ผู้จัดการรายวัน – อย. เรียกคืนนมผงดัดแปลงสำหรับทารก 3 ยี่ห้อดังคือ เมจิ เอฟเอ็ม-ที แนน 1 และซีมีแล็กดีเอชเอ+เออาร์ในบางรุ่น หลังพบเชื้อเอนเทอโรแบคเตอร์ ซากาซากิ ที่เป็นอันตรายต่อทารกแรกเกิดถึง 1 ปี โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อน-กำหนด และทารกที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เหตุก่อให้เกิดเยื่อหุ้มสมอง-ไขสันหลังอักเสบ และอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้
ด้านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผยวิจัยจากสถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล พบชาเขียวพร้อมดื่มมีคาเฟอีน-น้ำตาลสูงปรี๊ด โดยเฉพาะสูตรผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลร้ายยิ่งกว่าน้ำอัดลม แถมไร้คำเตือนและฉลากไม่ถูกต้อง เตือนเด็กและสตรีมีครรภ์ควรระมัดระวัง
ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีโครงการศึกษาความเสี่ยงของเชื้อเอนเทอโร-แบคเตอร์ ซากาซากิ (Enterobacter sakazakii) ในนมผงดัดแปลงสำหรับทารก โดยเก็บตัวอย่างจำนวน 62 ตัวอย่างนั้น พบมีการปนเปื้อนเชื้อดังกล่าวจำนวน 3 ตัวอย่างคือ
1.ยี่ห้อ เมจิ เอฟ-เอ็ม-ที ของบ.เมจิ-เอ็มจีซี เดรี่ ออสเตรเลีย จำกัด วันที่ผลิต 05/05/2003 วันที่หมดอายุ 05/05/2006 2.ยี่ห้อแนน 1 ของบ.เนสท์เล่ นีเดอร์แลนด์ เบ.เว.เนเธอร์แลนด์ จำกัด รหัส EMIBV-22:11 เลขสารบบ 10-3-10937-1-0096 วันที่ผลิต 09/09/2004 วันที่หมดอายุ 09/09/2006 และ 3.ยี่ห้อซิมิแลค ดีเอชเอ+เออาร์เอ ของบ. แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส์ เอส.เอ แกรนาดา สเปน จำกัด รหัส 22167QU เลขสารบบ 10-3-14623-1-0042 วันที่ผลิต 10/2004 วันที่หมดอายุ 04/2006
ทั้งนี้ เชื้อดังกล่าวทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทารกแรกเกิด ถึง 1 ปี โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนด ทารกที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ก็มีรายงานการติดเชื้อในเด็กและผู้ใหญ่ด้วย โดยทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังอักเสบ โลหิตเป็นพิษ สำไส้และกระเพาะอักเสบ อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
เลขาฯ อย. กล่าวต่อไปว่า เชื้อชนิดนี้เป็นเชื้อที่อยู่ตามธรรมชาติ พบได้ในสิ่งแวดล้อม น้ำ ดิน พืชและผัก อุจจาระของคนและสัตว์ ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ที่จะเกิดการปนเปื้อนในระหว่าง กระบวนการผลิต แต่ยังไม่แน่ชัดว่าการปนเปื้อนเกิดในขั้นตอนใดของการผลิต ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย อย. จึงให้ผู้นำเข้าเรียกเก็บคืนนมผงรุ่นที่มีปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อทำลาย และแจ้งผล ดำเนินการให้ อย. ทราบด้วย
นอกจากนี้ ยังดำเนินการตามกฎหมายกับผู้นำเข้าทันที ฐานนำเข้าเพื่อจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแจ้งข้อหานำเข้าอาหารผิดมาตรฐาน มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาทอีกด้วย และหากยังพบว่าผู้นำเข้ายังคงกระทำผิดซ้ำ ๆ ต่อไป ก็จะถูกพิจารณาเพิกถอน ใบอนุญาต
เลขาฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้มารดาที่อยู่ระหว่างการให้นมบุตรและประชาชนทั่วไป อย่าได้หวั่นวิตก สำหรับผู้บริโภคที่สงสัยหรือพบปัญหา เกรงว่าบุตรหลานจะได้รับอันตราย หรือยังคงพบผลิตภัณฑ์รุ่นดังกล่าวในท้องตลาด โปรดแจ้งมาที่ อย. ทันที ผ่านสายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการได้รับอันตรายจากเชื้อ ผู้ปกครองควรชงนมเฉพาะปริมาณที่พอดีกับสำหรับการเลี้ยงทารกในแต่ละครั้ง และชงก่อนการบริโภคเท่านั้น อีกทั้งไม่ควรชงนมแล้วตั้งทิ้งไว้ หรือนำไปแช่ตู้เย็นนาน แล้วนำมาบริโภค เพราะเชื้อโรคจะเจริญเติบโตและแพร่ขยาย ทำให้ทารกได้รับเชื้อในปริมาณมาก เกิดอันตรายร้ายแรงได้ในที่สุด
วานนี้(5 เม.ย.) ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้จัดให้มีการแถลงข่าว เรื่องชาเขียวพร้อมดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือคาเฟอีนซ่อนรูป โดยนายอิฐบูรณ์ อ้นวงศา ผู้ประสานงานฝ่ายเผยแพร่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการสำรวจปริมาณคาเฟอีนในชาเขียวแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ตั้งแต่ช่วงก.พ.48 ที่ผ่านมาปรากฏว่า ชาเขียวบางรุ่นบางยี่ห้อไม่มีการแสดงปริมาณคาเฟอีนซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อผู้บริโภค
ดังนั้น จึงได้นำชาเขียวพร้อมดื่ม 43 ตัวอย่างส่งให้สถาบันวิจัยโภชนากา ม.มหิดลทำการวิเคราะห์หาปริมาณคาเฟอีนทั้งหมด เพื่อเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่โดยธรรมชาติและเติมเข้าไปโดย พบว่า ชาเขียวพร้อมดื่มมีปริมาณคาเฟอีนสูง
ทั้งนี้ ชาเขียวพร้อมดื่มขนาดบรรจุ 500 มล. เฉลี่ยมีปริมาณคาเฟอีน 23.76-76.02 มก.ต่อขวด และขนาดบรรจุ 600 มล.มีปริมาณคาเฟอีนตั้งแต่ 77.27-103.48 มก.ต่อขวด ในขณะที่ปริมาณคาเฟอีนที่ร่างกายรับได้ไม่เกิน 200 มก.ต่อวัน ซึ่งในชีวิตประจำวันอาจได้รับสารคาเฟอีนจากอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น กาแฟ โกโก้ หรือเครื่องดื่มโคล่า เมื่อบริโภคชาเขียวพร้อมดื่มเข้าไปก็อาจทำให้ปริมาณสารคาเฟอีนในร่างกายสูงเกินมาตรฐานได้
นายอิฐบูรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากคาเฟอีนที่มีอยู่ในเครื่องดื่มชาเขียวแล้ว ความหวานในชาเขียวก็แฝงอันตรายสู่เด็กและวัยรุ่นด้วย ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนดการบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 10 ช้อนชา ซึ่งโครงสร้างร่างกายมีการเผาผลาญได้ 6 ช้อนชา ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องดื่มชาเขียวเมื่อสำรวจข้อมูลด้านโภชนาการ โดยเฉพาะสูตรมีน้ำตาลหรือผสมน้ำผึ้งพบว่า มีหลายยี่ห้อมีปริมาณน้ำตาลในระดับที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคด้วยการบริโภคเพียงขวดเดียว
“จากการเปรียบเทียบน้ำตาลกับเครื่องดื่มโคล่า พบว่าเครื่องดื่มชาเขียวจำพวกผสมน้ำผึ้งมีน้ำตาลถึง 13.75 ช้อนชาต่อขวด ขณะที่น้ำอัดลมมีน้ำตาล 13 ช้อนชาต่อชวด ซึ่งไม่แตกต่างกันเลย ยิ่งกินทุกวันวันละ 2 ขวด ทั้งปริมาณน้ำตาลและคาเฟอีนก็จะยิ่งสูงขึ้น จึงอยากให้ข้อมูลผู้บริโภคชี้ให้เห็นว่าเรากำลังบริโภคเพื่อสุขภาพหรือทำลายสุขภาพกันแน่ และขอเตือนอย่าให้เพลินไปกับการโปรโมทสินค้าที่กระตุ้นยอดขาย เช่น การชิงโชคที่ไม่รู้ว่ากินกี่ขวดแล้วจะได้ แต่ผู้บริโภคกลับตกเป็นเหยื่อถูกชักจูงโดยทิศทางทางการตลาดโดยไม่รู้ตัว ”
นายอิฐบูรณ์ กล่าวด้วยว่า ข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคคือ ฉลากสินค้า ซึ่งในการประกาศสธ.ฉบับที่ 277 ซึ่งออกมาตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.46 ได้กำหนดให้ชาพร้อมดื่มต้องแสดงปริมาณคาเฟอีนหน่วยเป็นมิลลิกรัมต่อ 100 มก.ด้วยอักษรสีเข้มเส้นทึบขนาดความสูงไม่น้อยกว่า 2 มม. ที่อ่านได้ชัดเจนอยู่ในกรอบพื้นที่สีขาว บริเวณเดียวกับชื่ออาหารหรือชื่อสินค้า
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงพบว่า เครื่องดื่มที่มีการแสดงฉลากในตำแหน่งที่ถูกต้อง มียี่ห้อเดียวคือ ยี่ห้อซัมเมอร์ นอกจากนั้นไม่มียี่ห้อใดเลยที่แสดงตำแหน่งถูกต้อง แถมบางยี่ห้อไม่มีการแสดงปริมาณคาเฟอีนด้วย
นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลในวันนี้เพื่อต้องการแจ้งเตือนผู้บริโภคทั้งกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มเสี่ยงคือเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี สตรีมีครรภ์ให้ความระมัดระวังในการบริโภค เนื่องจาก อย. ยังไม่มีคำเตือนที่ชัดเจน
ส่วนเรื่องปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชาเขียวก็ควรมีการพัฒนาฉลากโภชนาการ เนื่องจากปัจจุบันนี้ถือเป็นความสมัครใจของเจ้าของสินค้าที่จะแสดงหรือไม่ก็ได้ ซึ่งอย.มีอำนาจที่จะบังคับให้สินค้าแสดงปริมาณน้ำตาล เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้บริโภคได้ และสุดท้ายอยากให้ผู้ประกอบการมีคุณธรรม จริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วย ทั้งนี้ จะนำข้อมูลที่ได้นี้ส่งต่อให้กับอย.ต่อไป
ด้านมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเผยวิจัยจากสถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล พบชาเขียวพร้อมดื่มมีคาเฟอีน-น้ำตาลสูงปรี๊ด โดยเฉพาะสูตรผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลร้ายยิ่งกว่าน้ำอัดลม แถมไร้คำเตือนและฉลากไม่ถูกต้อง เตือนเด็กและสตรีมีครรภ์ควรระมัดระวัง
ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ตามที่
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีโครงการศึกษาความเสี่ยงของเชื้อเอนเทอโร-แบคเตอร์ ซากาซากิ (Enterobacter sakazakii) ในนมผงดัดแปลงสำหรับทารก โดยเก็บตัวอย่างจำนวน 62 ตัวอย่างนั้น พบมีการปนเปื้อนเชื้อดังกล่าวจำนวน 3 ตัวอย่างคือ
1.ยี่ห้อ เมจิ เอฟ-เอ็ม-ที ของบ.เมจิ-เอ็มจีซี เดรี่ ออสเตรเลีย จำกัด วันที่ผลิต 05/05/2003 วันที่หมดอายุ 05/05/2006 2.ยี่ห้อแนน 1 ของบ.เนสท์เล่ นีเดอร์แลนด์ เบ.เว.เนเธอร์แลนด์ จำกัด รหัส EMIBV-22:11 เลขสารบบ 10-3-10937-1-0096 วันที่ผลิต 09/09/2004 วันที่หมดอายุ 09/09/2006 และ 3.ยี่ห้อซิมิแลค ดีเอชเอ+เออาร์เอ ของบ. แอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส์ เอส.เอ แกรนาดา สเปน จำกัด รหัส 22167QU เลขสารบบ 10-3-14623-1-0042 วันที่ผลิต 10/2004 วันที่หมดอายุ 04/2006
ทั้งนี้ เชื้อดังกล่าวทำให้เกิดความเสี่ยงต่อทารกแรกเกิด ถึง 1 ปี โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนด ทารกที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ และทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ แต่ก็มีรายงานการติดเชื้อในเด็กและผู้ใหญ่ด้วย โดยทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองและไขสันหลังอักเสบ โลหิตเป็นพิษ สำไส้และกระเพาะอักเสบ อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
เลขาฯ อย. กล่าวต่อไปว่า เชื้อชนิดนี้เป็นเชื้อที่อยู่ตามธรรมชาติ พบได้ในสิ่งแวดล้อม น้ำ ดิน พืชและผัก อุจจาระของคนและสัตว์ ทั้งนี้ อาจเป็นไปได้ที่จะเกิดการปนเปื้อนในระหว่าง กระบวนการผลิต แต่ยังไม่แน่ชัดว่าการปนเปื้อนเกิดในขั้นตอนใดของการผลิต ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย อย. จึงให้ผู้นำเข้าเรียกเก็บคืนนมผงรุ่นที่มีปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อทำลาย และแจ้งผล ดำเนินการให้ อย. ทราบด้วย
นอกจากนี้ ยังดำเนินการตามกฎหมายกับผู้นำเข้าทันที ฐานนำเข้าเพื่อจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแจ้งข้อหานำเข้าอาหารผิดมาตรฐาน มีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาทอีกด้วย และหากยังพบว่าผู้นำเข้ายังคงกระทำผิดซ้ำ ๆ ต่อไป ก็จะถูกพิจารณาเพิกถอน ใบอนุญาต
เลขาฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอให้มารดาที่อยู่ระหว่างการให้นมบุตรและประชาชนทั่วไป อย่าได้หวั่นวิตก สำหรับผู้บริโภคที่สงสัยหรือพบปัญหา เกรงว่าบุตรหลานจะได้รับอันตราย หรือยังคงพบผลิตภัณฑ์รุ่นดังกล่าวในท้องตลาด โปรดแจ้งมาที่ อย. ทันที ผ่านสายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงจากการได้รับอันตรายจากเชื้อ ผู้ปกครองควรชงนมเฉพาะปริมาณที่พอดีกับสำหรับการเลี้ยงทารกในแต่ละครั้ง และชงก่อนการบริโภคเท่านั้น อีกทั้งไม่ควรชงนมแล้วตั้งทิ้งไว้ หรือนำไปแช่ตู้เย็นนาน แล้วนำมาบริโภค เพราะเชื้อโรคจะเจริญเติบโตและแพร่ขยาย ทำให้ทารกได้รับเชื้อในปริมาณมาก เกิดอันตรายร้ายแรงได้ในที่สุด
วานนี้(5 เม.ย.) ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้จัดให้มีการแถลงข่าว เรื่องชาเขียวพร้อมดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพหรือคาเฟอีนซ่อนรูป โดยนายอิฐบูรณ์ อ้นวงศา ผู้ประสานงานฝ่ายเผยแพร่ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า จากการสำรวจปริมาณคาเฟอีนในชาเขียวแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อ ตั้งแต่ช่วงก.พ.48 ที่ผ่านมาปรากฏว่า ชาเขียวบางรุ่นบางยี่ห้อไม่มีการแสดงปริมาณคาเฟอีนซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญต่อผู้บริโภค
ดังนั้น จึงได้นำชาเขียวพร้อมดื่ม 43 ตัวอย่างส่งให้สถาบันวิจัยโภชนากา ม.มหิดลทำการวิเคราะห์หาปริมาณคาเฟอีนทั้งหมด เพื่อเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่โดยธรรมชาติและเติมเข้าไปโดย พบว่า ชาเขียวพร้อมดื่มมีปริมาณคาเฟอีนสูง
ทั้งนี้ ชาเขียวพร้อมดื่มขนาดบรรจุ 500 มล. เฉลี่ยมีปริมาณคาเฟอีน 23.76-76.02 มก.ต่อขวด และขนาดบรรจุ 600 มล.มีปริมาณคาเฟอีนตั้งแต่ 77.27-103.48 มก.ต่อขวด ในขณะที่ปริมาณคาเฟอีนที่ร่างกายรับได้ไม่เกิน 200 มก.ต่อวัน ซึ่งในชีวิตประจำวันอาจได้รับสารคาเฟอีนจากอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ เช่น กาแฟ โกโก้ หรือเครื่องดื่มโคล่า เมื่อบริโภคชาเขียวพร้อมดื่มเข้าไปก็อาจทำให้ปริมาณสารคาเฟอีนในร่างกายสูงเกินมาตรฐานได้
นายอิฐบูรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากคาเฟอีนที่มีอยู่ในเครื่องดื่มชาเขียวแล้ว ความหวานในชาเขียวก็แฝงอันตรายสู่เด็กและวัยรุ่นด้วย ซึ่งตามเกณฑ์มาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนดการบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ประมาณ 10 ช้อนชา ซึ่งโครงสร้างร่างกายมีการเผาผลาญได้ 6 ช้อนชา ขณะที่สินค้าประเภทเครื่องดื่มชาเขียวเมื่อสำรวจข้อมูลด้านโภชนาการ โดยเฉพาะสูตรมีน้ำตาลหรือผสมน้ำผึ้งพบว่า มีหลายยี่ห้อมีปริมาณน้ำตาลในระดับที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บริโภคด้วยการบริโภคเพียงขวดเดียว
“จากการเปรียบเทียบน้ำตาลกับเครื่องดื่มโคล่า พบว่าเครื่องดื่มชาเขียวจำพวกผสมน้ำผึ้งมีน้ำตาลถึง 13.75 ช้อนชาต่อขวด ขณะที่น้ำอัดลมมีน้ำตาล 13 ช้อนชาต่อชวด ซึ่งไม่แตกต่างกันเลย ยิ่งกินทุกวันวันละ 2 ขวด ทั้งปริมาณน้ำตาลและคาเฟอีนก็จะยิ่งสูงขึ้น จึงอยากให้ข้อมูลผู้บริโภคชี้ให้เห็นว่าเรากำลังบริโภคเพื่อสุขภาพหรือทำลายสุขภาพกันแน่ และขอเตือนอย่าให้เพลินไปกับการโปรโมทสินค้าที่กระตุ้นยอดขาย เช่น การชิงโชคที่ไม่รู้ว่ากินกี่ขวดแล้วจะได้ แต่ผู้บริโภคกลับตกเป็นเหยื่อถูกชักจูงโดยทิศทางทางการตลาดโดยไม่รู้ตัว ”
นายอิฐบูรณ์ กล่าวด้วยว่า ข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับผู้บริโภคคือ ฉลากสินค้า ซึ่งในการประกาศสธ.ฉบับที่ 277 ซึ่งออกมาตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.46 ได้กำหนดให้ชาพร้อมดื่มต้องแสดงปริมาณคาเฟอีนหน่วยเป็นมิลลิกรัมต่อ 100 มก.ด้วยอักษรสีเข้มเส้นทึบขนาดความสูงไม่น้อยกว่า 2 มม. ที่อ่านได้ชัดเจนอยู่ในกรอบพื้นที่สีขาว บริเวณเดียวกับชื่ออาหารหรือชื่อสินค้า
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงพบว่า เครื่องดื่มที่มีการแสดงฉลากในตำแหน่งที่ถูกต้อง มียี่ห้อเดียวคือ ยี่ห้อซัมเมอร์ นอกจากนั้นไม่มียี่ห้อใดเลยที่แสดงตำแหน่งถูกต้อง แถมบางยี่ห้อไม่มีการแสดงปริมาณคาเฟอีนด้วย
นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลในวันนี้เพื่อต้องการแจ้งเตือนผู้บริโภคทั้งกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มเสี่ยงคือเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี สตรีมีครรภ์ให้ความระมัดระวังในการบริโภค เนื่องจาก อย. ยังไม่มีคำเตือนที่ชัดเจน
ส่วนเรื่องปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มชาเขียวก็ควรมีการพัฒนาฉลากโภชนาการ เนื่องจากปัจจุบันนี้ถือเป็นความสมัครใจของเจ้าของสินค้าที่จะแสดงหรือไม่ก็ได้ ซึ่งอย.มีอำนาจที่จะบังคับให้สินค้าแสดงปริมาณน้ำตาล เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้บริโภคได้ และสุดท้ายอยากให้ผู้ประกอบการมีคุณธรรม จริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคด้วย ทั้งนี้ จะนำข้อมูลที่ได้นี้ส่งต่อให้กับอย.ต่อไป