"บัณฑูร"บิ๊กแบงก์กสิกรไทย ประกาศปรับทัพบริษัทในเครือใหม่ทั้งหมด หวังใช้เป็นเครือข่ายสนับสนุนการทำธุรกิจหลักของธนาคาร และเน้นการรักษาบุคลากรการเงินที่มีความสามารถเป็นยุทธศาสตร์หลัก พร้อมแนะจับตา 4 ปัจจัยเสี่ยงที่เข้ามาฉุดภาวะเศรษฐกิจ ทั้งราคาน้ำมัน-การก่อการร้าย-โรคระบาด และอัตราดอกเบี้ย
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)กล่าว ในโอกาสครบรอบ 60 ปี ในปี 2548 นี้ ว่า การดำเนินธุรกิจทำได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นสถานการณ์จริงที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา อาทิ การเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)และการเจรจาการค้าภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) โดยเฉพาะธุรกิจด้านการเงินที่จะต้องพบกับแรงกดดัน ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับตัวและเตรียมพร้อมกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มธนาคารกสิกรไทยเอง จะปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยมีธุรกิจธนาคารพาณิชย์เป็นธุรกิจหลักที่ปัจจุบันสามารถขยายขอบข่ายการดำเนินธุรกิจได้มากกว่าเดิม รวมทั้งได้ปรับโครงสร้างบริษัทในเครือให้เป็นเครือข่าย และช่องทางในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้าได้ตรงกับความต้องการและตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
นายบัณฑูร กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในกลุ่มบริษัทในเครือจะเริ่มจากฐานลูกค้าของธนาคารเป็นหลักก่อน รวมทั้งได้มีการปรับเปลี่ยนโลโก้บริษัทในเครือให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกับธนาคาร เป็นการแสดงพลังให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวของกลุ่มธนาคารกสิกรไทย
ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจของธนาคารประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด บริษัทแฟคตอริ่งกสิกรไทย จำกัด และบริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด
"ภายใต้กรอบการแข่งขันที่เปิดกว้างมากขึ้น ธนาคารจะต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์บริษัทในเครือให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่หลายฝ่ายมองว่า ความสามารถทำกำไรได้น้อย และเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างชื่อให้กับธนาคารได้มาก"
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจนั้น นายบัณฑูร กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงการดำเนินธุรกิจของธนาคารปัจจัยมีอยู่ 4 ปัจจัยหลัก คือ 1.ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดการพัฒนาเศรษฐกิจ 2. การก่อการร้าย แม้จะเป็นเรื่องใหม่ แต่มีความสำคัญและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐฯ ก่อนจะกระจายไปทั่วโลก รวมถึงในไทย
"การก่อการร้าย เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจ และมีความรุนแรงมากขึ้น แต่คาดว่าจะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัดได้ในเร็ววันนี้"
3.โรคระบาด ทั้งการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส และไข้หวัดนก 4. อัตราดอกเบี้ย ในปีนี้ที่มีทิศทางอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงของธุรกิจ ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
"ดอกเบี้ยของไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้ว่าสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์จะยังเหลืออยู่ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งสภาพคล่องก็จะหมดไปเอง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น แต่คงจะไม่ปรับขึ้นเร็วนัก เนื่องจากเศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง ทำให้ความจำเป็นในการใช้เงินอาจจะลดลงตามไปด้วย"
ด้านยุทธศาสตร์การแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์นั้น นายบัณฑูร กล่าวว่า ธนาคารต้องกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และถูกต้อง โดยมีการเชื่อมโยงเครือข่ายบริษัทในเครือทั้งหมด รวมถึงทรัพยากรบุคคลที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บุคลากรด้านการเงินรุ่นเก่าอาจจะมีความสามารถไม่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้
"ปัจจุบันบุคลากรที่มีความรู้เรื่องของธุรกิจการเงินอย่างแท้จริงมีอยู่น้อย ไม่ใช่เป็นนายแบงก์รุ่นเก่าๆ เนื่องจากตลาดมีความเชื่อมโยง มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งธุรกรรมเปิดกว้างมากขึ้น จึงทำให้มีการแย่งชิงตัวบุคลากร ซึ่งแบงก์กสิกรไทยเอง ถือเป็นธนาคารที่มีบุคลากรชั้นนำของประเทศ ดังนั้นธนาคารจำเป็นต้องดูแลและรักษาไว้ให้ดีที่สุด"
ด้านนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ยังคงไม่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีอยู่อีกมาก รวมถึงสภาพคล่องของธนาคารกสิกรไทยด้วย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้มียอดการปล่อยสินเชื่อเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่สิ้นไตรมาสที่ 1 จะมีการประเมินว่าเป้าหมายธุรกิจจะเป็นไปตามเดิมหรือไม่ เนื่องจากธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อให้มีการขยายตัวประมาณ 6 - 8% หรือประมาณ 40,000 ล้านบาท
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)กล่าว ในโอกาสครบรอบ 60 ปี ในปี 2548 นี้ ว่า การดำเนินธุรกิจทำได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นสถานการณ์จริงที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลา อาทิ การเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ)และการเจรจาการค้าภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) โดยเฉพาะธุรกิจด้านการเงินที่จะต้องพบกับแรงกดดัน ทำให้จำเป็นต้องมีการปรับตัวและเตรียมพร้อมกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่มธนาคารกสิกรไทยเอง จะปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยมีธุรกิจธนาคารพาณิชย์เป็นธุรกิจหลักที่ปัจจุบันสามารถขยายขอบข่ายการดำเนินธุรกิจได้มากกว่าเดิม รวมทั้งได้ปรับโครงสร้างบริษัทในเครือให้เป็นเครือข่าย และช่องทางในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการให้กับลูกค้าได้ตรงกับความต้องการและตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด
นายบัณฑูร กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจในกลุ่มบริษัทในเครือจะเริ่มจากฐานลูกค้าของธนาคารเป็นหลักก่อน รวมทั้งได้มีการปรับเปลี่ยนโลโก้บริษัทในเครือให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกับธนาคาร เป็นการแสดงพลังให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวของกลุ่มธนาคารกสิกรไทย
ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจของธนาคารประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด บริษัทแฟคตอริ่งกสิกรไทย จำกัด และบริษัทลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด
"ภายใต้กรอบการแข่งขันที่เปิดกว้างมากขึ้น ธนาคารจะต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์บริษัทในเครือให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่หลายฝ่ายมองว่า ความสามารถทำกำไรได้น้อย และเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างชื่อให้กับธนาคารได้มาก"
สำหรับปัจจัยเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจนั้น นายบัณฑูร กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงการดำเนินธุรกิจของธนาคารปัจจัยมีอยู่ 4 ปัจจัยหลัก คือ 1.ราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดการพัฒนาเศรษฐกิจ 2. การก่อการร้าย แม้จะเป็นเรื่องใหม่ แต่มีความสำคัญและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากเหตุการณ์ก่อการร้ายในสหรัฐฯ ก่อนจะกระจายไปทั่วโลก รวมถึงในไทย
"การก่อการร้าย เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อภาวะเศรษฐกิจ และมีความรุนแรงมากขึ้น แต่คาดว่าจะควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัดได้ในเร็ววันนี้"
3.โรคระบาด ทั้งการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส และไข้หวัดนก 4. อัตราดอกเบี้ย ในปีนี้ที่มีทิศทางอยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งเป็นความเสี่ยงของธุรกิจ ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
"ดอกเบี้ยของไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น แม้ว่าสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์จะยังเหลืออยู่ แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งสภาพคล่องก็จะหมดไปเอง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น แต่คงจะไม่ปรับขึ้นเร็วนัก เนื่องจากเศรษฐกิจมีการชะลอตัวลง ทำให้ความจำเป็นในการใช้เงินอาจจะลดลงตามไปด้วย"
ด้านยุทธศาสตร์การแข่งขันในธุรกิจธนาคารพาณิชย์นั้น นายบัณฑูร กล่าวว่า ธนาคารต้องกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน และถูกต้อง โดยมีการเชื่อมโยงเครือข่ายบริษัทในเครือทั้งหมด รวมถึงทรัพยากรบุคคลที่ธนาคารให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกๆ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจธนาคารพาณิชย์มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว บุคลากรด้านการเงินรุ่นเก่าอาจจะมีความสามารถไม่เพียงพอในการดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้
"ปัจจุบันบุคลากรที่มีความรู้เรื่องของธุรกิจการเงินอย่างแท้จริงมีอยู่น้อย ไม่ใช่เป็นนายแบงก์รุ่นเก่าๆ เนื่องจากตลาดมีความเชื่อมโยง มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งธุรกรรมเปิดกว้างมากขึ้น จึงทำให้มีการแย่งชิงตัวบุคลากร ซึ่งแบงก์กสิกรไทยเอง ถือเป็นธนาคารที่มีบุคลากรชั้นนำของประเทศ ดังนั้นธนาคารจำเป็นต้องดูแลและรักษาไว้ให้ดีที่สุด"
ด้านนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ยังคงไม่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีอยู่อีกมาก รวมถึงสภาพคล่องของธนาคารกสิกรไทยด้วย ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยในต่างประเทศยังไม่ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อาจจะเห็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้มียอดการปล่อยสินเชื่อเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่สิ้นไตรมาสที่ 1 จะมีการประเมินว่าเป้าหมายธุรกิจจะเป็นไปตามเดิมหรือไม่ เนื่องจากธนาคารตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อให้มีการขยายตัวประมาณ 6 - 8% หรือประมาณ 40,000 ล้านบาท