารกิจทางทหารของญี่ปุ่นในประเทศจีน และในคาบสมุทรเกาหลีด้วย

ทั้งจีนและเกาหลีเห็นว่าการเขียนประวัติศาสตร์แบบนี้เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ สร้างความชอบธรรมให้แก่การทำสงครามรุกรานของญี่ปุ่นที่กระทำการรุกรานและยึดครองจีนและเกาหลีในครั้งนั้น

ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นและประท้วงกันมาเป็นระยะ ๆ โดยทั้งจีนและเกาหลีจะทำการประท้วงญี่ปุ่นทุกครั้งที่มีข่าวคราวว่าญี่ปุ่นจะปรับปรุงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองเสียใหม่ไปในทำนองที่ว่านี้

การประท้วงในระยะที่ผ่านมาทำให้การปรับปรุงประวัติศาสตร์ใหม่ของญี่ปุ่นต้องชะงักงันและทอดเวลาเนิ่นช้าออกไป และในที่สุดญี่ปุ่นก็ตัดสินใจพิมพ์ตำราประวัติศาสตร์ใหม่ตามที่ได้ปรับปรุงนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งจีนและเกาหลีจึงพากันประท้วง และเป็นการประท้วงที่หนักหน่วงรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเพราะมีการเดินขบวน มีการขว้างปา และมีการทำลายอาคารสถานที่และทรัพย์สินของสถานทูต หรือสถานกงสุลญี่ปุ่น หรือธุรกิจของญี่ปุ่นในประเทศเหล่านั้น รวมทั้งการรณรงค์ให้ต่อต้านญี่ปุ่นและต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นด้วย

ญี่ปุ่นก็ทำการประท้วงเอากับจีนแต่ในขณะเดียวกันกลับไม่ปรากฏข่าวคราวว่าญี่ปุ่นประท้วงเกาหลี นี่เป็นท่าทีทางการทูตที่แสดงออกต่อสาธารณะ

ผู้บริหารในรัฐบาลญี่ปุ่นได้ขอเข้าพบผู้บริหารของฝ่ายจีนในปักกิ่งเพื่อแสดงท่าทีในเรื่องนี้ แต่จีนก็อ้างว่าเป็นความผิดของญี่ปุ่นและญี่ปุ่นนั่นแหละควรจะต้องเป็นฝ่ายขอโทษจีนและยอมรับผิดแก้ไขตำราประวัติศาสตร์นั้นเสีย

แม้กระทั่งระดับผู้นำที่จะพบปะกันในต่างประเทศก็มีข่าวคราวว่าจะมีการทักท้วงกันในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีผลคืบหน้าเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด

ในขณะเดียวกันนั้นก็มีข่าวคราวว่าเบื้องลึกของความตึงเครียดและความขัดแย้งที่แสดงออกโดยผ่านเรื่องตำราประวัติศาสตร์กลับเป็นเรื่องความขัดแย้งในเรื่องพลังงานน้ำมัน

และเป็นความขัดแย้งหรือขัดขากันที่กระทำต่อกันมาโดยลำดับแล้ว โดยญี่ปุ่นเป็นฝ่ายกระทำต่อจีน ดังตัวอย่างเช่นในขณะที่จีนกำลังเจรจาตกลงขุดเจาะและซื้อน้ำมันจากรัสเซียจากแหล่งน้ำมันสำคัญที่มีปริมาณน้ำมันมาก

จู่ๆญี่ปุ่นก็ตัดหน้าทำสัญญาขุดเจาะและซื้อน้ำมันจากแหล่งน้ำมันดังกล่าวจากรัสเซียเสียดื้อ ๆ ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องเสียมารยาทระหว่างประเทศ และเป็นการแสดงท่าทีที่จงใจสร้างความขัดแย้งกับจีนโดยตรง

แต่ญี่ปุ่นจะทำการครั้งนั้นโดยลำพังตนเองหรือด้วยแรงหนุนจากชาติหนึ่งชาติใดก็ยังเป็นข้อสงสัยกันอยู่

เพราะบางกระแสก็ระบุว่าญี่ปุ่นทำการครั้งนั้นเป็นการออกหน้าแทนมหาอำนาจบางประเทศเพื่อตัดเส้นเลือดพลังงานน้ำมันของจีน โดยมุ่งต่อผลในการสกัดความเจริญเติบโตของจีน

ใครสนใจเรื่องนี้ก็สืบเบื้องลึกเบื้องหลังกันเอาเองก็แล้วกัน

ข่าวที่เป็นนัยว่าความขัดแย้งมีมาจากเรื่องพลังงานน้ำมันยังมีข่าวสนับสนุนติดตามมาอีกหลายข่าว เช่น การแย่งชิงขุดเจาะน้ำมันในทะเล การแย่งกันซื้อน้ำมันกับบางประเทศ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ญี่ปุ่นกระทำต่อจีนทั้งสิ้น

หากเป็นจริงก็จะเห็นได้ว่าการกระทำเช่นนั้นมีลักษณะเป็นการจงใจและกระทำอย่างเป็นกระบวนการและมีแผน นั่นคือเมื่อจีนจะขอสัมปทานขุดเจาะน้ำมันที่แหล่งใดก็ตาม หรือจะทำสัญญาซื้อขายน้ำมันจากแหล่งใดก็ตาม ก็มักจะปรากฏว่าญี่ปุ่นไปชิงตัดหน้าทำสัญญาเสียก่อนเสมอไป

เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องโมโหและไม่พอใจ และเมื่อเกิดความไม่พอใจแล้วก็ต้องแสดงออกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บ้างก็แสดงออกโดยอ้อม บ้างก็แสดงออกโดยให้ส่งผลกระทบอย่างนุ่มนวล บ้างก็แสดงออกอย่างตรงไปตรงมา

แต่จีนนั้นเป็นชาติที่มีความลึกซึ้งเพราะความเป็นชาติใหญ่ มีวัฒนธรรมและอารยธรรมที่เก่าแก่ ดังนั้นการแสดงออกของจีนจึงมักจะไม่เหมือนกับการแสดงออกของประเทศอื่น ๆ

ด้วยประการนี้จึงมีผู้เชื่อว่าเบื้องลึกความขัดแย้งจีน-ญี่ปุ่นที่แสดงออกโดยความไม่พอใจต่อการพิมพ์ตำราเรียนประวัติศาสตร์ก็อาจจะเป็นการแสดงท่าทีอย่างหนึ่งของจีนต่อญี่ปุ่น

ซึ่งถ้าหากปรองดองยุติกันได้ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งต่างก็จะไม่มีใครเสียหน้า แต่ถ้าหากไม่สามารถปรองดองยุติกันได้ก็คงจะมีมาตรการประท้วงหรือกดดันในขั้นต่อ ๆ ไปเพิ่มขึ้นอีก

อำนาจในการต่อรองของแต่ละฝ่ายต่างก็มีอยู่มากมาย เพราะจีนและญี่ปุ่นต่างก็เป็นคู่ค้าที่สำคัญต่อกัน มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อกันเป็นจำนวนมาก

กำลังอำนาจในการต่อรองดังกล่าวจึงพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ยุคสมัยปัจจุบันนั้นระบบเศรษฐกิจของญี่ปุ่นยังไม่ผ่านพ้นจากวิกฤต ในขณะที่ระบบเศรษฐกิจของจีนกลับเติบโตและมีความแข็งแกร่งมากขึ้น

จึงขึ้นอยู่กับว่าใครจะประเมินกำลังอำนาจในการต่อรองได้ถูกต้องมากกว่ากัน ซึ่งคงจะได้เห็นกันต่อไปในระยะเวลาไม่ไกลจากนี้

การปรับปรุงตำราเรียนของญี่ปุ่นในครั้งนี้ก็พอจะเห็นได้ว่ามุ่งจะสร้างความชอบธรรมให้แก่แสนยานุภาพของญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจะสอดคล้องกับการปรับปรุงงบประมาณทางการทหารของญี่ปุ่นในปัจจุบัน และสอดคล้องกับท่าทีที่ต้องการพลิกฟื้นความเป็นมหาอำนาจทางทหารของญี่ปุ่นด้วย

กองกำลังป้องกันตนเองซึ่งเป็นชื่อหน่วยงานด้านกลาโหมของญี่ปุ่นก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงชื่อเป็นกระทรวงกลาโหมโดยตรง ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นซึ่งห้ามส่งกองทหารออกไปนอกประเทศ ก็ได้รับการตีความใหม่ว่าสามารถส่งออกไปนอกประเทศได้ ถ้าเป็นไปเพื่อมนุษยธรรม

และด้วยการตีความเช่นนี้ญี่ปุ่นจึงส่งกำลังแสนยานุภาพเข้าไปช่วยอเมริกาในอิรัก ดังที่ปรากฏเป็นข่าวให้ได้รู้กันมาโดยตลอดแล้ว

ญี่ปุ่นจะทำการทั้งนี้โดยความคิดอ่านของตนเองหรือด้วยการยุยงสนับสนุนของชาติมหาอำนาจใดก็ยังต้องเป็นเรื่องที่ต้องคิดพิจารณากันต่อไป

แต่ทว่าการปรับปรุงตำราเรียนประวัติศาสตร์ที่พลิกดำเป็นขาวนั้นออกจะเป็นเรื่องโกหกเด็กนักเรียนหรือคนในยุคปัจจุบันอย่างน่าละอาย

เพราะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้นถึงจะลบจะล้างอย่างไรก็ไม่มีทางทำให้ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลงไปได้ เพราะทั้งโลกต่างรู้เห็นและต่างก็บันทึกเป็นประวัติศาสตร์ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าญี่ปุ่นได้ส่งแสนยานุภาพเข้ายึดครองจีน เกาหลี และภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ รวมทั้งประเทศไทยของเราด้วย

โดยเฉพาะในจีนและเกาหลีนั้นทหารญี่ปุ่นได้สังหารประชาชนจีนและเกาหลีอย่างโหดร้ายทารุณเป็นจำนวนมาก รวมทั้งการละเมิดทางเพศและการข่มขืนใจมนุษย์ที่ไม่ต่างอะไรกับสัตว์เดรัจฉาน

ในเมืองไทยของเราออกจะเบาสักหน่อย เพราะพี่ไทยเรานั้นเข้ากับญี่ปุ่นได้ง่าย ใครมาก็ต้อนรับ ญี่ปุ่นบังคับให้พิมพ์ธนบัตรก็พิมพ์ให้ แล้วพี่ไทยค่อยใช้หนี้เขาทีหลัง จนกระทั่งสิ้นสงครามแล้วหลายปีก็ยังใช้หนี้เขาไม่หมด

การทำสงครามรุกรานและยึดครองจีน เกาหลี เป็นเรื่องที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ในสามลักษณะคือ เป็นการส่งแสนยานุภาพเข้ารุกรานชาติอื่นอย่างหนึ่ง แสนยานุภาพนั้นได้ทำการยึดครองดินแดนของชาติอื่นอย่างหนึ่ง และแสนยานุภาพนั้นได้กระทำกรรมย่ำยีชนชาติอื่นอย่างไร้มนุษยธรรมและโหดเหี้ยมอำมหิต แม้กระทั่งการใช้แก๊สพิษ

ในเกาหลีนั้นมีการต่อต้านบ้าง แต่ในที่สุดก็สู้แสนยานุภาพของญี่ปุ่นไม่ได้ ในที่สุดเกาหลีก็ยอมจำนน แต่เมื่อยอมจำนนแล้วก็ยังถูกกระทำย่ำยีอย่างหนักหน่วงรุนแรง กลายเป็นรอยแค้นที่ฝังใจจนคนเกาหลีไม่อาจลืมเลือนได้

คนเกาหลีจึงชิงชังรังเกียจเหตุการณ์ครั้งนั้น ดังนั้นเมื่อมีการกลับดำให้เป็นขาวชาวเกาหลีจึงเดือดดาลก่อการประท้วงทุกครั้งไป

แต่ในประเทศจีนนั้นแตกต่างกัน ในขณะที่พรรคก๊กมินตั๋งถืออำนาจรัฐเป็นรัฐบาลปกครองประเทศ ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์เพิ่งสิ้นสุดการเดินทัพทางไกลหมื่นลี้ และตั้งหลักอยู่ที่เยียนอาน

พรรคก๊กมินตั๋งแสดงท่าทียอมจำนนและร่วมมือกับญี่ปุ่นเหมือน ๆ กับที่รัฐบาลไทยได้กระทำเช่นนั้น แต่พรรคก๊กมินตั๋งก็ถูกกดดันแถมบังคับจากอเมริกา ดังนั้นรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งจึงต้องตีสองหน้า ด้านหนึ่งก็จำนนกับญี่ปุ่น ด้านหนึ่งก็ทำทีเป็นสู้รบตามที่อเมริกาต้องการ

ทำให้ประชาชนจีนเกลียดชังรังเกียจพรรคก๊กมินตั๋งและประณามว่าเป็นรัฐบาลขายชาติ

ในขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนยืนหยัดต่อสู้ปกป้องเอกราชอธิปไตยของชาติอย่างเด็ดเดี่ยว และบัญชาให้กองทัพปลดแอกและกองกำลังจรยุทธ์ทั่วประเทศทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่น

ในช่วงเวลานั้นเองเหมาเจ๋อตงซึ่งเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์และเป็นประธานคณะกรรมการการทหารของพรรคจึงได้เขียนบทนิพนธ์ที่สำคัญ ๆ เพื่อปลุกระดมและชี้นำประชาชนจีนทั่วประเทศให้ทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่น

บทความขนาดยาวเรื่อง ว่าด้วยสงครามยืดเยื้อ ว่าด้วยปัญหายุทธศาสตร์ในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ว่าด้วยปัญหายุทธศาสตร์ในสงครามจรยุทธ์ อันลือชื่อซึ่งถือเป็นตำราการทหารที่สำคัญที่หลายประเทศได้บรรจุเป็นหลักสูตรศึกษาในปัจจุบันนี้จึงเกิดขึ้นในห้วงเวลานั้น

กองทัพปลดแอกประชาชนที่เหลือกำลังประจำการเพียง 300,000 คน ภายใต้การชี้นำทางการเมืองที่ถูกต้องจึงเติบใหญ่ขึ้น และกรีฑาทัพขึ้นสู่แนวหน้าทำสงครามต่อต้านกับญี่ปุ่น และได้ร่วมกับพรรคก๊กมินตั๋งโดยการประสานงานของอเมริกาให้ทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่น

ในสงครามครั้งนั้นแม้หากจะไม่นับรวมการเจ็บตายของทหาร ประชาชนชาวจีนก็ยังถูกสังหารโหดหลายล้านคน จึงเป็นความเจ็บช้ำที่คนจีนก็ไม่อาจลืมเลือนได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้นเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันก็เห็นทีว่าความตึงเครียดและความขัดแย้งในเรื่องนี้คงจะต้องยืดเยื้อต่อไป และนี่ก็คือหน่อเหง้าของวิกฤตเอเชียอีกหน่อหนึ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น