เมื่อวันที่ 13 เดือนนี้ มีคนรู้จักชอบพอกันคนหนึ่งได้พาครอบครัวมารดน้ำสงกรานต์ เมื่อรดน้ำและให้ศีลให้พรกันตามธรรมเนียมแล้ว จึงได้เปิดฉากคุยการเมืองกับผู้เป็นสามี
สามีภริยาคู่นี้เป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวของนายกรัฐมนตรี ชอบพอกันมาตั้งแต่สมัยที่นายกรัฐมนตรีเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ กับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก่อนที่คุณทักษิณจะได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำไป
แม้จนทุกวันนี้ ครอบครัวนี้ก็ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวของนายกรัฐมนตรี
เขาออกปากชมว่า ตัวนายกรัฐมนตรีและคุณหญิง เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายกับคนรู้จักชอบพอกันมาก่อนไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ตัวคุณทักษิณจะได้ประสบความสำเร็จทางการเมือง มีบุญมีวาสนาได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีก็ตามที
เฉพาะอย่างยิ่งตัวคุณหญิงพจมานนั้นเป็นคนที่เรียบง่าย และยังวางตัวเป็นคนธรรมดาๆ ชอบไปชอปปิ้งที่ศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียมเป็นประจำ ไปอย่างไม่เอิกเกริก ถึงเวลากลางวันก็แวะรับประทานในร้านอาหารในศูนย์การค้าแห่งนั้น ถ้าคนไม่สังเกตก็ไม่รู้ว่าเป็นภริยานายกรัฐมนตรี
เขาบอกว่าคุณทักษิณเป็นคนมีบุญอย่างยิ่งประการหนึ่ง ไม่ใช่ความมั่งคั่งร่ำรวยขนาดเป็นมหาเศรษฐีของเมืองไทยหรอก แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ คุณทักษิณมีภริยา ซึ่งเป็นช้างเท้าหลังที่ดีเหลือเกิน!
เขาชมคุณหญิงพจมานว่าเป็นคนที่ดึงรั้งให้สติคุณทักษิณตลอดมา คุณทักษิณเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว และพูดจาโผงผางตรงไปตรงมา ใจคิดอย่างไรก็มักพูดออกไปอย่างนั้น
คุณสมบัติเหล่านั้น ล้วนเป็นเรื่องติดลบสำหรับคนระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศ แต่คุณทักษิณมีข้อดีประการหนึ่ง คือเป็นคนฟังและเชื่อภริยา ซึ่งคอยให้สติและให้คำปรึกษาแก่คุณทักษิณตลอดมา
เขายกตัวอย่าง หลังเลือกตั้งเมื่อได้รู้ว่าพรรคไทยรักไทยประสบความพ่ายแพ้ทั้งหมดในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งไทยรักไทยมีกลุ่มวาดะห์เป็นกำลังสำคัญก็สอบตกหมด ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้สร้างความกระเทือนใจแก่คุณทักษิณเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเดินทางไปภาคใต้หลังการเลือกตั้ง พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมสันติสุข จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้บรรยายสุรปถึงแผนยุทธการของฝ่ายทหาร มีการแบ่งเขตปฏิบัติการเป็นโซนสามสี ตามลักษณะความร่วมมือของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น
อันที่จริง พล.อ.สิริชัย ได้บรรยายสรุปให้นายกรัฐมนตรีฟังถึงแผนยุทธการ นับเป็นเรื่องปกติของฝ่ายทหารเท่านั้น ไม่เป็นเรื่องเปิดเผย และไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงินพัฒนาท้องถิ่นของรัฐบาลแต่อย่างใด
คุณทักษิณเมื่อได้ฟังการบรรยายสรุปเช่นนั้น จึงคิดต่อเติมเอาเองว่าควรจะระงับให้เงินพัฒนาท้องถิ่นแก่หมู่บ้านในเขตพื้นที่สีแดง เพราะเป็นเขตที่มีการสนับสนุนการก่อการร้าย เท่ากับเอาเงินภาษีของประชาชนไปช่วยเหลือผู้เอาใจเข้าข้างการก่อการร้าย
ต้องย้ำว่าคุณทักษิณเป็นผู้คิดเองเรื่องระงับไม่ให้เงินพัฒนาท้องถิ่น ไม่ใช่เป็นแนวคิดของฝ่ายทหาร ซึ่งเพียงแต่บรรยายสรุปให้นายกรัฐมนตรีเห็นถึงแผนยุทธการของฝ่ายทหารเท่านั้น แต่นายกรัฐมนตรีมาต่อเติมเอาเองเรื่องระงับเงินช่วยพัฒนาท้องถิ่นแก่หมู่บ้านในโซนสีแดง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเสร็จการฟังบรรยายสรุปแล้ว ออกมานายกรัฐมนตรีทักษิณก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทันทีเรื่องจะแบ่งหมู่บ้านเป็นสามโซน โดยจะระงับการให้เงินพัฒนาท้องถิ่นแก่หมู่บ้านเขตพื้นที่สีแดง
คุณทักษิณคิดเร็ว! ตัดสินใจเร็ว! และพูดออกมาเร็ว! โดยให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนทันที โดยไม่ได้ปรึกษาหารือฝ่ายใดหรือใครเลย!
นี่คือข้อเสียของนายกรัฐมนตรีทักษิณ!
ต่อมาเมื่อมีปฏิกิริยาจากนักวิชาการและสื่อมวลชน ต่างออกมาทักท้วงและวิจารณ์แนวคิดเรื่องการระงับเงินพัฒนาท้องถิ่นสำหรับหมู่บ้านในโซนสีแดง คุณทักษิณก็แสดงอาการหงุดหงิดและเกรี้ยวกราด
ถึงขนาดเมื่อพูดถึงนักวิชาการที่คัดค้านแนวคิดเรื่องนี้ได้หลุดคำว่า "แม่ ง ง" ออกมา!
หลังจากนั้นคุณทักษิณเองก็คงได้สติ! ว่าได้พูดจาก้าวร้าวจนเกินไปเสียแล้ว จึงได้งดให้สัมภาษณ์ไประยะหนึ่ง
เขาผู้นั้นได้เล่าต่อไปว่า ในช่วงนั้นเองที่คุณหญิงพจมานได้ก้าวเข้ามาโน้มน้าวให้คุณทักษิณเห็นว่า การพูดจาแสดงอารมณ์รุนแรงและหยาบคายเช่นนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีอะไรเลย! ตรงกันข้ามกลับเป็นการเสียแก่ตัวคุณทักษิณเอง!
นอกจากนี้คุณหญิงพจมานยังเป็นผู้ชี้ให้เห็นว่า การใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนท่าทีของนายกรัฐมนตรี มาทางมุมด้านความสมานฉันท์ ซึ่งคุณหญิงพจมานเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง!
เขาเล่าต่อไปว่า คุณหญิงพจมานยังมีบทบาทสำคัญที่เชื่อมให้คุณทักษิณหันไปเชิญคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เข้ามาร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ จนในที่สุดคุณอานันท์ก็รับเป็นประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติให้ด้วย
เขาอธิบายว่าคุณทักษิณและคุณหญิงพจมานเคยไปหาคุณอานันท์ สมัยคุณอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรี ในการพบปะกันครั้งนั้นคุณอานันท์ได้เอ่ยปากชมคุณหญิงพจมานในฐานะเป็น "ช้างเท้าหลัง" ที่มีความสามารถของคุณทักษิณ ส่วนคุณหญิงพจมานก็มีความประทับใจในบุคลิกและท่าทีของคุณอานันท์เช่นเดียวกัน
เขาผู้นั้นเล่าว่า คุณหญิงพจมานยังมีบทบาทสำคัญในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในรัฐบาลทักษิณในสมัยที่สองอีกด้วย
ที่เขาแน่ใจก็มีอยู่สองตำแหน่ง ตำแหน่งแรก คือตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่ง "หมอมิ้ง" หรือนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ถูกย้ายจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานฯ มาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
อีกรายหนึ่งคือตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คุณหญิงพจมานเป็นผู้เสนอให้เอาคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มาครองตำแหน่งนี้
คุณหญิงพจมานมีความนับถือ และยกย่องในฝีมือและความขาวสะอาดในการทำงานของคุณสุดารัตน์มานานแล้ว!
ส่วนคุณหมอพรหมินทร์นั้น ก็เป็นบุคคลที่คุณหญิงพจมาน รู้จักสนิทสนมและไว้วางใจเป็นพิเศษ เพราะเคยทำงานในอาณาจักรธุรกิจของชินวัตรมาก่อน
บุคคลผู้นั้นเชื่อว่า "หมอมิ้ง" จะเป็นตัวเชื่อมกับคุณหญิงพจมานในการทำงานของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี!
เขามีข้อสังเกตอีกสองประการด้วยกัน ประการแรกเขาบอกว่า คุณทักษิณเปลี่ยนวิธีการทำงานในเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่เดิมสมัยที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลฝ่ายความมั่นคงอยู่นั้น คุณทักษิณก็มักลงไป "ลุย" เองในเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่มาในคราวนี้เมื่อ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านความมั่นคง และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุณทักษิณได้ปล่อยให้พล.ต.อ.ชิดชัยทำงานด้านความมั่นคง และด้านรักษาความสงบในภาคใต้ได้อย่างเต็มที่
เขาบอกให้สังเกตด้วยว่า แม้แต่ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา กลับมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่เหมือนกับเมื่อนั่งที่กระทรวงกลาโหมครั้งก่อน
คราวนี้พล.อ.ธรรมรักษ์ ยอมถอยไปอยู่เบื้องหลัง ปล่อยให้ พล.ต.อ.ชิดชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทยแสดงบทบาทนำหน้า
ในคราวก่อนพล.อ.ธรรมรักษ์ ไม่ได้ยอมลงพล.อ.ชวลิตถึงเพียงนี้! และในสมัยนั้น พล.อ.ธรรมรักษ์ยังมักแสดงบทบาทบังหน้าคุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยเสียด้วย!
เขาบอกด้วยว่า ครั้งนี้นายกรัฐมนตรีทักษิณมอบหมายอย่างเด็ดขาดให้พล.ต.อ.ชิดชัย ดูแลฝ่ายความมั่นคง เหมือนกับมอบหมายให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดูแลเรื่องฝ่ายเศรษฐกิจเหมือนกัน
ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวของสามหรือห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ก็เป็นภาระของคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ซึ่งมีคุณอานันท์เป็นประธานอยู่แล้ว
เมื่อแบ่งงานออกไปอย่างนี้ ตัวนายกรัฐมนตรีก็สามารถ "ลอย" ตัว ได้แสดงบทบาทเป็น "พระยาน้อยชมตลาด" เดินกระทบไหล่กับแม่ค้าแถวตลาดโบ๊เบ๊ในเรื่องปราบมาเฟีย เป็นการหาเสียงหาความนิยมไปได้ในตัวอีกด้วย!
ข้อสังเกตประการที่สอง เขาบอกว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ ได้มีความเปลี่ยนแปลงอีกเรื่องหนึ่ง คือสามารถแสดงความใจเย็นในสถานการณ์ที่เมื่อก่อนเคยมีอารมณ์รุนแรง
อย่างเมื่อเกิดระเบิดที่สนามบิน ที่ห้างสรรพสินค้าหาดใหญ่ และที่โรงแรมในจังหวัดสงขลา ถ้าเป็นสมัยก่อนนายกรัฐมนตรีทักษิณคงต้องให้สัมภาษณ์แสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวไปแล้ว!
แต่ตรงกันข้าม ครั้งนี้คุณทักษิณกลับแถลงด้วยอาการสงบ โดยบอกว่า จะดำเนินการเด็ดขาดตามครรลองของกฎหมายกับพวกผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิด แต่ยังยึดในแนวทางสันติเพื่อความสมานฉันท์ต่อไป!
ส่วนเรื่องความขัดแย้งภายในพรรคไทยรักไทยนั้น คุณทักษิณก็สรุปอย่างอารมณ์ดีว่า เป็นเพียงเรื่อง "จุกจิก" กันเท่านั้น!
ขอให้สังเกตว่าคุณทักษิณได้แสดงความโอนอ่อนกับคุณเสนาะ เทียนทอง ถึงขนาดยอมรับว่าเป็นความผิดของตนเอง ที่ไม่ได้บอกกล่าวคุณเสนาะเสียก่อนถึงเรื่องตำแหน่งประธานวิปรัฐบาลกิตติมศักดิ์ แต่คุณเสนาะก็ยังไม่หายงอน คุณทักษิณจึงแสดงอาการมองข้ามไม่เห็นความสำคัญ โดยไม่ไปงานวันเกิดของคุณเสนาะเสียบ้าง!
เขาผู้นั้นจบลงด้วยการกล่าวว่า ตัวเลขาธิการพรรคแท้จริงของไทยรักไทยนั้นไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้! เพราะเลขาธิการพรรคในฐานะเป็นแม่บ้านของพรรคไทยรักไทยมีมานานก่อนเกิดพรรคไทยรักไทยด้วยซ้ำไป อยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้านั่นเอง!
สามีภริยาคู่นี้เป็นเพื่อนสนิทกับครอบครัวของนายกรัฐมนตรี ชอบพอกันมาตั้งแต่สมัยที่นายกรัฐมนตรีเพิ่งแต่งงานใหม่ๆ กับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ก่อนที่คุณทักษิณจะได้รับทุนไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาด้วยซ้ำไป
แม้จนทุกวันนี้ ครอบครัวนี้ก็ยังไปมาหาสู่กับครอบครัวของนายกรัฐมนตรี
เขาออกปากชมว่า ตัวนายกรัฐมนตรีและคุณหญิง เป็นคนเสมอต้นเสมอปลายกับคนรู้จักชอบพอกันมาก่อนไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้ตัวคุณทักษิณจะได้ประสบความสำเร็จทางการเมือง มีบุญมีวาสนาได้เป็นถึงนายกรัฐมนตรีก็ตามที
เฉพาะอย่างยิ่งตัวคุณหญิงพจมานนั้นเป็นคนที่เรียบง่าย และยังวางตัวเป็นคนธรรมดาๆ ชอบไปชอปปิ้งที่ศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียมเป็นประจำ ไปอย่างไม่เอิกเกริก ถึงเวลากลางวันก็แวะรับประทานในร้านอาหารในศูนย์การค้าแห่งนั้น ถ้าคนไม่สังเกตก็ไม่รู้ว่าเป็นภริยานายกรัฐมนตรี
เขาบอกว่าคุณทักษิณเป็นคนมีบุญอย่างยิ่งประการหนึ่ง ไม่ใช่ความมั่งคั่งร่ำรวยขนาดเป็นมหาเศรษฐีของเมืองไทยหรอก แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ คุณทักษิณมีภริยา ซึ่งเป็นช้างเท้าหลังที่ดีเหลือเกิน!
เขาชมคุณหญิงพจมานว่าเป็นคนที่ดึงรั้งให้สติคุณทักษิณตลอดมา คุณทักษิณเป็นคนที่ตัดสินใจเร็ว และพูดจาโผงผางตรงไปตรงมา ใจคิดอย่างไรก็มักพูดออกไปอย่างนั้น
คุณสมบัติเหล่านั้น ล้วนเป็นเรื่องติดลบสำหรับคนระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศ แต่คุณทักษิณมีข้อดีประการหนึ่ง คือเป็นคนฟังและเชื่อภริยา ซึ่งคอยให้สติและให้คำปรึกษาแก่คุณทักษิณตลอดมา
เขายกตัวอย่าง หลังเลือกตั้งเมื่อได้รู้ว่าพรรคไทยรักไทยประสบความพ่ายแพ้ทั้งหมดในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งไทยรักไทยมีกลุ่มวาดะห์เป็นกำลังสำคัญก็สอบตกหมด ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ได้สร้างความกระเทือนใจแก่คุณทักษิณเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเดินทางไปภาคใต้หลังการเลือกตั้ง พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมสันติสุข จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้บรรยายสุรปถึงแผนยุทธการของฝ่ายทหาร มีการแบ่งเขตปฏิบัติการเป็นโซนสามสี ตามลักษณะความร่วมมือของชาวบ้านในท้องถิ่นนั้น
อันที่จริง พล.อ.สิริชัย ได้บรรยายสรุปให้นายกรัฐมนตรีฟังถึงแผนยุทธการ นับเป็นเรื่องปกติของฝ่ายทหารเท่านั้น ไม่เป็นเรื่องเปิดเผย และไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงินพัฒนาท้องถิ่นของรัฐบาลแต่อย่างใด
คุณทักษิณเมื่อได้ฟังการบรรยายสรุปเช่นนั้น จึงคิดต่อเติมเอาเองว่าควรจะระงับให้เงินพัฒนาท้องถิ่นแก่หมู่บ้านในเขตพื้นที่สีแดง เพราะเป็นเขตที่มีการสนับสนุนการก่อการร้าย เท่ากับเอาเงินภาษีของประชาชนไปช่วยเหลือผู้เอาใจเข้าข้างการก่อการร้าย
ต้องย้ำว่าคุณทักษิณเป็นผู้คิดเองเรื่องระงับไม่ให้เงินพัฒนาท้องถิ่น ไม่ใช่เป็นแนวคิดของฝ่ายทหาร ซึ่งเพียงแต่บรรยายสรุปให้นายกรัฐมนตรีเห็นถึงแผนยุทธการของฝ่ายทหารเท่านั้น แต่นายกรัฐมนตรีมาต่อเติมเอาเองเรื่องระงับเงินช่วยพัฒนาท้องถิ่นแก่หมู่บ้านในโซนสีแดง
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเสร็จการฟังบรรยายสรุปแล้ว ออกมานายกรัฐมนตรีทักษิณก็ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนทันทีเรื่องจะแบ่งหมู่บ้านเป็นสามโซน โดยจะระงับการให้เงินพัฒนาท้องถิ่นแก่หมู่บ้านเขตพื้นที่สีแดง
คุณทักษิณคิดเร็ว! ตัดสินใจเร็ว! และพูดออกมาเร็ว! โดยให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนทันที โดยไม่ได้ปรึกษาหารือฝ่ายใดหรือใครเลย!
นี่คือข้อเสียของนายกรัฐมนตรีทักษิณ!
ต่อมาเมื่อมีปฏิกิริยาจากนักวิชาการและสื่อมวลชน ต่างออกมาทักท้วงและวิจารณ์แนวคิดเรื่องการระงับเงินพัฒนาท้องถิ่นสำหรับหมู่บ้านในโซนสีแดง คุณทักษิณก็แสดงอาการหงุดหงิดและเกรี้ยวกราด
ถึงขนาดเมื่อพูดถึงนักวิชาการที่คัดค้านแนวคิดเรื่องนี้ได้หลุดคำว่า "แม่ ง ง" ออกมา!
หลังจากนั้นคุณทักษิณเองก็คงได้สติ! ว่าได้พูดจาก้าวร้าวจนเกินไปเสียแล้ว จึงได้งดให้สัมภาษณ์ไประยะหนึ่ง
เขาผู้นั้นได้เล่าต่อไปว่า ในช่วงนั้นเองที่คุณหญิงพจมานได้ก้าวเข้ามาโน้มน้าวให้คุณทักษิณเห็นว่า การพูดจาแสดงอารมณ์รุนแรงและหยาบคายเช่นนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีอะไรเลย! ตรงกันข้ามกลับเป็นการเสียแก่ตัวคุณทักษิณเอง!
นอกจากนี้คุณหญิงพจมานยังเป็นผู้ชี้ให้เห็นว่า การใช้ความรุนแรงเข้าแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ จะยิ่งเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้น
นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนท่าทีของนายกรัฐมนตรี มาทางมุมด้านความสมานฉันท์ ซึ่งคุณหญิงพจมานเป็นผู้ผลักดันอยู่เบื้องหลัง!
เขาเล่าต่อไปว่า คุณหญิงพจมานยังมีบทบาทสำคัญที่เชื่อมให้คุณทักษิณหันไปเชิญคุณอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ให้เข้ามาร่วมมือกับฝ่ายรัฐบาลในการแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ จนในที่สุดคุณอานันท์ก็รับเป็นประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติให้ด้วย
เขาอธิบายว่าคุณทักษิณและคุณหญิงพจมานเคยไปหาคุณอานันท์ สมัยคุณอานันท์เป็นนายกรัฐมนตรี ในการพบปะกันครั้งนั้นคุณอานันท์ได้เอ่ยปากชมคุณหญิงพจมานในฐานะเป็น "ช้างเท้าหลัง" ที่มีความสามารถของคุณทักษิณ ส่วนคุณหญิงพจมานก็มีความประทับใจในบุคลิกและท่าทีของคุณอานันท์เช่นเดียวกัน
เขาผู้นั้นเล่าว่า คุณหญิงพจมานยังมีบทบาทสำคัญในการแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญต่างๆ ในรัฐบาลทักษิณในสมัยที่สองอีกด้วย
ที่เขาแน่ใจก็มีอยู่สองตำแหน่ง ตำแหน่งแรก คือตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ซึ่ง "หมอมิ้ง" หรือนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ถูกย้ายจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานฯ มาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
อีกรายหนึ่งคือตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คุณหญิงพจมานเป็นผู้เสนอให้เอาคุณสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มาครองตำแหน่งนี้
คุณหญิงพจมานมีความนับถือ และยกย่องในฝีมือและความขาวสะอาดในการทำงานของคุณสุดารัตน์มานานแล้ว!
ส่วนคุณหมอพรหมินทร์นั้น ก็เป็นบุคคลที่คุณหญิงพจมาน รู้จักสนิทสนมและไว้วางใจเป็นพิเศษ เพราะเคยทำงานในอาณาจักรธุรกิจของชินวัตรมาก่อน
บุคคลผู้นั้นเชื่อว่า "หมอมิ้ง" จะเป็นตัวเชื่อมกับคุณหญิงพจมานในการทำงานของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี!
เขามีข้อสังเกตอีกสองประการด้วยกัน ประการแรกเขาบอกว่า คุณทักษิณเปลี่ยนวิธีการทำงานในเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่เดิมสมัยที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลฝ่ายความมั่นคงอยู่นั้น คุณทักษิณก็มักลงไป "ลุย" เองในเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่มาในคราวนี้เมื่อ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีดูแลด้านความมั่นคง และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุณทักษิณได้ปล่อยให้พล.ต.อ.ชิดชัยทำงานด้านความมั่นคง และด้านรักษาความสงบในภาคใต้ได้อย่างเต็มที่
เขาบอกให้สังเกตด้วยว่า แม้แต่ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา กลับมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอีกครั้งหนึ่ง ก็ไม่เหมือนกับเมื่อนั่งที่กระทรวงกลาโหมครั้งก่อน
คราวนี้พล.อ.ธรรมรักษ์ ยอมถอยไปอยู่เบื้องหลัง ปล่อยให้ พล.ต.อ.ชิดชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทยแสดงบทบาทนำหน้า
ในคราวก่อนพล.อ.ธรรมรักษ์ ไม่ได้ยอมลงพล.อ.ชวลิตถึงเพียงนี้! และในสมัยนั้น พล.อ.ธรรมรักษ์ยังมักแสดงบทบาทบังหน้าคุณวันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยเสียด้วย!
เขาบอกด้วยว่า ครั้งนี้นายกรัฐมนตรีทักษิณมอบหมายอย่างเด็ดขาดให้พล.ต.อ.ชิดชัย ดูแลฝ่ายความมั่นคง เหมือนกับมอบหมายให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ดูแลเรื่องฝ่ายเศรษฐกิจเหมือนกัน
ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวของสามหรือห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ก็เป็นภาระของคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ซึ่งมีคุณอานันท์เป็นประธานอยู่แล้ว
เมื่อแบ่งงานออกไปอย่างนี้ ตัวนายกรัฐมนตรีก็สามารถ "ลอย" ตัว ได้แสดงบทบาทเป็น "พระยาน้อยชมตลาด" เดินกระทบไหล่กับแม่ค้าแถวตลาดโบ๊เบ๊ในเรื่องปราบมาเฟีย เป็นการหาเสียงหาความนิยมไปได้ในตัวอีกด้วย!
ข้อสังเกตประการที่สอง เขาบอกว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ ได้มีความเปลี่ยนแปลงอีกเรื่องหนึ่ง คือสามารถแสดงความใจเย็นในสถานการณ์ที่เมื่อก่อนเคยมีอารมณ์รุนแรง
อย่างเมื่อเกิดระเบิดที่สนามบิน ที่ห้างสรรพสินค้าหาดใหญ่ และที่โรงแรมในจังหวัดสงขลา ถ้าเป็นสมัยก่อนนายกรัฐมนตรีทักษิณคงต้องให้สัมภาษณ์แสดงอารมณ์กราดเกรี้ยวไปแล้ว!
แต่ตรงกันข้าม ครั้งนี้คุณทักษิณกลับแถลงด้วยอาการสงบ โดยบอกว่า จะดำเนินการเด็ดขาดตามครรลองของกฎหมายกับพวกผู้ก่อการร้ายที่วางระเบิด แต่ยังยึดในแนวทางสันติเพื่อความสมานฉันท์ต่อไป!
ส่วนเรื่องความขัดแย้งภายในพรรคไทยรักไทยนั้น คุณทักษิณก็สรุปอย่างอารมณ์ดีว่า เป็นเพียงเรื่อง "จุกจิก" กันเท่านั้น!
ขอให้สังเกตว่าคุณทักษิณได้แสดงความโอนอ่อนกับคุณเสนาะ เทียนทอง ถึงขนาดยอมรับว่าเป็นความผิดของตนเอง ที่ไม่ได้บอกกล่าวคุณเสนาะเสียก่อนถึงเรื่องตำแหน่งประธานวิปรัฐบาลกิตติมศักดิ์ แต่คุณเสนาะก็ยังไม่หายงอน คุณทักษิณจึงแสดงอาการมองข้ามไม่เห็นความสำคัญ โดยไม่ไปงานวันเกิดของคุณเสนาะเสียบ้าง!
เขาผู้นั้นจบลงด้วยการกล่าวว่า ตัวเลขาธิการพรรคแท้จริงของไทยรักไทยนั้นไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปเป็นอื่นได้! เพราะเลขาธิการพรรคในฐานะเป็นแม่บ้านของพรรคไทยรักไทยมีมานานก่อนเกิดพรรคไทยรักไทยด้วยซ้ำไป อยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้านั่นเอง!