คำ penguin มาจากคำในภาษาสเปนว่า penguinos ซึ่งแปลว่า สัตว์ที่มีไขมันในร่างกายมาก ในอดีตเมื่อ 60 ล้านปีมาแล้ว บรรพสัตว์ของเพนกวินอาศัยอยู่ทั่วทุกหนแห่งบนโลก แต่ในสมัยปัจจุบัน เราพบเห็นเพนกวินเฉพาะในบริเวณริมทวีปแอนตาร์กติกา หมู่เกาะ Galapagos และอเมริกาใต้เท่านั้น ในปี พ.ศ. 2534 H. Cosquer ชาวฝรั่งเศส ขณะดำน้ำเข้าไปในถ้ำใกล้ทะเลชายฝั่งนอกเมือง Marseilles เมื่อโผล่พ้นน้ำในถ้ำ ได้เห็นภาพวาดรูปนกที่บริเวณเพดานถ้ำว่านกเหล่านั้น มีลักษณะคล้ายเพนกวินมาก ภาพวาดจึงแสดงให้เห็นว่า ในอดีตเมื่อ 25,000 ปีก่อนนี้ เพนกวินเคยอาศัยอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมีตัวสูงถึง 1.5 เมตร อีกทั้งหนักประมาณ 50 กิโลกรัม แต่เพนกวินปัจจุบันเช่น (Emperor penquin) เพนกวินจักรพรรดิสูงเพียง 1.2 เมตร และหนักเพียง 40 กิโลกรัมเท่านั้นเอง โดยทั่วไปเพนกวินมีความสามารถในการว่ายน้ำได้ดีพอๆ กับแมวน้ำ ปีกที่แข็งแรงของมันช่วยให้มันลิงโลดกระโดดคลื่นได้ดีพอๆ กับปลาโลมา มันใช้ปีกว่ายน้ำและใช้ขาต่างหางเสือ เวลาอยู่บนน้ำแข็งมันใช้ปีกต่างไม้เท้าประคองตัว และใช้ท้องไถลตัวไปบนก้อนน้ำแข็ง
เพนกวินชอบอาหารซีฟูด เช่น กุ้ง ปลาหมึก และปลาชนิดต่างๆ เมื่อถึงหน้าหนาวซึ่งเป็นยามอาหารขาดแคลน มันสามารถอดอาหารได้นานเป็นเดือน สังคมของเพนกวินคล้ายสังคมคนคือ มีการสมรส ต่อสู้ หย่าร้าง และสนุกสนาน เพราะเพนกวินตัวผู้และตัวเมียมีรูปร่างที่คล้ายกันมาก ดังนั้น เพนกวินจึงตกหลุมรักเพศเดียวกันบ่อย แต่เมื่อมันได้คู่สร้างคู่สมแล้ว จะทำหน้าที่พ่อและแม่ได้ดี เช่น เมื่อตัวเมียวางไข่แล้วมันจะไม่ฟักไข่ แต่จะเดินลงทะเลว่ายน้ำหนีหายไปให้ตัวผู้นั่งฟักไข่แทน ซึ่งตัวผู้ก็จะทำหน้าที่อย่างดุษณีภาพ โดยเอาไข่ซุกที่ใต้ท้องระหว่างขาทั้งสองข้าง แล้วยืนฟักไข่ในอิริยาบถนั้นนาน 60 วัน โดยไม่กินอาหารหรือเล่นน้ำเลย ทั้งนี้เพราะเพนกวินมีไขมันในตัวมาก ดังนั้น ท้องของมันจะให้ความอบอุ่นแก่ไข่ได้ดีจนลูกเพนกวินฟักเป็นตัว แล้วเพนกวินตัวผู้ก็จะเดินลงทะเลหาอาหาร ทิ้งให้แม่เพนกวินดูแลแทนบ้าง เพนกวินเป็นสัตว์ที่รักลูกมาก ดังนั้น เวลาลูกนกขาดพ่อและแม่ดูแล (ชั่วคราว) นกเพนกวินตัวอื่นๆ ที่มิใช่พ่อแม่จริงจะกรูเข้ารุมเลี้ยง จนบางครั้งลูกนกสำลักความรักตาย และเมื่อลูกนกเพนกวินมีอายุได้ 7 สัปดาห์ พ่อและแม่จะทิ้งลูกให้เผชิญโลกตามลำพัง จนบางครั้งลูกนกเจอมัจจุราช เช่น นก skua ซึ่งจะบินโฉบจับลูกนกไปกินทั้งเป็น
เพนกวินเป็นนกที่ไม่ฉลาดนัก ดังจะเห็นได้จากกรณีที่เพนกวินตัวผู้บางครั้งยืนฟักก้อนหิน เพราะนึกว่าเป็นไข่จริง
ในสมัยโบราณ เวลานักผจญภัยเดินทางถึงทวีปแอนตาร์กติกา เขามักนิยมนำเนื้อเพนกวินมาทำอาหารโดยการปิ้ง ย่าง ทำสตูหรือซุป และนำไข่มาปรุงอาหารต่างไข่ไก่ เมื่อ Sir Francis Drake เดินทางรอบโลก ท่านได้บันทึกว่าเหล่ากะลาสีเรือขณะเดินทางผ่านช่องแคบ Magellan ได้ล่าเพนกวินถึง 3,000 ตัว เพื่อบริโภคเนื้อเป็นอาหาร และใช้ไขมันต่างน้ำมันเชื้อเพลิง
นักชีววิทยาปัจจุบันสนใจศึกษาเพนกวินมาก เพราะมันเป็นนกที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ยาก ดังนั้น เวลาสภาวะมหาสมุทรแอนตาร์กติกาเปลี่ยนแปลงจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ชีวิตเพนกวินจะถูกกระทบกระเทือนทันที ด้วยเหตุนี้ข้อมูลสุขภาพของเพนกวิน จึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสถานภาพของมหาสมุทรแอนตาร์กติกา
ในปี พ.ศ. 2539 B.R. Wouston แห่งมหาวิทยาลัย Old Dominion ที่เมือง Norfolk ในรัฐ Virginia ของสหรัฐอเมริกา ได้ใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กติดที่ปีกของเพนกวิน 300 ตัว เพื่อให้อุปกรณ์รายงานข้อมูลวิธีหาอาหาร ว่ายน้ำ นอน กิน หายใจ และสืบพันธุ์ของเพนกวินตลอด 24 ชั่วโมง การสำรวจครั้งนั้นได้ทำให้เขารู้ว่า เพนกวินวัยรุ่นบางตัวเดินทางหาอาหารไกลจากขั้วโลกใต้ถึง 2,845 กิโลเมตร ณ วันนี้นักชีววิทยาได้สำรวจตรวจพบว่า เพนกวินมี 17 ชนิด เช่น ชนิดจักรพรรดิที่ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่หนาวจัดที่สุดในโลก ส่วนเพนกวินที่อาศัยอยู่บนเกาะ Galapagos นั้น มีขนาดสูงเท่าเข่า แต่เพราะถิ่นสถานที่อยู่ของมันอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร ดังนั้น ในบางครั้งเราจึงเห็นเพนกวินพันธุ์นี้หอบเหมือนสุนัข ทั้งนี้ก็เพื่อระบายความร้อนออกจากตัวนั่นเอง ส่วนเพนกวินพันธุ์ Macaroni ที่สืบพันธุ์ในแอนตาร์กติกา และอเมริกาใต้นั้นจะชอบอาศัยอยู่ในถ้ำ หรือขุดโพรงอยู่
Bernard A. Stonehouse นักปักษีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Cambridge ในประเทศอังกฤษ เป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องการศึกษาวิวัฒนาการของเพนกวิน เขาจึงได้ศึกษาฟอสซิล และ DNA ของนกชนิดนี้ และก็ได้พบว่า การเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศในยุคน้ำแข็งได้ทำรหัสพันธุกรรม (genome) ของเพนกวินเปลี่ยนแปลงด้วย
เมื่อประมาณ 100 ปีก่อนนี้ นักปักษีวิทยาส่วนใหญ่เชื่อว่า เพราะเพนกวินเป็นนกที่บินไม่ได้ ดังนั้นบรรพสัตว์ของเพนกวินคงได้เแยกตัวจากบรรพสัตว์ของนกทั่วไปเป็นเวลานมนานแล้ว และนั่นก็หมายความว่า เพนกวินตัวแรกของโลกเกิดก่อนนกดึกดำบรรพ์ Archaeopteryx ซึ่งเป็นบรรพสัตว์ของนกปัจจุบัน
แต่เมื่อถึงวันนี้ นักปักษีวิทยาเชื่อใหม่ว่า เพนกวินตัวแรกอุบัติบนโลกเมื่อประมาณ 80 ล้านปีก่อนนี้ และ Archaeopteryx ก็เป็นต้นตระกูลของเพนกวินด้วย นอกจากนี้ญาตินกที่ใกล้ชิดเพนกวินที่สุดคือ albatross ซึ่งเป็นนกที่ชอบบินถลาลมหา ปลาในทะเลมีปีกที่ยาวมาก
การขุดพบฟอสซิลของเพนกวินในปี 2402 ซึ่งมีลักษณะคล้ายฟอสซิลของนก albatross ทำให้นักปักษีวิทยาปักใจมากว่า เพนกวินและ albatross มีต้นตระกูลร่วมกัน และเมื่อประมาณ 30 ปีก่อนนี้ การศึกษา antibody ในเลือดและ DNA ของเพนกวิน และ albatross ก็ได้ยืนยันมั่นเหมาะว่า นกสองชนิดนี้เป็นญาติที่ใกล้ชิดกัน
การรู้ข้อมูลเช่นนี้ทำให้นักชีววิทยาสามารถรู้เส้นทางการวิวัฒนาการของเพนกวินได้ดี และเมื่อนักชีววิทยาได้ศึกษาลักษณะของจะงอยปาก สี ขน ของมัน และลูกมันรวมทั้งพฤติกรรมการฟักไข่ และจำนวนไข่ที่ออกในแต่ละครั้ง เขาก็รู้ว่านกเพนกวินขนาดเล็ก (Eudyptula) ที่ชอบอาศัยอยู่ตามบริเวณฝั่งของนิวซีแลนด์ แทสเมเนีย และออสเตรเลียกับเพนกวินบนเกาะ Galapagos และเกาะ Magellan ก็เป็นญาติที่ใกล้ชิดกันด้วย
การศึกษาฟอสซิลของเพนกวินทำให้นักชีววิทยาพบอีกว่า เพนกวินประมาณ 40 ชนิดได้สูญพันธุ์ไปจากโลกแล้ว และเพนกวินในสมัยดึกดำบรรพ์มีปีกที่มีขนาดเล็กกว่าเพนกวินปัจจุบัน การอาศัยอยู่ในทะเล และการมีกระดูกที่แข็งแรงทำให้กระดูกของเพนกวินที่ตายเป็นฟอสซิลที่ดี และกระดูกเหล่านี้ชี้บอกว่า เพนกวินตัวแรกของโลกอุบัติที่นิวซีแลนด์ และได้แพร่พันธุ์จากที่นั่น เมื่อ 58-60 ล้านปีมาแล้ว
อนึ่ง การขุดพบฟอสซิลของเพนกวินที่ Tierra del Fuego ซึ่งอยู่ทางใต้ของทวีปอเมริกาใต้ ยังแสดงให้เห็นอีกว่า ดินแดนดังกล่าวเคยเป็นสถานที่อาศัยของเพนกวิน เมื่อ 37-40 ล้านปีก่อนนี้ และเพนกวินพันธุ์นี้มีขนาดเล็กกว่าเพนกวินจักรพรรดิเล็กน้อย
แต่การพบฟอสซิลก็ใช่ว่าจะตอบคำถามเท่านั้น มันยังสร้างปัญหาให้นักชีววิทยาอีกว่า ถ้าเพนกวินแพร่พันธุ์จากทวีปแอนตาร์กติกาขึ้นทางเหนือจริงแล้วเหตุไฉนมันจึงไม่ได้แพร่พันธุ์ถึงขั้วโลกเหนือเล่า ในการตอบปัญหานี้ James L. Goedert แห่งมหาวิทยาลัย Washington ที่ Seattle ในสหรัฐอเมริกาได้อธิบายว่า เพราะในทะเลโลกซีกเหนือมีสิงโตทะเล และสัตว์ที่เป็นศัตรูของเพนกวินมากมาย ดังนั้น เพนกวินจึงไม่มีโอกาสแพร่พันธุ์ในภูมิภาคของโลกส่วนนี้ได้เลยครับ
สุทัศน์ ยกส้าน ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสถาน