likhit@dhiravegin.com
สังคมไทยไม่ใช่สังคมที่อยู่แน่นิ่ง แต่เป็นสังคมที่มีความพลวัตปรับตัวตลอดเวลาตามกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภูมิภาคและในโลก ในแง่หนึ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่พยายามหมุนตามกระแสของการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ การอนุวัตน์ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่มาในยุคปัจจุบันกระแสของการเกิดเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูลได้นำไปสู่การกระจายของการเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ซึ่งสังคมไทยก็ต้องเปลี่ยนตาม กล่าวอีกนัยหนึ่ง สังคมไทยกำลังมีกระบวนการโลกานุวัตร (หมุนตามโลก) เนื่องจากแรงกดดันจากกระแสโลกาภิวัตน์ (การเปลี่ยนแปลงที่แผ่กระจายไปทั่วโลก)
ถ้าดูจากประวัติศาสตร์จะเห็นว่าสังคมไทยมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อการอยู่รอด และเพื่อการพัฒนาสังคมและความรู้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ดังคำกล่าวที่ว่าจะต้องพัฒนาให้เกิดความเจริญ “เยี่ยงนานาอารยประเทศ” แต่ในขณะเดียวกันสังคมไทยก็รักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทยในระดับหนึ่ง ความพยายามที่จะรักษาความเป็นไทยเอาไว้แม้จะถูกการท้าทายจากข้างนอกก็ตาม เป็นกระบวนการที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
ดังนั้น แม้คนไทยจะรับอารยธรรมและวัฒนธรรมจากอินเดีย จีน และตะวันตก ก็สามารถรักษาความเป็นไทยไว้ได้ กระบวนการดังกล่าวนี้คือกระบวนไทยาภิรักษ์ และขณะเดียวกันก็มีประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เป็นประเทศราชหรือหน่วยการปกครองที่อยู่นอกเขตราชธานีพยายามเลียนแบบการพัฒนาการเมืองการปกครองและวัฒนธรรมของไทย กระบวนการที่หมุนตามไทยนี้เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการไทยานุวัตร และเมื่อมีการสร้างรัฐชาติขึ้นเมื่อยุครัชกาลที่ 5 ชนเผ่าต่างๆ ในสังคมไทยต่างรับวัฒนธรรมและอารยธรรมจากนครหลวงซึ่งเป็นศูนย์กลางของประเทศสยาม จนแผ่ไปทั่วทั้งขวานทอง กระบวนการดังล่าวนั้นคือกระบวนการไทยาภิวัตน์
แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมไทยที่เป็นอยู่ขณะนี้ เป็นการผสมผสานหลายวัฒนธรรมและหลายอารยธรรม โดยอารยธรรมที่เห็นเด่นชัดที่สุดคืออารยธรรมจากอินเดียโดยผ่านศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ภาษาบาลีสันสฤกตซึ่งเป็นรากศัพท์สำคัญของภาษาระดับสูงทางวิทยาการ เช่นเดียวกับที่ยุโรปรับเอาวัฒนธรรมกรีกและโรมันมาเป็นฐาน หรือญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม รับเอาภาษาจีนมาเป็นศัพท์แสงทางวิชาการ นอกจากศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และภาษาบาลีสันสฤกตแล้ว ความคิดจากอินเดียในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองบริหาร ความเชื่อในลัทธิและพิธีกรรมต่างๆ ก็ยังมีบทบาทสำคัญในสังคมไทย เช่น คติของอินเดียที่เกี่ยวกับลัทธิเทวราชา หรือทศพิธรราชธรรม ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่สังคมไทยพยายามหมุนตามอินเดีย กระบวนการดังกล่าวนี้คือกระบวนการที่เรียกว่าภารตานุวัตร ดังจะเห็นได้ว่าชื่อนามสกุลของคนไทยเป็นภาษาบาลีสันสกฤตเสียส่วนใหญ่ พิธีกรรมหลายอย่างเช่นบายศรี การเวียนทักษิณาวรรตเป็นพิธีพราหมณ์ ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือพิธีการในวังนั้นจะประกอบด้วยพิธีทางพุทธ ทางพราหมณ์และลัทธิถือผีผสมกันไป อิทธิพลของอินเดียจึงแผ่ไปทั่วในสังคมไทย จึงกล่าวได้ว่ากระบวนการภารตานุวัตน์ได้นำไปสู่ภารตาภิวัตรในสังคมไทยในที่สุด
อารยธรรมและวัฒนธรรมอีกส่วนหนึ่งที่ไทยพยายามนำมาปรับใช้คือ อารยธรรมและวัฒนธรรมจากจีน ความคิดเรื่องความกตัญญูรู้คุณ คุณธรรมของผู้ปกครอง ฯลฯ ตามคติคำสอนของลัทธิขงจื๊อ การไหว้บรรพบุรุษ พิธีศพ การทำกงเต็ก รวมทั้งสุภาษิตสอนใจ แบบกระสวนของพฤติกรรม อาหารการกินในบางส่วน ฯลฯ เป็นวัฒนธรรมและอารยธรรมที่นำมาจากจีน กระบวนการจีนานุวัตร จึงเกิดขึ้นในสังคมไทยผสมผสานกับอารยธรรมและวัฒนธรรมจากอินเดีย และของพื้นเมือง ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมและอารยธรรมในหมู่บ้าน วัฒนธรรมจีนและการปรากฏของค่านิยมและแบบกระสวนของวัฒนธรรมจีนแผ่กระจายไปทั่วทุกท้องที่ในสังคมไทย การใช้ตะเกียบรับประทานอาหารซึ่งมีอยู่ทั่วไป อาหารเช่น ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ข้าวขาหมู บะหมี่ กวยจั๊บ ขนมเปี๊ยะ การดื่มน้ำชา พิธีศพ ฯลฯ เป็นอิทธิพลของจีนทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่ากระบวนการจีนานุวัตรได้มีส่วนทำให้เกิดการแผ่กระจายของวัฒนธรรมและอารยธรรมจีนจนนำไปสู่กระบวนการจีนาภิวัตน์ในสังคมไทย
นอกจากอารยธรรมและวัฒนธรรมอินเดียและจีนแล้ว สังคมไทยยังเปิดรับวัฒนธรรมและอารยธรรมจากตะวันตกซึ่งเข้มข้นมากขึ้นในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและยิ่งทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นอีกหลังการเปิดประตูประเทศในสนธิสัญญาเซอร์เบาริ่งในยุคล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ตามมาด้วยการปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดินซึ่งนำไปสู่การจัดการบริหารแบบตะวันตก รวมทั้งการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมาปรับใช้ ซึ่งได้แก่ ไฟฟ้า ไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ รถไฟ ในยุคล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคลัทธิล่าอาณานิคม และยุคของการแผ่ขยายอารยธรรมและวัฒนธรรมของตะวันตก การพยายามรับเอาวัฒนธรรมและอารยธรรมของตะวันตกเพื่อไม่ให้ตกยุคของล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 และ 5 มีส่วนทำให้สยามสามารถหลีกเลี่ยงการเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกได้ ในยุคอัสดงคตาภิวัตน์นี้ผู้นำไทยก็พยายามหมุนตามกระแสตะวันตก ในกระบวนการอัสดงคตานุวัตร สังคมไทยได้พยายามผสมผสานวัฒนธรรมและอารยธรรมตะวันตกให้เข้ากับวัฒนธรรมและอารยธรรมไทย อินเดียและจีน
มาในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล การไร้พรมแดนเนื่องจากการเดินทางและการไหลผ่านของพรมแดนในด้านความรู้และวิทยาการ การเกิดสมองกลและเทคโนโลยีขั้นสูงอันเป็นอารยธรรมของคลื่นลูกที่สาม คือคลื่นยุคข่าวสารข้อมูล โดยขยับจากคลื่นลูกที่หนึ่งคือสังคมเกษตร และสังคมที่สองคือสังคมอุตสาหกรรม สังคมไทยก็พยายามปรับตัวให้ทันกับภาวะการเปลี่ยนแปลงของคลื่นต่างๆ มาตลอด การปรับตัวของสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่ง
ในกระแสโลกาภิวัตน์นี้ สังคมไทยต้องพยายามหมุนตามโลกให้ทันด้วยการศึกษาและการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม ความจำเป็นที่จะมีกระบวนการโลกานุวัตร ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้ การปรับตัวขึ้นอยู่กับสองตัวแปรใหญ่คือการศึกษาและวัฒนธรรมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
กระแสโลกาภิวัตน์เป็นกระแสที่เชี่ยวกราก ประเทศที่ตามไม่ทันจะตกหลัง โลกาภิวัตน์ที่เชี่ยวกราก ต้องตามด้วยกระบวนการโลกานุวัตรที่รวดเร็ว โดยต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ตระหนักถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปการเมืองการปกครองบริหาร พัฒนาระบบเศรษฐกิจ ปรับปรุงระบบการศึกษา และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม เพื่อให้กระบวนโลกานุวัตน์สามารถเกิดขึ้นได้ในอัตราที่สามารถจะก้าวทันกับอัตราที่รวดเร็วในกระแสโลกาภิวัตน์
สังคมไทยไม่ใช่สังคมที่อยู่แน่นิ่ง แต่เป็นสังคมที่มีความพลวัตปรับตัวตลอดเวลาตามกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในภูมิภาคและในโลก ในแง่หนึ่งสังคมไทยเป็นสังคมที่พยายามหมุนตามกระแสของการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ การอนุวัตน์ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่มาในยุคปัจจุบันกระแสของการเกิดเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูลได้นำไปสู่การกระจายของการเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ซึ่งสังคมไทยก็ต้องเปลี่ยนตาม กล่าวอีกนัยหนึ่ง สังคมไทยกำลังมีกระบวนการโลกานุวัตร (หมุนตามโลก) เนื่องจากแรงกดดันจากกระแสโลกาภิวัตน์ (การเปลี่ยนแปลงที่แผ่กระจายไปทั่วโลก)
ถ้าดูจากประวัติศาสตร์จะเห็นว่าสังคมไทยมีความสามารถในการปรับตัวเพื่อการอยู่รอด และเพื่อการพัฒนาสังคมและความรู้ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ดังคำกล่าวที่ว่าจะต้องพัฒนาให้เกิดความเจริญ “เยี่ยงนานาอารยประเทศ” แต่ในขณะเดียวกันสังคมไทยก็รักษาไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของความเป็นไทยในระดับหนึ่ง ความพยายามที่จะรักษาความเป็นไทยเอาไว้แม้จะถูกการท้าทายจากข้างนอกก็ตาม เป็นกระบวนการที่มีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์
ดังนั้น แม้คนไทยจะรับอารยธรรมและวัฒนธรรมจากอินเดีย จีน และตะวันตก ก็สามารถรักษาความเป็นไทยไว้ได้ กระบวนการดังกล่าวนี้คือกระบวนไทยาภิรักษ์ และขณะเดียวกันก็มีประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เป็นประเทศราชหรือหน่วยการปกครองที่อยู่นอกเขตราชธานีพยายามเลียนแบบการพัฒนาการเมืองการปกครองและวัฒนธรรมของไทย กระบวนการที่หมุนตามไทยนี้เรียกได้ว่าเป็นกระบวนการไทยานุวัตร และเมื่อมีการสร้างรัฐชาติขึ้นเมื่อยุครัชกาลที่ 5 ชนเผ่าต่างๆ ในสังคมไทยต่างรับวัฒนธรรมและอารยธรรมจากนครหลวงซึ่งเป็นศูนย์กลางของประเทศสยาม จนแผ่ไปทั่วทั้งขวานทอง กระบวนการดังล่าวนั้นคือกระบวนการไทยาภิวัตน์
แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมไทยที่เป็นอยู่ขณะนี้ เป็นการผสมผสานหลายวัฒนธรรมและหลายอารยธรรม โดยอารยธรรมที่เห็นเด่นชัดที่สุดคืออารยธรรมจากอินเดียโดยผ่านศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ภาษาบาลีสันสฤกตซึ่งเป็นรากศัพท์สำคัญของภาษาระดับสูงทางวิทยาการ เช่นเดียวกับที่ยุโรปรับเอาวัฒนธรรมกรีกและโรมันมาเป็นฐาน หรือญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม รับเอาภาษาจีนมาเป็นศัพท์แสงทางวิชาการ นอกจากศาสนาพุทธ ศาสนาพราหมณ์ และภาษาบาลีสันสฤกตแล้ว ความคิดจากอินเดียในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองบริหาร ความเชื่อในลัทธิและพิธีกรรมต่างๆ ก็ยังมีบทบาทสำคัญในสังคมไทย เช่น คติของอินเดียที่เกี่ยวกับลัทธิเทวราชา หรือทศพิธรราชธรรม ฯลฯ ก็เป็นสิ่งที่สังคมไทยพยายามหมุนตามอินเดีย กระบวนการดังกล่าวนี้คือกระบวนการที่เรียกว่าภารตานุวัตร ดังจะเห็นได้ว่าชื่อนามสกุลของคนไทยเป็นภาษาบาลีสันสกฤตเสียส่วนใหญ่ พิธีกรรมหลายอย่างเช่นบายศรี การเวียนทักษิณาวรรตเป็นพิธีพราหมณ์ ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือพิธีการในวังนั้นจะประกอบด้วยพิธีทางพุทธ ทางพราหมณ์และลัทธิถือผีผสมกันไป อิทธิพลของอินเดียจึงแผ่ไปทั่วในสังคมไทย จึงกล่าวได้ว่ากระบวนการภารตานุวัตน์ได้นำไปสู่ภารตาภิวัตรในสังคมไทยในที่สุด
อารยธรรมและวัฒนธรรมอีกส่วนหนึ่งที่ไทยพยายามนำมาปรับใช้คือ อารยธรรมและวัฒนธรรมจากจีน ความคิดเรื่องความกตัญญูรู้คุณ คุณธรรมของผู้ปกครอง ฯลฯ ตามคติคำสอนของลัทธิขงจื๊อ การไหว้บรรพบุรุษ พิธีศพ การทำกงเต็ก รวมทั้งสุภาษิตสอนใจ แบบกระสวนของพฤติกรรม อาหารการกินในบางส่วน ฯลฯ เป็นวัฒนธรรมและอารยธรรมที่นำมาจากจีน กระบวนการจีนานุวัตร จึงเกิดขึ้นในสังคมไทยผสมผสานกับอารยธรรมและวัฒนธรรมจากอินเดีย และของพื้นเมือง ซึ่งได้แก่ วัฒนธรรมและอารยธรรมในหมู่บ้าน วัฒนธรรมจีนและการปรากฏของค่านิยมและแบบกระสวนของวัฒนธรรมจีนแผ่กระจายไปทั่วทุกท้องที่ในสังคมไทย การใช้ตะเกียบรับประทานอาหารซึ่งมีอยู่ทั่วไป อาหารเช่น ข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ข้าวขาหมู บะหมี่ กวยจั๊บ ขนมเปี๊ยะ การดื่มน้ำชา พิธีศพ ฯลฯ เป็นอิทธิพลของจีนทั้งสิ้น จึงกล่าวได้ว่ากระบวนการจีนานุวัตรได้มีส่วนทำให้เกิดการแผ่กระจายของวัฒนธรรมและอารยธรรมจีนจนนำไปสู่กระบวนการจีนาภิวัตน์ในสังคมไทย
นอกจากอารยธรรมและวัฒนธรรมอินเดียและจีนแล้ว สังคมไทยยังเปิดรับวัฒนธรรมและอารยธรรมจากตะวันตกซึ่งเข้มข้นมากขึ้นในยุคสมเด็จพระนารายณ์มหาราชและยิ่งทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นอีกหลังการเปิดประตูประเทศในสนธิสัญญาเซอร์เบาริ่งในยุคล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 ตามมาด้วยการปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดินซึ่งนำไปสู่การจัดการบริหารแบบตะวันตก รวมทั้งการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีมาปรับใช้ ซึ่งได้แก่ ไฟฟ้า ไปรษณีย์ โทรเลข โทรศัพท์ รถไฟ ในยุคล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นยุคลัทธิล่าอาณานิคม และยุคของการแผ่ขยายอารยธรรมและวัฒนธรรมของตะวันตก การพยายามรับเอาวัฒนธรรมและอารยธรรมของตะวันตกเพื่อไม่ให้ตกยุคของล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 และ 5 มีส่วนทำให้สยามสามารถหลีกเลี่ยงการเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตกได้ ในยุคอัสดงคตาภิวัตน์นี้ผู้นำไทยก็พยายามหมุนตามกระแสตะวันตก ในกระบวนการอัสดงคตานุวัตร สังคมไทยได้พยายามผสมผสานวัฒนธรรมและอารยธรรมตะวันตกให้เข้ากับวัฒนธรรมและอารยธรรมไทย อินเดียและจีน
มาในยุคปัจจุบันซึ่งเป็นยุคโลกาภิวัตน์ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีข่าวสารข้อมูล การไร้พรมแดนเนื่องจากการเดินทางและการไหลผ่านของพรมแดนในด้านความรู้และวิทยาการ การเกิดสมองกลและเทคโนโลยีขั้นสูงอันเป็นอารยธรรมของคลื่นลูกที่สาม คือคลื่นยุคข่าวสารข้อมูล โดยขยับจากคลื่นลูกที่หนึ่งคือสังคมเกษตร และสังคมที่สองคือสังคมอุตสาหกรรม สังคมไทยก็พยายามปรับตัวให้ทันกับภาวะการเปลี่ยนแปลงของคลื่นต่างๆ มาตลอด การปรับตัวของสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายยิ่ง
ในกระแสโลกาภิวัตน์นี้ สังคมไทยต้องพยายามหมุนตามโลกให้ทันด้วยการศึกษาและการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม ความจำเป็นที่จะมีกระบวนการโลกานุวัตร ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้ การปรับตัวขึ้นอยู่กับสองตัวแปรใหญ่คือการศึกษาและวัฒนธรรมตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
กระแสโลกาภิวัตน์เป็นกระแสที่เชี่ยวกราก ประเทศที่ตามไม่ทันจะตกหลัง โลกาภิวัตน์ที่เชี่ยวกราก ต้องตามด้วยกระบวนการโลกานุวัตรที่รวดเร็ว โดยต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ตระหนักถึงความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลง ปฏิรูปการเมืองการปกครองบริหาร พัฒนาระบบเศรษฐกิจ ปรับปรุงระบบการศึกษา และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรม เพื่อให้กระบวนโลกานุวัตน์สามารถเกิดขึ้นได้ในอัตราที่สามารถจะก้าวทันกับอัตราที่รวดเร็วในกระแสโลกาภิวัตน์