ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ ได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ให้เป็นผู้ได้รับรางวัล “นักกฎหมายดีเด่นประจำปี 2548” พิธีผ่านไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2548 แล้ว
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ถือเป็นนักนิติศาสตร์ร่วมสมัยคนสำคัญของประเทศไทย งานคิดงานเขียนของท่านตั้งแต่ยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หมาด ๆ มีอิทธิพลทางความคิดต่อนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ระดับนำในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เปลี่ยนแนวทางเดินชีวิตจากเป้าหมายเดิมเพื่อเป็นนักกฎหมายหรือผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายมาเป็นนักนิติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชากฎหมายมหาชน
บทความอย่างน้อย 2 เรื่องที่โดดเด่นจนถือว่าเป็นตำนานและเป็นอมตะในช่วงปี 2517 คือ
“นักนิติศาสตร์กับนักกฎหมาย”
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“นักนิติศาสตร์หลงทางหรือ”
บทความเรื่องหลัง ณ วันนี้ถือเป็นเป็นหนึ่งในตำราพื้นฐานของวิชากฎหมายมหาชน ได้รับการอ้างถึง และตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกในวารสารกฎหมายขององค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยหลายครั้ง กระทั่งปรากฏอยู่ในตำรา “กฎหมายมหาชน” ของศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณตั้งแต่เมื่อปี 2539 และล่าสุดเมื่อปี 2544 รศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์นำมาบรรจุไว้ในเว็บไซด์กฎหมายมหาชน www.pub-law.net ชุมชนไซเบอร์ที่ดีที่สุดของแวดวงกฎหมายมหาชนในประเทศไทยขณะนี้
ช่วงปี 2516 – 2519 ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เขียนบทความหลายชิ้นแสดงออกถึงความมุ่งมั่นต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการนิติศาสตร์ เพื่อการปรับปรุงองค์กรในกระบวนการยุติธรรมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขั้นสืบสวนสอบสวนและฟ้องร้อง หรือนัยหนึ่ง Inquisitorial System ที่ถูกมองข้ามความสำคัญไปในประเทศไทย
บทความดังกล่าวรวบรวมเป็นเล่มพ็อกเก็ตบุ๊คในปี 2517 โดยโครงการพิเศษของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์เป็นบรรณาธิการ น่าเสียดายที่เนื้อหาอันโดดเด่นอย่างยิ่งและยังคงทันสมัยแม้จนกระทั่งปัจจุบันที่เวลาล่วงเลยมาร่วม 30 ปีแล้วมีอันต้องถูกกลืนไปกับการต่อสู้ทางการเมือง 2 กระแสในยุคนั้น พ็อกเกตบุ๊คเล่มนั้นชื่อ....
“กฎหมายกับความเป็นธรรมในสังคม”
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์รามือจากการเขียนบทความเผยแพร่ต่อสาธารณะไป โดยไปรับตำแหน่งราชการเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษีกา ร่วมสร้างสรรค์งานที่ต่อมาอีกถึง 20 ปีเศษจึงได้ฤกษ์ก่อตั้งเป็นศาลปกครอง องค์กรที่สำคัญยิ่งในการควบคุมการใช้อำนาจบริหาร หรือที่ภาษาวิชาการเรียกว่าอำนาจทางแพ่งส่วนมหาชน
ไม่ว่าการปฏิรูปการเมืองที่ก่อเค้าลางมาตั้งแต่ปี 2537 และเสมือนจบลงด้วยประเทศไทยได้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 จะสำเร็จหรือล้มเหลวด้วยมุมมองใดก็ตาม แต่ศาลปกครองก็สามารถโดยสารมาเกิดในประเทศนี้แล้ว และจะไม่ตายไปพร้อมรัฐธรรมนูญ
ท่านปรีดี พนมยงค์ มันสมองของคณะราษฎร มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะจัดตั้งศาลปกครองขึ้นในประเทศไทยผ่านรูปแบบของคณะกรรมการกฤษฎีกามาตั้งแต่ปี 2476 แต่ถูกคัดค้านขัดขวางจากข้าราชการประจำและนักการเมืองมาตลอดยุคสมัยของท่านและของคณะราษฎร แม้ท่านจะประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีการตราพ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476 ขึ้นเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นศาลปกครอง แต่เมื่อถูกคัดค้าน คณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งกระนั้นจึงมีหน้าที่เพียงร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของฝ่ายบริหารเท่านั้น เพราะไม่มีกฎหมายว่าด้วยอำนาจของคณะกรรมการกฤษฎีกาในคดีปกครองออกมารองรับ
มีความพยายามหลายครั้งในรอบ 25 ปีต่อมาที่จะตรากฎหมายเกี่ยวกับศาลปกครอง และ/หรือ เพิ่มขาที่ 2 คือการพิจารณาคดีปกครอง ให้กับคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ล้มทุกครั้ง (ปี 2478, 2489, 2499 และ 2500) ด้วยสาเหตุต่างกันไป
ขาที่ 2 ของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกิดขึ้นในปี 2522 จากพ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 บัญญัติให้มีคณะกรรมการ 2 ประเภท คือ กรรมการร่างกฎหมาย และกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์
กรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์นั้นปฏิบัติหน้าที่พิจารณาคดีปกครอง
เป็นการวางรากฐานอย่างมั่นคงให้กับศาลปกครองที่จะตามมาในอีกกว่า 20 ปีต่อมา ด้วยการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร และฐานทางวิชาการ โดยเชื่อว่าจะให้เวลาและสถานการณ์เป็นผู้สร้างหลักกฎหมายปกครองของประเทศไทยขึ้นมาเอง เพื่อขจัดจุดอ่อนข้อสำคัญที่มักมีผู้ยกมาคัดค้าน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ และเหล่านักนิติศาสตร์-นักกฎหมายมหาชนรุ่นใหม่ที่ได้อิทธิพลทางความคิดจากท่านในช่วงปี 2517 ร่วมกันมีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์หลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญยุคใหม่ที่ส่งผลมาถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดศาลปกครองในระบบศาลคู่ หลังจากก่อนหน้านี้ กฎหมายจัดตั้งศาลปกครองในระบบศาลคู่มีอันต้องล้มเหลวไปทุกครั้งในปี 2526, 2529, 2531, 2532, 2538 และ 2539
กว่าจะบรรจุหลักการว่าด้วยศาลปกครองในระบบศาลคู่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อไปรวมกับหลักการใหม่ ๆ อื่น ๆ ของแนวทาง Constitionalism หรือนัยหนึ่งจำกัดและควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ต้องประสบกับการคัดค้านต่อต้านทางวิชาการทางทฤษฎีการเมืองมากมาย
ปี 2535 เป็นช่วงระยะเวลาคล้าย ๆ ปี 2517 ที่ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เสนอความคิดเห็นต่อสาธารณะผ่านบทความที่เป็นตำนานและอมตะหลายชิ้น ปัจจุบันบทความเหล่านั้นรวมเล่มอยู่ในหนังสือเล่มของสถาบันนโยบายศึกษา โดยความสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์
“รวมบทความเกี่ยวกับโครงสร้างและกลไกทางกฎหมายของรัฐธรรมนูญ”
ปี 2537 - 2539 เป็นอีก 1 ช่วงระยะเวลาที่ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เปิดตัวต่อสาธารณะ โดดเด่นที่สุดในบทความที่บัดนี้กลายเป็นตำราเรียนไปแล้ว จึงได้รับการจัดพิมพ์ทั้งโดยสถาบันนโยบายศึกษา และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“คอนสติติวชั่นแนลลิสม์ (Constitutionalism) : ทางออกของประเทศไทย”
อันเป็นที่มาสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
บทความขนาดยาวชิ้นสุดท้ายที่เผยแพร่ต่อสาธารณะใน “ผู้จัดการรายวัน” เมื่อ 7 ปีที่แล้วคือ “ปฏิรูปการเมือง 2” จบลงไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่จบ ทิ้งคำถามให้ผู้ติดตามงานของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เฝ้ารอคำตอบต่อไปว่าที่ว่าการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 1 เมื่อปี 2540 ล้มเหลวนั้นเป็นไฉน และการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 จะออกมาในรูปใด
เมื่อทบทวนอ่านงานเขียนของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ในแต่ละช่วงเวลาแล้วนำมาปรับประยุกต์กับปัญหารูปธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน ไม่แปลกใจเลยที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องออกมาแสดงความคิดเห็นอะไรอีก
เพราะท่านเคยพูดไว้หมดแล้ว
แม้โครงสร้างของปัญหาจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็น้อยนิดเต็มที หลักใหญ่ ๆ แล้วยังคงเดิม
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ถือเป็นนักนิติศาสตร์ร่วมสมัยคนสำคัญของประเทศไทย งานคิดงานเขียนของท่านตั้งแต่ยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 หมาด ๆ มีอิทธิพลทางความคิดต่อนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ระดับนำในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เปลี่ยนแนวทางเดินชีวิตจากเป้าหมายเดิมเพื่อเป็นนักกฎหมายหรือผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายมาเป็นนักนิติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชากฎหมายมหาชน
บทความอย่างน้อย 2 เรื่องที่โดดเด่นจนถือว่าเป็นตำนานและเป็นอมตะในช่วงปี 2517 คือ
“นักนิติศาสตร์กับนักกฎหมาย”
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
“นักนิติศาสตร์หลงทางหรือ”
บทความเรื่องหลัง ณ วันนี้ถือเป็นเป็นหนึ่งในตำราพื้นฐานของวิชากฎหมายมหาชน ได้รับการอ้างถึง และตีพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีกในวารสารกฎหมายขององค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยหลายครั้ง กระทั่งปรากฏอยู่ในตำรา “กฎหมายมหาชน” ของศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณตั้งแต่เมื่อปี 2539 และล่าสุดเมื่อปี 2544 รศ.ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์นำมาบรรจุไว้ในเว็บไซด์กฎหมายมหาชน www.pub-law.net ชุมชนไซเบอร์ที่ดีที่สุดของแวดวงกฎหมายมหาชนในประเทศไทยขณะนี้
ช่วงปี 2516 – 2519 ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เขียนบทความหลายชิ้นแสดงออกถึงความมุ่งมั่นต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการนิติศาสตร์ เพื่อการปรับปรุงองค์กรในกระบวนการยุติธรรมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการยุติธรรมทางอาญาขั้นสืบสวนสอบสวนและฟ้องร้อง หรือนัยหนึ่ง Inquisitorial System ที่ถูกมองข้ามความสำคัญไปในประเทศไทย
บทความดังกล่าวรวบรวมเป็นเล่มพ็อกเก็ตบุ๊คในปี 2517 โดยโครงการพิเศษของคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์เป็นบรรณาธิการ น่าเสียดายที่เนื้อหาอันโดดเด่นอย่างยิ่งและยังคงทันสมัยแม้จนกระทั่งปัจจุบันที่เวลาล่วงเลยมาร่วม 30 ปีแล้วมีอันต้องถูกกลืนไปกับการต่อสู้ทางการเมือง 2 กระแสในยุคนั้น พ็อกเกตบุ๊คเล่มนั้นชื่อ....
“กฎหมายกับความเป็นธรรมในสังคม”
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์รามือจากการเขียนบทความเผยแพร่ต่อสาธารณะไป โดยไปรับตำแหน่งราชการเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษีกา ร่วมสร้างสรรค์งานที่ต่อมาอีกถึง 20 ปีเศษจึงได้ฤกษ์ก่อตั้งเป็นศาลปกครอง องค์กรที่สำคัญยิ่งในการควบคุมการใช้อำนาจบริหาร หรือที่ภาษาวิชาการเรียกว่าอำนาจทางแพ่งส่วนมหาชน
ไม่ว่าการปฏิรูปการเมืองที่ก่อเค้าลางมาตั้งแต่ปี 2537 และเสมือนจบลงด้วยประเทศไทยได้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 16 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 จะสำเร็จหรือล้มเหลวด้วยมุมมองใดก็ตาม แต่ศาลปกครองก็สามารถโดยสารมาเกิดในประเทศนี้แล้ว และจะไม่ตายไปพร้อมรัฐธรรมนูญ
ท่านปรีดี พนมยงค์ มันสมองของคณะราษฎร มีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะจัดตั้งศาลปกครองขึ้นในประเทศไทยผ่านรูปแบบของคณะกรรมการกฤษฎีกามาตั้งแต่ปี 2476 แต่ถูกคัดค้านขัดขวางจากข้าราชการประจำและนักการเมืองมาตลอดยุคสมัยของท่านและของคณะราษฎร แม้ท่านจะประสบความสำเร็จในการผลักดันให้มีการตราพ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2476 ขึ้นเพื่อให้ทำหน้าที่เป็นศาลปกครอง แต่เมื่อถูกคัดค้าน คณะกรรมการกฤษฎีกาที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งกระนั้นจึงมีหน้าที่เพียงร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของฝ่ายบริหารเท่านั้น เพราะไม่มีกฎหมายว่าด้วยอำนาจของคณะกรรมการกฤษฎีกาในคดีปกครองออกมารองรับ
มีความพยายามหลายครั้งในรอบ 25 ปีต่อมาที่จะตรากฎหมายเกี่ยวกับศาลปกครอง และ/หรือ เพิ่มขาที่ 2 คือการพิจารณาคดีปกครอง ให้กับคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ล้มทุกครั้ง (ปี 2478, 2489, 2499 และ 2500) ด้วยสาเหตุต่างกันไป
ขาที่ 2 ของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกิดขึ้นในปี 2522 จากพ.ร.บ.คณะกรรมการกฤษฎีกา พ.ศ. 2522 บัญญัติให้มีคณะกรรมการ 2 ประเภท คือ กรรมการร่างกฎหมาย และกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์
กรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์นั้นปฏิบัติหน้าที่พิจารณาคดีปกครอง
เป็นการวางรากฐานอย่างมั่นคงให้กับศาลปกครองที่จะตามมาในอีกกว่า 20 ปีต่อมา ด้วยการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร และฐานทางวิชาการ โดยเชื่อว่าจะให้เวลาและสถานการณ์เป็นผู้สร้างหลักกฎหมายปกครองของประเทศไทยขึ้นมาเอง เพื่อขจัดจุดอ่อนข้อสำคัญที่มักมีผู้ยกมาคัดค้าน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ และเหล่านักนิติศาสตร์-นักกฎหมายมหาชนรุ่นใหม่ที่ได้อิทธิพลทางความคิดจากท่านในช่วงปี 2517 ร่วมกันมีส่วนสำคัญในการสร้างสรรค์หลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญยุคใหม่ที่ส่งผลมาถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันให้เกิดศาลปกครองในระบบศาลคู่ หลังจากก่อนหน้านี้ กฎหมายจัดตั้งศาลปกครองในระบบศาลคู่มีอันต้องล้มเหลวไปทุกครั้งในปี 2526, 2529, 2531, 2532, 2538 และ 2539
กว่าจะบรรจุหลักการว่าด้วยศาลปกครองในระบบศาลคู่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเมื่อไปรวมกับหลักการใหม่ ๆ อื่น ๆ ของแนวทาง Constitionalism หรือนัยหนึ่งจำกัดและควบคุมการใช้อำนาจรัฐ ต้องประสบกับการคัดค้านต่อต้านทางวิชาการทางทฤษฎีการเมืองมากมาย
ปี 2535 เป็นช่วงระยะเวลาคล้าย ๆ ปี 2517 ที่ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เสนอความคิดเห็นต่อสาธารณะผ่านบทความที่เป็นตำนานและอมตะหลายชิ้น ปัจจุบันบทความเหล่านั้นรวมเล่มอยู่ในหนังสือเล่มของสถาบันนโยบายศึกษา โดยความสนับสนุนของมูลนิธิคอนราด อเดนาวร์
“รวมบทความเกี่ยวกับโครงสร้างและกลไกทางกฎหมายของรัฐธรรมนูญ”
ปี 2537 - 2539 เป็นอีก 1 ช่วงระยะเวลาที่ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เปิดตัวต่อสาธารณะ โดดเด่นที่สุดในบทความที่บัดนี้กลายเป็นตำราเรียนไปแล้ว จึงได้รับการจัดพิมพ์ทั้งโดยสถาบันนโยบายศึกษา และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“คอนสติติวชั่นแนลลิสม์ (Constitutionalism) : ทางออกของประเทศไทย”
อันเป็นที่มาสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
บทความขนาดยาวชิ้นสุดท้ายที่เผยแพร่ต่อสาธารณะใน “ผู้จัดการรายวัน” เมื่อ 7 ปีที่แล้วคือ “ปฏิรูปการเมือง 2” จบลงไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่จบ ทิ้งคำถามให้ผู้ติดตามงานของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เฝ้ารอคำตอบต่อไปว่าที่ว่าการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 1 เมื่อปี 2540 ล้มเหลวนั้นเป็นไฉน และการปฏิรูปการเมืองครั้งที่ 2 จะออกมาในรูปใด
เมื่อทบทวนอ่านงานเขียนของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ในแต่ละช่วงเวลาแล้วนำมาปรับประยุกต์กับปัญหารูปธรรมที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน ไม่แปลกใจเลยที่ท่านไม่จำเป็นจะต้องออกมาแสดงความคิดเห็นอะไรอีก
เพราะท่านเคยพูดไว้หมดแล้ว
แม้โครงสร้างของปัญหาจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็น้อยนิดเต็มที หลักใหญ่ ๆ แล้วยังคงเดิม