“เกริกเกียรติ” อดีตกรรมการป.ป.ช. ชี้นายกฯฉลาดที่ระบุรัฐบาลไม่ริเริ่มแก้รธน. เหตุตัวเองได้ประโยชน์
นายเกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการนายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลจะไม่เป็นผู้ริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนมองว่าเป็นความชาญฉลาดของนายกฯ เนื่องจากรัฐธรรมนูญนี้ รัฐบาลรู้ช่องทาง และจุดต่างๆ ที่จะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อตัวเองได้เกือบ 100 % ซึ่งถ้ารัฐบาลเสนอแก้ สมมติแก้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเองมากขึ้น ก็จะถูกโจมตีได้ กล่าวหาว่าเป็นเผด็จการได้ และถ้าเข้าไปในชั้นการพิจารณาของรัฐสภาแล้วเกิดมีการแปรญัญติจนตัวบทบัญญัติที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่เสนอก็หนีไม่พ้นต้องแสดงความรับผิดชอบ
“ดังนั้นการเป็นเผด็จการภายใต้รัฐธรรมนูญที่ตัวเองไม่ได้แก้ หรือภายใต้รัฐธรรมนูญที่คนอื่นร่างก็ย่อมดีกว่า เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ถูกด่า หรือเป็นที่ครหาให้รัฐบาลต้องเปลืองตัว การที่นายกฯพุดเช่นนี้ถือว่าฉลาดมาก”
ส่วนที่มองรัฐธรรมนูญมีปัญหาเพราะถ้าป.ป.ช. ชุดปัจจุบันต้องพ้นไปและการสรรหาใหม่จะทำไม่ได้เนื่องจากพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้มีแค่ 4 พรรค ขณะที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 1 ในองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาว่าต้องมาผู้แทนพรรคการเมืองในสภาฯพรรคละ 1 คนที่เลือกกันเองให้เหลือ 5 คนนั้น อดีตกรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า หากป.ป.ช.ต้องพ้นจากตำแหน่งนี้ รัฐบาลก็ประกาศให้ชัดไปเลยว่าเมื่อรัฐธรรมนูญนี้ใช้มาได้ผลดีค่อนข้างมาก ส่งผลให้การทำงานของฝ่ายบริหารไม่ติดขัด แต่เนื่องจากมีประเด็นผิดพลาดทางเทคนิคเกิดขึ้น เพราะป.ป.ช.ต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้นเพื่อให้มีคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหม่มาทำงาน ก็จะแก้ประเด็นนี้ประเด็นเดียว
“การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียงจากทั้ง 2 สภาไม่น้อยกว่า 350 เสียง แต่รัฐบาลคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเบ็ดเสร็จ 377 เสียง ถ้ารัฐบาลประกาศจุดยืนให้ชัดแก้ประเด็นนี้ประเด็นเดียว ใครจะพ่วงประเด็นอื่นตรงไหนเพื่อประโยชน์ตัวเองรัฐบาลไม่เอาด้วยได้ ซึ่งหากป.ป.ช.ชุดปัจจุบันต้องพ้นจากตำแหน่งทันทีหลังมีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ รัฐบาลก็เสนอแก้ประเด็นนี้เข้าสภาก็ดันผ่าน 3 วาระรวดได้เลยสบาย ๆ ซึ่งรัฐบาลก็จะไม่เสียด้วย เพราะไม่ได้แก้เพื่อประโยชน์ตัวเอง ออกรูปนี้ภาพรัฐบาลจะสวยเลย”
นายเกริกเกียรติ ยังกล่าวอีกว่า ในสมัยที่ตนเองยังเป็นป.ป.ช.อยู่แม้จะผ่านการสรรหามาโดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือคณะกรรมการสรรหาฯมีองค์ประกอบจากตัวแทนพรรคการเมือง แต่ในขณะนั้นฝ่ายการเมืองยังไม่มองไม่เห็นความสำคัญของส่งคนใกล้ชิดเข้าไปทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ การทำหน้าที่ของกรรมการจึงค่อนข้างเป็นอิสระ แต่หลังป.ป.ช.มีมติในคดีซุกหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การเมืองก็เข้ามาแทรกแซงการวินิจฉัยของกรรมการค่อนข้างมาก ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตัดตัวแทนพรรคการเมืองออกจากการเป็นกรรมการสรรหา เลยก็คงไม่ใช่สิ่งที่บ่งชี้ได้ 100 % ว่าจะทำให้ผู้ที่จะเข้าไปทำหน้าที่กรรมการในองค์กรอิสระสามารถทำงานได้โดยปราศจากการถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง
อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าหากจะมีการแก้ไขโดยตัดสัดส่วนของผู้แทนพรรคการเมืองออกจากกรรมการสรรหาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องหาตัวแทนองค์กรประชาชนอื่นมาทำหน้าที่แทน โดยให้องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาที่เหลืออยู่เป็นผู้ดำเนินการก็น่าจะทำได้ เพราะทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย และประธานศาลปกครอง ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีภาต่างก็ผ่านประสบการณ์ในการทำงานมา แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าปราศจากอคติ แต่เชื่อว่าโดยประสบการณ์ ก็ย่อมแยกแยะได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ซึ่งต่างจากตัวแทนในทางการเมืองที่จะไม่ยึดถือในเรื่อง คิดแต่ว่าเมื่อพรรคสั่งมาอย่างไรก็ต้องทำตามนั้น
“ส่วนตัวผมยังมองว่ารัฐธรรมนูญนี้โดยหลักการถือว่าดี แต่ที่มีปัญหาก็เพราะคนซึ่งเป็นกลไกในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมีความไม่ตรงไปตรงมา เช่นในองค์กรอิสระถ้าปล่อยให้มีการทำงานอย่างตรงไปตรงมาก็ไม่มีปัญหา แต่การทำงานขององค์กรอิสระมันไปมีผลได้เสียกับความเป็นไปของรัฐบาล ทำให้การเข้าไปทำงานในองค์กรอิสระเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น ส่วนประเด็นอื่น ๆ ผมว่าก็ลองใช้ไปอีก 4 ปีแล้วค่อยมาพิจารณาว่าจะแก้กันใหม่ก็ยังได้”
นายสุริชัย หวันแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ส่วนตัวเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรจะเป็นไปตามรูปแบบที่เป็นกระบวนการ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่เป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มๆ เมื่อมีความคิดอยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาก็ออกมาเที่ยวพูดกันไป ซึ่งหากจะมีการแก้ไขกันจริง ควรต้องนำไปพูดคุยกันในวงกว้าง และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยถึงจะเหมาะสม
“ในเมื่อทุกฝ่ายต่างเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่เราใช้อยู่มีปัญหา และควรจะต้องมีการแก้ไข โดยเฉพาะทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้รัฐธรรมนูญโดยตรง ควรต้องเป็นผู้ริเริ่มในการพูดคุยเถียงกัน แต่ไม่อยากจะให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดจากคนนั้นพูดทีคนนี้พูดทีก็ทำตามกันไป เพราะรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ”
ส่วนที่พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตที่ปรึกษาพรรคมหาชน เสนอแก้รัฐธรรมนูญให้ส.ว.มาจากแต่งตั้งขององคมนตรีนั้น การพูดลักษณะนี้เป็นการพูดแบบไม่มีแก่นสาร เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องของการขายขนมครก หรือคนเดินเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วอยากจะพูดอะไรก็พูด ซึ่งการแก้ไขอยากจะทำให้เป็นในเชิงระบบ และการเสนอให้องค์มนตรีเป็นคนแต่งตั้งส.ว.ก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะเท่ากับดึงเบื้องสูงให้มาข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองด้วย หากพล.ต.สนั่นอยากจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง ก็ขอให้ทำเรื่องนี้ให้จริงจังและให้เป็นระบบ
ส่วนถ้าต้องมีการแก้ไขเห็นว่า องค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้รัฐธรรมนูญโดยตรง เช่น ส.ว. , ส.ส. และองค์กรอิสระที่รัฐธรรมนูญกำหนดหน้าที่ให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ก็ต้องสำนึกในหน้าที่ที่ตัวเองมีอยู่ และที่ผลการสัมมนาของส.ว.มีข้อสรุปว่าต้องการแก้ไขให้ส.ว.ลงสมัครได้อีกสมัยหนึ่งนั้น ก็อยากเสนอว่าก่อนที่จะมีแก้ไขรัฐธรมนูญในประเด็นนี้ ควรมีการทบทวนการทำหน้าที่ และทำการประเมินผลการทำงานของส.ว.ที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับในประเด็นการเสนอตัดตัวแทนพรรคการเมืองในกรรมการสรรหาฯ เห็นว่าหากเกิดปัญหากับป.ป.ช.จริงการจะแก้ไขทันทีคงทำได้ไม่ทัน ทางออกเฉพาะหน้า คือ คนที่ใช้รัฐธรรมนูญจะต้องตีความเพื่อให้รัฐธรรมนูญเดินหน้าและสามารถใช้งานได้ไปก่อน แล้วอนาคตจึงค่อยนำปัญหานี้ไปรวมเอาไว้กับการประเด็นอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นปัญหาแล้วนำมาถกเถียงพูดคุยกันในวงกว้างน่าจะดีกว่า
นายเกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการนายกรัฐมนตรี ระบุว่ารัฐบาลจะไม่เป็นผู้ริเริ่มแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ตนมองว่าเป็นความชาญฉลาดของนายกฯ เนื่องจากรัฐธรรมนูญนี้ รัฐบาลรู้ช่องทาง และจุดต่างๆ ที่จะนำมาใช้ประโยชน์เพื่อตัวเองได้เกือบ 100 % ซึ่งถ้ารัฐบาลเสนอแก้ สมมติแก้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตัวเองมากขึ้น ก็จะถูกโจมตีได้ กล่าวหาว่าเป็นเผด็จการได้ และถ้าเข้าไปในชั้นการพิจารณาของรัฐสภาแล้วเกิดมีการแปรญัญติจนตัวบทบัญญัติที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่เสนอก็หนีไม่พ้นต้องแสดงความรับผิดชอบ
“ดังนั้นการเป็นเผด็จการภายใต้รัฐธรรมนูญที่ตัวเองไม่ได้แก้ หรือภายใต้รัฐธรรมนูญที่คนอื่นร่างก็ย่อมดีกว่า เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ถูกด่า หรือเป็นที่ครหาให้รัฐบาลต้องเปลืองตัว การที่นายกฯพุดเช่นนี้ถือว่าฉลาดมาก”
ส่วนที่มองรัฐธรรมนูญมีปัญหาเพราะถ้าป.ป.ช. ชุดปัจจุบันต้องพ้นไปและการสรรหาใหม่จะทำไม่ได้เนื่องจากพรรคการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้มีแค่ 4 พรรค ขณะที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ 1 ในองค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาว่าต้องมาผู้แทนพรรคการเมืองในสภาฯพรรคละ 1 คนที่เลือกกันเองให้เหลือ 5 คนนั้น อดีตกรรมการป.ป.ช. กล่าวว่า หากป.ป.ช.ต้องพ้นจากตำแหน่งนี้ รัฐบาลก็ประกาศให้ชัดไปเลยว่าเมื่อรัฐธรรมนูญนี้ใช้มาได้ผลดีค่อนข้างมาก ส่งผลให้การทำงานของฝ่ายบริหารไม่ติดขัด แต่เนื่องจากมีประเด็นผิดพลาดทางเทคนิคเกิดขึ้น เพราะป.ป.ช.ต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้นเพื่อให้มีคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหม่มาทำงาน ก็จะแก้ประเด็นนี้ประเด็นเดียว
“การจะแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องใช้เสียงจากทั้ง 2 สภาไม่น้อยกว่า 350 เสียง แต่รัฐบาลคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรเบ็ดเสร็จ 377 เสียง ถ้ารัฐบาลประกาศจุดยืนให้ชัดแก้ประเด็นนี้ประเด็นเดียว ใครจะพ่วงประเด็นอื่นตรงไหนเพื่อประโยชน์ตัวเองรัฐบาลไม่เอาด้วยได้ ซึ่งหากป.ป.ช.ชุดปัจจุบันต้องพ้นจากตำแหน่งทันทีหลังมีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ รัฐบาลก็เสนอแก้ประเด็นนี้เข้าสภาก็ดันผ่าน 3 วาระรวดได้เลยสบาย ๆ ซึ่งรัฐบาลก็จะไม่เสียด้วย เพราะไม่ได้แก้เพื่อประโยชน์ตัวเอง ออกรูปนี้ภาพรัฐบาลจะสวยเลย”
นายเกริกเกียรติ ยังกล่าวอีกว่า ในสมัยที่ตนเองยังเป็นป.ป.ช.อยู่แม้จะผ่านการสรรหามาโดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือคณะกรรมการสรรหาฯมีองค์ประกอบจากตัวแทนพรรคการเมือง แต่ในขณะนั้นฝ่ายการเมืองยังไม่มองไม่เห็นความสำคัญของส่งคนใกล้ชิดเข้าไปทำหน้าที่ในองค์กรอิสระ การทำหน้าที่ของกรรมการจึงค่อนข้างเป็นอิสระ แต่หลังป.ป.ช.มีมติในคดีซุกหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การเมืองก็เข้ามาแทรกแซงการวินิจฉัยของกรรมการค่อนข้างมาก ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตัดตัวแทนพรรคการเมืองออกจากการเป็นกรรมการสรรหา เลยก็คงไม่ใช่สิ่งที่บ่งชี้ได้ 100 % ว่าจะทำให้ผู้ที่จะเข้าไปทำหน้าที่กรรมการในองค์กรอิสระสามารถทำงานได้โดยปราศจากการถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง
อย่างไรก็ตามส่วนตัวมองว่าหากจะมีการแก้ไขโดยตัดสัดส่วนของผู้แทนพรรคการเมืองออกจากกรรมการสรรหาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องหาตัวแทนองค์กรประชาชนอื่นมาทำหน้าที่แทน โดยให้องค์ประกอบของคณะกรรมการสรรหาที่เหลืออยู่เป็นผู้ดำเนินการก็น่าจะทำได้ เพราะทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย และประธานศาลปกครอง ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลฎีภาต่างก็ผ่านประสบการณ์ในการทำงานมา แม้จะไม่สามารถยืนยันได้ว่าปราศจากอคติ แต่เชื่อว่าโดยประสบการณ์ ก็ย่อมแยกแยะได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ซึ่งต่างจากตัวแทนในทางการเมืองที่จะไม่ยึดถือในเรื่อง คิดแต่ว่าเมื่อพรรคสั่งมาอย่างไรก็ต้องทำตามนั้น
“ส่วนตัวผมยังมองว่ารัฐธรรมนูญนี้โดยหลักการถือว่าดี แต่ที่มีปัญหาก็เพราะคนซึ่งเป็นกลไกในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมีความไม่ตรงไปตรงมา เช่นในองค์กรอิสระถ้าปล่อยให้มีการทำงานอย่างตรงไปตรงมาก็ไม่มีปัญหา แต่การทำงานขององค์กรอิสระมันไปมีผลได้เสียกับความเป็นไปของรัฐบาล ทำให้การเข้าไปทำงานในองค์กรอิสระเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น ส่วนประเด็นอื่น ๆ ผมว่าก็ลองใช้ไปอีก 4 ปีแล้วค่อยมาพิจารณาว่าจะแก้กันใหม่ก็ยังได้”
นายสุริชัย หวันแก้ว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในเรื่องเดียวกันว่า ส่วนตัวเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรจะเป็นไปตามรูปแบบที่เป็นกระบวนการ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช่เป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือคนกลุ่มใดกลุ่มๆ เมื่อมีความคิดอยากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญขึ้นมาก็ออกมาเที่ยวพูดกันไป ซึ่งหากจะมีการแก้ไขกันจริง ควรต้องนำไปพูดคุยกันในวงกว้าง และให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยถึงจะเหมาะสม
“ในเมื่อทุกฝ่ายต่างเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่เราใช้อยู่มีปัญหา และควรจะต้องมีการแก้ไข โดยเฉพาะทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้รัฐธรรมนูญโดยตรง ควรต้องเป็นผู้ริเริ่มในการพูดคุยเถียงกัน แต่ไม่อยากจะให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดจากคนนั้นพูดทีคนนี้พูดทีก็ทำตามกันไป เพราะรัฐธรรมนูญถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ”
ส่วนที่พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตที่ปรึกษาพรรคมหาชน เสนอแก้รัฐธรรมนูญให้ส.ว.มาจากแต่งตั้งขององคมนตรีนั้น การพูดลักษณะนี้เป็นการพูดแบบไม่มีแก่นสาร เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องของการขายขนมครก หรือคนเดินเข้าไปในร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วอยากจะพูดอะไรก็พูด ซึ่งการแก้ไขอยากจะทำให้เป็นในเชิงระบบ และการเสนอให้องค์มนตรีเป็นคนแต่งตั้งส.ว.ก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งเพราะเท่ากับดึงเบื้องสูงให้มาข้องเกี่ยวกับเรื่องการเมืองด้วย หากพล.ต.สนั่นอยากจะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริง ก็ขอให้ทำเรื่องนี้ให้จริงจังและให้เป็นระบบ
ส่วนถ้าต้องมีการแก้ไขเห็นว่า องค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้รัฐธรรมนูญโดยตรง เช่น ส.ว. , ส.ส. และองค์กรอิสระที่รัฐธรรมนูญกำหนดหน้าที่ให้สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ก็ต้องสำนึกในหน้าที่ที่ตัวเองมีอยู่ และที่ผลการสัมมนาของส.ว.มีข้อสรุปว่าต้องการแก้ไขให้ส.ว.ลงสมัครได้อีกสมัยหนึ่งนั้น ก็อยากเสนอว่าก่อนที่จะมีแก้ไขรัฐธรมนูญในประเด็นนี้ ควรมีการทบทวนการทำหน้าที่ และทำการประเมินผลการทำงานของส.ว.ที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับในประเด็นการเสนอตัดตัวแทนพรรคการเมืองในกรรมการสรรหาฯ เห็นว่าหากเกิดปัญหากับป.ป.ช.จริงการจะแก้ไขทันทีคงทำได้ไม่ทัน ทางออกเฉพาะหน้า คือ คนที่ใช้รัฐธรรมนูญจะต้องตีความเพื่อให้รัฐธรรมนูญเดินหน้าและสามารถใช้งานได้ไปก่อน แล้วอนาคตจึงค่อยนำปัญหานี้ไปรวมเอาไว้กับการประเด็นอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นปัญหาแล้วนำมาถกเถียงพูดคุยกันในวงกว้างน่าจะดีกว่า