xs
xsm
sm
md
lg

อริยสัจการเมืองจีน (24)ต่อยอด "ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ"

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

การต่อยอด "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์ของพรรคเหนือทุนไทย (ซึ่งขอให้ชื่อไว้เป็นเบื้องต้น 3 ชื่อ สำหรับให้ท่านผู้อ่านเลือกดูว่า ควรใช้ชื่อใดจึงจะเหมาะสมกับสภาวะเป็นจริงของประเทศไทย และเป็นที่ยอมรับของคนไทย ได้แก่ 1. พรรคสามัคคีประชาชนไทย 2. พรรคสามัคคีประชาชนพัฒนา และ 3. พรรคประชาชนสามัคคีพัฒนา) โดยนัยก็คือ ถือเอาการปฏิบัติเป็นตัวนำเสมอ หากมิใช่เริ่มจากตำรา และการปฏิบัติก็มิใช่เริ่มจากความต้องการส่วนตัว หรือของคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด หากแต่เริ่มจากความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและของประชาชนชาวไทย ในบริบทของแนวโน้มที่สังคมไทยและสังคมโลกกำลังก้าวเดินไป

อีกนัยหนึ่ง ดำเนินการปฏิบัติบนพื้นฐานความเป็นจริงของสังคมโลกและสังคมไทย บนพื้นฐานความเรียกร้องต้องการของประเทศไทยและประชาชนชาวไทย

เมื่อจะปฏิบัติก็ต้องทำความเข้าใจในสภาวะเป็นจริงของสังคมโลกและสังคมไทย ทำความเข้าใจในความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย

นั่นคือ เราจะต้องเริ่มจากความเป็นจริงของสังคมโลกและสังคมไทย เริ่มจากความเรียกร้องต้องการที่เป็นจริงของประเทศชาติและประชาชนชาวไทย

เมื่อทุกฝ่ายมองเห็น "ร่วมกัน" จึงกำหนดขึ้นเป็นแนวคิดทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติต่อไป

ด้วยเหตุนี้ "ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ" จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พรรคเหนือทุนไทยจะต้อง "ต่อยอด" ให้ดี

ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ ต้องมาจากการปฏิบัติของตนเอง

เมื่อพูดถึง "ทฤษฎี" เป็นการง่ายที่เราจะทึกทักว่ามันต้องมีอยู่ในหนังสือ ข้อเขียน หรือตำรา จึงมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า เมื่อ "ค้นพบ" ข้อทฤษฎีในตำราแล้ว ก็หมายความว่าเราได้ "คำตอบ" จะสามารถแก้ไขปัญหาของเราได้อย่างเป็นจริงแล้ว

ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่

บทนิพนธ์ของคาร์ล มาร์กซ์ เฟเดริก เองเกลส์ วี.ไอ.เลนิน เหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง เป็นต้น เป็นสิ่งที่ชาวพรรคเหนือทุนไทยต้องศึกษา แต่จุดใหญ่ใจความต้องเป็นการศึกษาเพื่อซึมซับเอา "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" ของบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ว่าในแต่ละห้วงเหตุการณ์ ท่านเหล่านั้นมองปัญหาอย่างไร ทำการสรุปอย่างไร จึงได้หลักการหรือทฤษฎีสำคัญๆ เหล่านั้น

รวมทั้งศึกษาดูให้กระจ่างว่า ท่านเหล่านั้นได้ดำเนินการปฏิบัติตามแนวคิดทฤษฎีเหล่านั้นอย่างไร และได้มีการพัฒนาแนวคิดทฤษฎีชี้นำในขั้นต่อมาอย่างไร

ยิ่งกว่านั้น ยังต้องจำแนกแยกแยะให้ได้เป็นเบื้องต้นว่า ข้อสรุปเชิงหลักการและทฤษฎีของท่านเหล่านั้น เป็น "คำตอบ" สำหรับการเคลื่อนไหวปฏิบัติในสถานการณ์และเงื่อนไขที่มีความเฉพาะเจาะจง หรือ "คำตอบ" สำหรับการเคลื่อนไหวในสถานการณ์และเงื่อนไขทั่วไป อย่างไร หรือไม่ และหากเมื่อเราจะนำมาปรับใช้ในการเคลื่อนไหวปฏิบัติของตนเอง สมควรจะต้องปรับให้เข้ากับสภาวะเป็นจริงของตัวเรา ในด้านไหน อย่างไรบ้าง

นั่นคือ ศึกษาเรียนรู้วิธีการหรือ "ท่วงทำนอง" ที่ถูกต้อง ในการ "ใช้" ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ และเรียนรู้ที่จะพัฒนาแนวคิดทฤษฎีขึ้นมาชี้นำการปฏิบัติของตนเอง อย่างเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง

ทั้งหมดก็เพื่อให้เราเองสามารถพึ่งตนเองได้ในทางความคิดทฤษฎี เข้มแข็งเติบใหญ่ทางความคิดทฤษฎีในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติ

อีกนัยหนึ่ง พรรคเหนือทุนไทย จะต้องเป็นพรรคปฏิบัติในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในบริบทของสังคมโลกที่เชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน

มีแต่ต้องปฏิบัติจึงจะมีทฤษฎี และเมื่อมีทฤษฎีแล้ว การปฏิบัติจึงจะมีทิศทาง สามารถพิสูจน์ตนเองต่อหน้ามวลชนได้

ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า "ทฤษฎี" สำหรับชี้นำการปฏิบัติจริงๆ แล้ว ก็คือแนวคิดทฤษฎีที่ก่อรูปขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของเราเองเป็นสำคัญ

ทฤษฎีชี้นำการปฏิวัติรัสเซีย ไม่มีในงานเขียนของคาร์ล มาร์กซ์ หรือเฟเดริก เองเกลส์ แต่มีในงานเขียนของวลาดิเมียร์ เลนิน
ทฤษฎีชี้นำการปฏิวัติจีน ไม่มีในงานเขียนของ คาร์ล มาร์กซ์ หรือ เฟเดริก เองเกลส์ หรือ วลาดีเมียร์ เลนิน แต่มีในงานเขียนของเหมาเจ๋อตง

ทฤษฎีชี้นำการพัฒนาประเทศจีนให้สังคมนิยมทันสมัย มั่งคั่ง ปรองดอง และอยู่ดีกินดีอย่างรอบด้าน มิใช่คัดมาจากตำราของบรรดาปรมาจารย์เหล่านั้น แต่เป็นข้อสรุปจากการเคลื่อนไหวปฏิบัติของประชาชนจีนภายหลังสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน บนฐานของการใช้ "จุดยืน ทัศนะ วิธีการ" แบบมาร์กซิสม์ ที่เติ้งเสี่ยวผิง และคณะผู้นำพรรคจีนรุ่นต่อๆ มาเป็นผู้นำเสนอสู่สังคมจีน

กลายเป็นทฤษฎีชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติของคนจีนทั้งประเทศ ดำเนินการปฏิรูปและเปิดกว้างอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อบรรลุสู่จุดมุ่งหมายอันยาวไกลร่วมกัน นั่นคือการฟื้นคืนสู่ความรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งครั้งใหญ่ของประชาชาติจีน ภายในกลางศตวรรษที่ 21 นี้

สรุปคือ ทฤษฎีที่สามารถชี้นำการปฏิบัติได้จริง จะต้องมา "หลัง" การปฏิบัติ แล้วจึง "นำ" การปฏิบัติ ซึ่งเมื่อผ่านการเคลื่อนไหวปฏิบัติตามแนวคิดทฤษฎีนั้นๆ แล้ว ก็จะนำไปสู่การรับรู้ใหม่ๆในปัญหาใหม่ๆ ที่ลึกซึ้งลงไปอีก ใกล้ชิด "สัจธรรม" ยิ่งขึ้นไปอีก สามารถให้คำตอบต่อปัญหาใหม่ๆ ที่สลับซับซ้อนยิ่งขึ้นได้ดีกว่า ซึ่งเมื่อผ่านกระบวนการพัฒนาหรือ "นวัตกรรม" ทางปัญญาอีกครั้งหนึ่ง ก็จะกลายแนวคิดทฤษฎีชุดใหม่ สามารถชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติในระยะใหม่ๆ อีกต่อไป เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อย่างเป็นพลวัตและอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ทฤษฎีที่เป็นหนึ่งเดียวกับการปฏิบัติ เช่นนี้ จึงเป็นทฤษฎีที่มีชีวิตชีวา มีการพัฒนาหรือ "นวัตกรรม"ใหม่ๆ เสมอ ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติ

ตรงกันข้าม "ทฤษฎี" ที่เลื่อนลอย (ลอยจากตำราหรือจากหัวคิดของคนบางคน ประเภท "คิดเร็ว คิดง่าย") ไม่เชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวปฏิบัติ ก็จะไร้ชีวิตชีวา แห้งๆ เหี่ยวๆ เป็นเพียง "ของเล่น" ของนักเล่นทฤษฎี (หรือนักประชาสัมพันธ์) นำไปตีฝีปากโต้คารมกันพอให้ "สนุกๆ มันๆ" ไปวันๆ เท่านั้นเอง (คนพวกนี้บางทีก็สวมเสื้อ "ลัทธิมาร์กซ์" แสดงตนเป็นนักทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์ นำทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์ไป "เล่น" อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน)

ทฤษฎีชี้นำของพรรคเหนือทุนไทย

จึงชัดเจนยิ่งนักว่า ทฤษฎีชี้นำของพรรคเหนือทุนไทย จะไม่ใช่มาจากตำราเล่มใดเล่มหนึ่งของปรมาจารย์เหล่านั้น (ขณะที่สมควรต้องศึกษาให้แตกฉานในทฤษฎีแม่บท ซึมซับเอาประกายปัญญาอันคมกริบ และจิตใจอันสูงส่งของท่านเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้) แต่จะต้องเป็นทฤษฎีที่พัฒนาขึ้นมาจากการรับรู้ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติที่เป็นจริงของตนเอง

ทฤษฎีที่ว่า จึงจะสามารถทำหน้าที่ชี้นำการปฏิบัติได้ การเคลื่อนไหวปฏิบัติจึงจะพัฒนาก้าวหน้าไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง

โดยภาพรวมก็คือ ทฤษฎีที่มาจากการเคลื่อนไหวปฏิบัติของเราเอง จึงจะสามารถให้ "คำตอบ" และแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในระหว่างการเคลื่อนไหวปฏิบัติได้อย่างเป็นจริง บรรลุภารกิจพัฒนาสร้างสรรค์สังคมไทยให้เจริญรุดหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดีมีสุขถ้วนหน้า ได้เป็นขั้นๆ

ในขณะที่ทฤษฎีแม่บทของบรรดาปรมาจารย์ในแต่ละยุคสมัย เป็นดุจ "ประภาคาร" ส่องทางให้แก่การเดินทางของประชาชนผู้ต้องการการปลดปล่อยตนเอง พัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน ซึ่งจะบอกสอน "วิชา" หลักๆ ให้แก่เราเท่านั้นเอง (เช่น เรื่อง "สถานะของพรรคเหนือทุน"-- กองหน้าชนชั้นผู้ใช้แรงงาน แกนนำสามัคคีพลังรักชาติรักประชาธิปไตย แกนนำสามัคคีประชาชนพัฒนา --) เพื่อให้เรานำเอา "หลักวิชา" เหล่านั้น มาประยุกต์ใช้ในการสร้างพรรค ขยายพรรค และการเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจบริหารประเทศ ซึ่งล้วนแต่ต้องคำนึงถึงสภาวะเป็นจริงทางด้านต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศในห้วงเวลานั้นๆ ทั้งสิ้น

นั่นคือ แม้แต่ "หลักวิชา" ของปรมาจารย์ ก็จำเป็นต้องนำมาปรับให้เข้ากับสภาวะเป็นจริงของเราเอง

"ทฤษฎี" ก็คือ องค์ความรู้ที่สะท้อน "สัจธรรม"

ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของพรรคเหนือทุนไทย ในสาระก็คือองค์ความรู้ที่สะท้อน "สัจธรรม" หรือความจริงในระดับ "กฎเกณฑ์" ของการขับเคลื่อนของสิ่ง เช่น การขับเคลื่อนของสังคมไทย

ณ วันนี้ สภาวะสังคมไทยในบริบทของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์กำลังต้องการ "แกนนำ" สามัคคีประชาชนไทยก้าวฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาทุกทิศทาง เพราะลำพังพรรคการเมืองกลุ่มทุนไม่อาจแบกรับภารกิจอันหนักหน่วงทางประวัติศาสตร์นี้ได้

ณ วันนี้ ประชาชนชาวไทยได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า สิ่งที่พรรคกลุ่มทุนคิดและทำ มักจะวนเวียนอยู่กับการปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนที่พอกพูนยิ่งๆ ขึ้นเป็นอันดับแรก ยิ่งอยู่ (เป็นรัฐบาล) นานก็ยิ่งทำให้ความมั่งคั่งของพวกเขาพอกพูน ตรงกันข้ามกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย ทรัพยากรของประเทศ และสภาพแวดล้อมโดยรวมของสังคมไทย คุณธรรมและจิตใจของประชาชนไทย กลับมีแต่เสื่อมถอย ตกต่ำ ต้องกลายเป็นสิ่ง "สังเวย" หรือ "แลกเปลี่ยน" กับความมั่งคั่งของกลุ่มทุนเหล่านั้น

ทั้งนี้เพราะพรรคการเมืองกลุ่มทุนตั้งฐานของตนไว้ที่ "ผลประโยชน์" เฉพาะตนเป็นหลัก จากนั้นจึงไปพิจารณาปัญหาของประเทศชาติและประชาชน ย่อมจะไม่อาจเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของประเทศชาติและประชาชน ไม่อาจเข้าถึง "สัจธรรม" หรือ "กฎเกณฑ์" พัฒนาการของสังคมไทยและสังคมโลกโดยรวม ขาดซึ่งวิสัยทัศน์ยาวไกล และขาดจิตใจที่กว้างใหญ่ ขาดความเมตตา กรุณา

สำหรับพวกเขาแล้ว การ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" ไม่ใช่เรื่องสำคัญชนิดคอขาดบาดตายเท่ากับการ "แสวงหาและใช้โอกาส" ของการเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ สร้างเสริมและขยายฐานธุรกิจ เพื่อความยิ่งใหญ่ของเครือข่ายกิจการของตน
ตรงกันข้ามพรรคเหนือทุน ในฐานะพรรคตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน มีพันธะและหน้าที่ต้อง "หาสัจจะจากความเป็น" เพื่อจะได้กำหนดแนวทางนโยบายที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์การขับเคลื่อนของสังคม

เช่น ในช่วงที่ประเทศและประชาชนต้องการพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนขึ้นมาบริหารประเทศ ก็ต้องเร่งขยายการจัดตั้ง สามัคคีประชาชนทุกหมู่เหล่า สร้างเครือข่ายพลังประชาชน ดำเนินกิจกรรมทางการผลิตและทางการเมือง ช่วยเหลือตนเองพัฒนาตนเองให้เข้มแข็ง

พรรคเหนือทุนไทยจะต้องเป็นพรรคการเมืองที่ทรงประสิทธิภาพ มีวิสัยทัศน์ยาวไกล อุดมการณ์สูงส่ง จิตใจกว้างขวาง เปี่ยมด้วยความเมตตา กรุณา สามารถนำเสนอนโยบายที่สนองตอบต่อความต้องการของประชาชนทั้งระยะสั้นและระยะยาว สามารถระดมกำลังทุกฝ่ายเข้าร่วมในการรณรงค์ทางการเมือง ช่วงชิงอำนาจบริหารมาอยู่ในมือตน แล้วดำเนินการบริหารประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนอย่างถึงที่สุด

ในขณะที่ยังไม่ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศ ก็แสดงตนเป็น "พรรคทางเลือก" ที่ประชาชนคาดหวังได้

เมื่อได้ขึ้นเป็นรัฐบาล ก็ทำตนเป็น "พรรคบริหารประเทศ" ที่ประชาชนไว้วางใจได้
กำลังโหลดความคิดเห็น