xs
xsm
sm
md
lg

อริยสัจการเมืองจีน (26)ต่อยอด "ความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง"

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

การต่อยอดของพรรคการเมือง "เหนือทุนไทย" ใน "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์ ทำให้มีมาตรฐานการในรับรู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก และอะไรควรไม่ควรทำ

นั่นคือ เห็นว่า การปฏิบัติคือที่มาของความรับรู้ ของปัญญา ที่สามารถแก้ไขปัญหาเป็นจริงได้ สิ่งที่ว่ารู้ว่าใช่นั้นสามารถ "พิสูจน์ได้" จากการปฏิบัติ ยึดเอาการปฏิบัติเป็นตัววัด "สัจธรรม"

อีกทั้งมุ่งถือเอาผลประโยชน์ของประชาชน ของส่วนรวม เป็นตัวตั้ง เป็นตัวตัดสินว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไร

นั่นคือ ถ้าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต่อส่วนรวมก็ทำ ถ้าไม่ ก็ไม่ทำ

"จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์ เช่นนี้ สะท้อนความเป็น "วิทยาศาสตร์" อย่างยิ่งของพรรคการเมือง "เหนือทุน" ที่ไม่ติดยึดกับตัวบุคคลหรือตำรา/คัมภีร์ใดๆ และเป็น "สากลนิยม" อย่างยิ่งที่ไม่ยึดติดอยู่กับผลประโยชน์เฉพาะของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลหนึ่งใด แต่มุ่งสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ ให้สามารถพัฒนาตนเองไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ปลดปล่อยตนเองออกจากการถูกจำกัดทั้งหลายทั้งปวง เพื่อช่วยกันขับเคลื่อนกงล้อประวัติศาสตร์โดยรวมของมนุษยชาติไปสู่อนาคตอันศิวิไลซ์

เฉพาะคุณสมบัติเบื้องต้นเช่นนี้ของพรรคเหนือทุน ก็ย่อมให้หลักประกันโดยพื้นฐานแล้วว่า เมื่อใดที่พรรคเหนือทุนได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ย่อมจะสามารถสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแน่นอน ส่วนจะมากจะน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นกับเหตุปัจจัยภายในและภายนอกในแต่ละห้วงเวลาและสภาพแวดล้อมเป็นจริงมากมายและสลับซับซ้อน ซึ่งในหลายๆ กรณีก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ มีแต่จะต้องหาทางป้องกันไว้ก่อน หรือเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งเชิงรุกเชิงรับอย่างรอบด้าน รวมทั้งพร้อมเสมอที่จะพลิก "วิกฤต" เป็น "โอกาส"

สรุปคือ ในทุกห้วงแห่งการใช้อำนาจบริหารประเทศ สิ่งที่พรรคเหนือทุนจะต้องทำคือ สร้างประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน หากแม้นจะต้องแลกมาด้วยความสูญเสียในบางสิ่งบางด้าน ก็ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

ในบริบทดังกล่าว คุณภาพและประสิทธิภาพของคณะผู้นำพรรคและบุคลากร ผู้ปฏิบัติงานของพรรค จึงมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ

นั่นคือ จะต้องประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ มีความคิดอุดมการณ์สูงส่ง จิตใจเสียสละ มีความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองทางความคิดสูง ขณะที่สามารถทำงานกันเป็นทีมได้เป็นอย่างดี

โดยสาระก็คือ จะต้องเป็นผู้มีจุดยืน ทัศนะ วิธีการแบบมาร์กซิสม์ มีความสามารถในการปฏิบัติงาน "นำ" มวลชนเคลื่อนไหวปฏิบัติ และสามารถประมวลองค์ความรู้จากประสบการณ์การเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชนขึ้นสู่หลักการที่สะท้อนกฎเกณฑ์การขับเคลื่อนของกระบวนการพัฒนาการที่เป็นจริงของมวลชนได้เป็นอย่างดี และสุดท้าย สามารถยกระดับหลักการเหล่านั้นสู่ความรับรู้ในระดับทฤษฎีชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชนต่อไป

นั่นคือ ในตัวของผู้นำ ผู้ปฏิบัติงานของพรรคเหนือทุนไทย ได้ "ต่อยอด"คุณสมบัติพื้นฐานของความเป็นพรรคเหนือทุนโลก (จุดยืน ทัศนะ วิธีการ) แล้วเป็นอย่างดี

ที่มาของ "ความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง"

มองในระดับองค์รวม "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์ของพรรคเหนือทุน คือ "ต้นธาร" ที่จะนำไปสู่การการดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้อย่างถูกต้อง บรรลุสู่ชัยชนะเป็นขั้นๆ

เป็นที่มาของวิธีคิดและวิธีทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ สามารถบรรลุมรรคผลที่เป็นจริง เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริงได้สูงสุดเสมอ

วิธีคิดวิธีทำงานเช่นว่านี้ หนีไม่พ้น "แก่นธรรม" 3 ประสาน ได้แก่ "ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ" (หรือ "หาสัจจะจากความเป็นจริง") "เดินแนวทางมวลชน" และ "ความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง"

ทั้งนี้ "แก่นธรรม" ทั้งสาม ต่างก็เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน เป็นปัจจัยของกันและกัน เมื่อจะหาสัจจะจากความเป็นจริง ก็ต้องเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง เมื่อจะเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง ก็ต้องเดินแนวทางมวลชน อาศัยภูมิปัญญาไทย (ในกรณีพรรคเหนือทุนไทย)

ซึ่งจะทำได้ก็ด้วยการ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง ซึ่งก็คือความเป็นจริงที่ประเทศชาติและประชาชนกำลังเผชิญหน้าอยู่ ทำความเข้าใจและ "เข้าถึง" กฎเกณฑ์หรือ "แก่นแท้" ของปัญหา ในท่ามกลางการ "นำ" มวลชนดำเนินการเคลื่อนไหวปฏิบัติ แก้ไขปัญหา

มิใช่ไปค้นหาคำตอบในตำรา "ควานหา" สัจธรรมในประโยคเด็ดของปรมาจารย์ และเหินห่างมวลชนอย่างสิ้นเชิง

"แก่นธรรม" ทั้งสาม คือ "หัวใจ"

มองย้อนกลับไป ทั้งสาม "แก่นธรรม" ก็คือผลของการใช้จุดยืน ทัศนะ วิธีการแบบมาร์กซิสม์ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของพรรคเหนือทุน

ถึงขั้นเป็น "หัวใจ" ของ "ความคิดเหมาเจ๋อตง" เลยทีเดียว

ในอดีต สมัยที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนนำประชาชนจีนดำเนินการปฏิวัติสังคมด้วยสงครามประชาชน ตามแนวคิดทฤษฎีชี้นำที่เรียกกว่า "ความคิดเหมาเจ๋อตง" โดยสาระก็คือการนำเอา "แก่นธรรม" ทั้งสามไปประยุกต์ใช้ในการเคลื่อนไหวปฏิบัตินั่นเอง

ปัจจุบันนี้ ประเทศจีนกำลังพัฒนาตนเองไปอย่างรวดเร็วและอย่างรอบด้าน ภายใต้การบริหารของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้มีการนำเอา "แก่นธรรม" ทั้งสามชี้นำการคิดการทำงานอย่างรอบด้าน ในรูปของแนวคิดทฤษฎีใหม่ๆ นาม "ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง" และ "ทฤษฎี 3 ตัวแทน"

อีกนัยหนึ่ง พัฒนาการทางความคิดทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของพรรคจีนที่มี "แก่นธรรม" ทั้งสามเป็นหลักนำ ได้ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยปฏิวัติ และพิสูจน์ถึงความเป็น "สัจธรรม" ของ "แก่นธรรม" ทั้งสามนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อใดพรรคฯ จีนยืนหยัดอยู่ใน "แก่นธรรม" ทั้งสามนี้อย่างแท้จริง ก็จะได้รับชัยชนะในการต่อสู้หรือบริหารจัดการ ตรงกันข้าม เมื่อใดที่พวกเขาละเลย ไม่ปฏิบัติตาม "แก่นธรรม" ทั้งสามอย่างแท้จริง ก็จะประสบปัญหามากมาย ยังผลให้ภารกิจปฏิวัติและการพัฒนาประเทศประสบอุปสรรคมากมาย กระทั่งถดถอยหรือหยุดชะงักไป

เป็นการต่อยอดในระดับ "รากเหง้า"

กล่าวได้ว่า "แก่นธรรม" ทั้งสาม เป็นระบบความคิดทฤษฎีที่เชื่อมโยงกันเข้าอย่างเป็นบูรณาการในตัวเอง บนฐานรากหรือ "รากเหง้า" เดียวกัน อันได้แก่ "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์

มีกระบวนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชนที่นำโดยพรรคเหนือทุน โดยเริ่มก่อรูปขึ้นมาตั้งแต่ยุคของคาร์ล มาร์กซ์ ได้รับการพัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นในสมัยของ วี.ไอ. เลนิน และมาตกผลึกเป็น "แก่นธรรม" ในยุคเหมาเจ๋อตง

บนฐานรากของ "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" มาร์กซิสม์ และด้วยการยืนหยัดใน "แก่นธรรม" ทั้งสามนี้ พรรคเหนือทุนทั้งหลายทั้งปวง จะสามารถพัฒนาแนวคิดทฤษฎี "เฉพาะ" ที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของประเทศตน ขึ้นมาชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติ บรรลุสู่ชัยชนะอย่างไม่ขาดสาย

นั่นหมายถึงว่า พัฒนาการของ "ลัทธิมาร์กซ์" ไม่เคยหยุดนิ่ง มีการพัฒนาเติบใหญ่ เพิ่มเติมให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของประชาชนชาวโลก ภายใต้การนำของพรรคมาร์กซิสม์ หรือ "พรรคเหนือทุน" ในประเทศต่างๆ นับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา

โดยมีพรรคชนชั้นกรรมาชีพของประเทศยุโรปตะวันตก ที่นำโดยคาร์ล มาร์กซ์ และเฟเดริก เองเกลส์ เป็นรุ่นบุกเบิก จัดตั้งพรรคการเมืองเหนือทุน ดำเนินการต่อสู้ มุ่งหมายโค่นล้มอำนาจการปกครองของชนชั้นนายทุน ล้มล้างระบอบทุนนิยม สถาปนาระบอบสังคมนิยม ที่อำนาจรัฐเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

ระหว่างนั้น คาร์ล มาร์กซ์ และเฟเดริก เองเกลส์ ได้ทำการสรุปบทเรียนและองค์ความรู้ทั้งบวกและลบเป็นระบบทฤษฎีอันยิ่งใหญ่ ในชื่อ "ลัทธิมาร์กซ์"

ต่อมาในรัสเซียเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ลัทธิมาร์กซ์ได้ขยายตัวเติบใหญ่ในรูป "ลัทธิเลนิน" และในประเทศจีนเมื่อกลางทศวรรษ ค.ศ.1930 ลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนิน ได้ขยายตัวเติบใหญ่ในรูป "ความคิดเหมาเจ๋อตง" ซึ่งต่อมาภายหลังก้าวเข้าสู่ระยะของการปฏิรูปและเปิดกว้าง ก็ได้ขยายตัวเติบใหญ่เป็น "ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง" และ "ทฤษฎีสามตัวแทน"

ทั้งหมดนั้น (ลัทธิมาร์กซ์ ลัทธิเลนิน ความคิดเหมาเจ๋อตง ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง ทฤษฎี 3 ตัวแทน) เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเป็นบูรณาการ โดยมี "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์เป็น "รากเหง้า" และมี "แก่นธรรม" ทั้งสามที่ตกผลึกชัดเจนในยุคเหมาเจ๋อตง เป็นหลักนำ

ด้วยเหตุนี้ การ "ต่อยอด" แก่นธรรมทั้งสามของพรรคการเมืองมาร์กซิสม์หรือพรรคเหนือทุนโลก บนฐานรากหรือ "รากเหง้า" อันได้แก่ "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์ จึงเป็น "สิ่งจำเป็น" เบื้องต้นของพรรคเหนือทุนทั้งปวง

อีกนัยหนึ่ง มีแต่การต่อยอดในระดับในระดับ "รากเหง้า" แล้วเท่านั้น "พรรคเหนือทุน" นั้นๆ จึงจะเป็นพรรคเหนือทุนที่แท้จริงได้ และเมื่อต่อยอด "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" เป็นไปด้วยดีแล้ว การต่อยอดอื่นๆ ก็จะทำได้อย่างไม่ขัดเขิน สอดคล้องกันอย่างเป็นธรรมชาติ

นั่นคือ มีแต่ต้องต่อยอด "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์แล้วเท่านั้น จึงจะนำไปสู่การต่อยอด "แก่นธรรม" ทั้งสาม (1. หาสัจจะจากความเป็นจริง/ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ 2. เดินแนวทางมวลชน และ 3. เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง)

อีกนัยหนึ่ง เมื่อเราสามารถใช้จุดยืน ทัศนะ วิธีการแบบมาร์กซิสม์ได้อย่างถูกต้องและชำนาญ ก็ง่ายที่จะเกิดท่วงทำนองหรือกระบวนวิธีการปฏิบัติที่ "ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ" "เดินแนวทางมวลชน" และ "มีความเป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง"

สรุปคือ "ยอด" ต่างๆ ที่เราจะต้อง "ต่อ" ล้วนแต่เป็นผลพวงการใช้จุดยืน ทัศนะ วิธีการแบบมาร์กซิสม์ของพรรคเหนือทุนในประเทศต่างๆ ซึ่งเราสามารถ "เลือก" ที่จะต่อยอดได้ ตามความจำเป็นและเหมาะสมกับตัวเอง

กรณีประเทศไทยในปัจจุบัน

ในตอนนี้ คือในขณะที่สังคมไทยยังไม่มีใครเสนอทางออกให้แก่พรรคเหนือทุนไทย ผู้เขียนก็ขอ "อาสา" นำเสนอแนวคิดเรื่องพรรคเหนือทุนไทยไปก่อน

นั่นคือ ในบริบทของความเป็นพรรคเหนือทุน "พรรคสามัคคีประชาชนไทย" (หรือ "พรรคสามัคคีประชาชนพัฒนา" หรือ "พรรคประชาชนสามัคคีพัฒนา" ตามที่ได้เสนอให้เลือก) สิ่งแรกสุดที่จะต้องทำคือการต่อยอด "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์

ใช้จุดยืน ทัศนะ วิธีการดังกล่าวชี้นำความคิด หาสัจจะจากความเป็นจริง เดินแนวทางมวลชน อย่างเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง

เชื่อเหลือเกินว่า พรรคเหนือทุนไทยก็จะ "ค้นพบ" คำตอบเบื้องต้นที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคมไทยได้ในเกือบจะ "ทันที" และสามารถยกระดับขึ้นมาเป็นแนวคิดทฤษฎีชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติของตนเองได้อย่างถูกต้องต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น