xs
xsm
sm
md
lg

บทบาทกระทรวงวัฒนธรรมกับพระมาลาทองคำ

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

ข่าวคราวทางด้านการบ้านการเมืองก็ “เรียบร้อยโรงเรียนจันทร์ส่องหล้า” ไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โฉมหน้าคณะรัฐมนตรี “ทักษิณ 2/1” ออกมาเป็นอย่างไร คงจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ถึงเนื่องด้วยมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย ทั้งในหมู่ประชาชนทั่วไปและสื่อสารมวลชนทุกแขนง อย่างไรก็ตามจะมีคนเก่าคนใหม่หรือ “เหล้าเก่าในขวดใหม่” อย่างไร “ผิดหวัง-สมหวัง” เพียงไหนก็ “นานาจิตตัง” แต่ที่แน่ๆ คือกลุ่มทุน หัวหน้าก๊กก๊วนคนใกล้ชิดเหนียวแน่นได้ดิบได้ดีหมด

ว่าไปแล้วผู้นำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นที่จะเป็นผู้บริหารชาติบ้านเมืองกำหนดไปในทิศทางใดได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้น ใครจะมาใครจะไปไม่สำคัญเท่ากับนายกรัฐมนตรี ทักษิณ และ “วงใน” ที่จะนำพา “นาวาประเทศไทย” ไปข้างหน้าได้เจริญรุดหน้าอย่างไร คงต้องให้เวลารัฐบาลเดินหน้าเต็มสูบเสียก่อนแล้วค่อยมาว่ากันโอกาสหน้า

สัปดาห์นี้ “แสงแดด” ตั้งใจอย่างมากที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ถึง “พระมาลาทองคำ” ที่ถูกนำไปแสดงในงานศิลปวัตถุโบราณ ณ พิพิธภัณฑ์ ASIAN ART MUSEUM เมืองซานฟรานซิสโก มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จนเป็นที่ฮือฮาอย่างมากไปทั่วโลกว่า อาจจะเป็นทรัพย์สมบัติของชาติไทยสมัยอยุธยาถูกลักลอบนำออกไปจากประเทศไทย

กรณีข่าวทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าของชาติที่ถูกลักลอบออกนอกประเทศนั้นมีให้พบอยู่บ่อยครั้งและทุกครั้งก็มักพิสูจนได้ว่าเกิดจาก “การขโมย-ลักลอบ” และนำไปขายต่อชาวไทยหรือไม่ก็ชาวต่างชาติ แล้วในที่สุดก็ลักลอบออกนอกประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะตกเป็นสมบัติของบริษัทประมูลระดับโลกที่ซื้อขายกันหลักร้อยล้านบาทกันเลยทีเดียว

ทั้งนี้ทรัพย์สมบัติทางประวัติศาสตร์อันล้ำค่าของไทยนั้นมีกระจัดกระจายอยู่อย่างดาษดื่น ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะที่ต่างประเทศนั้นมีอยู่ไปทั่วโลก และมักอยู่ในบ้านของมหาเศรษฐี ส่วนตามพิพิธภัณฑ์นั้นก็พอมีอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก


เจ้าหน้าที่ระดับสูงเชี่ยวชาญโบราณคดีของกรมศิลปากรให้ข้อมูลว่าเมื่อประมาณ 50 กว่าปีที่ผ่านมา ได้มีการลักลอบและค้าโบราณวัตถุของเก่ามาโดยตลอด แต่ของเก่าจริงๆ นั้น ออกไปนอกประเทศแล้วยังมีจำนวนน้อยมาก ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในบ้านผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองไทยนี่เอง แต่อย่างไรก็ตาม “ขบวนการลักลอบขุด” ปัจจุบันไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถทำได้โดยง่าย หรือแม้กระทั่ง “ขบวนการลักลอบขาย” ยังมีอยู่อย่างมาก โดยเฉพาะต่อชาวต่างชาติที่ให้ราคาสูงกว่าขายคนไทยด้วยกันเอง

หลังจากประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ เคยพิสูจน์ได้ว่า “ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์” ที่ได้ถูกไปนำแสดงที่พิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลยุคนั้นเพียรพยายามพิสูจน์ เจรจา อยู่นานหลายปี จนในที่สุด เราก็ขอคืนทรัพย์สมบัติกลับมาได้ และหลังจากนั้นข่าวคราวทรัพย์สมบัติของชาติที่ไปโผล่แสดงที่พิพิธภัณฑ์ไหนไม่มีอีกเลย จนล่าสุด “พระมาลาทองคำ” ที่เชื่อว่าลักลอบขุดมาจากกรุ “วัดราชบูรณะ” ตกเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อทางพิพิธภัณฑ์แห่งเมืองฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ นำมาแสดงที่นครซานฟรานซิสโก

ทรัพย์สมบัติอันล้ำค่า “พระมาลาทองคำ” จากการสันนิษฐานและศึกษาน่าเชื่อว่ามาจาก “กรุพระประวัติ วัดราชบูรณะ” ที่วัดราชบูรณะสร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1967 ซึ่งเก่าแก่ยาวนานถึงเกือบ 600 ปี ในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยในยุคนั้น กรมศิลปากรพบว่า พระปรางค์ดังกล่าวได้ถูกทำเป็นกรุหรือห้องเก็บสมบัติลงไปในใต้ดินลึกถึงสามชั้นโดย “เจ้าสามพระยา” หรือ “สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2” ทรงนำเครื่องทองอันงดงามประณีตมาบรรจุไว้ แล้วสร้างพระปรางค์ทับอีกทีหนึ่งเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าภายหลังได้มีการลักลอบขโมยขุดนำออกมา “แปรสภาพ” หรือไม่ก็ “ขาย” ไปเป็นจำนวนมาก

หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงคือ “กระทรวงวัฒนธรรม” ที่เร่งดำเนินการทันทีเมื่อข่าว “พระมาลาทองคำ” ถูกเปิดเผยออกมา โดยมีการสั่งดำเนินการประสานงานกับกระทรวงต่างประเทศทันที เพื่อขอเจรจาติดตามทวงคืนในชั้นต้น แต่ภายในกระทรวงวัฒนธรรมเอง โดย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ ได้ให้กรมศิลปากรศึกษาประวัติความเป็นมาพร้อมหาหลักฐานต่างๆ เพื่อพิสูจน์ว่า “พระมาลาทองคำ” นั้นเป็นของชาติไทย

ได้มีการตั้งคณะทำงาน 3 ชุด คือ หนึ่งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าพระมาลาทองคำเป็นของไทยหรือไม่ สอง คณะกรรมการด้านกฎหมาย เพื่อดูเรื่องกรรมสิทธิ์ทางกฎหมาย และสาม คณะทำงานเพื่อเตรียมการหารือกับต่างประเทศในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาข้อมูลหลักฐานให้ชัดเจนเพื่อพิสูจน์ว่า “พระมาลาทองคำ” เป็นสมบัติของประเทศไทย

กระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจังมาโดยตลอดตั้งแต่เกิดกรณีนี้ขึ้นมา ไม่ว่ารัฐมนตรีอนุรักษ์ จุรีมาศ (ในช่วงรัฐบาลทักษิณก่อนครบสมัยที่แล้ว) ท่านปลัดกระทรวงวัฒนธรรม คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และข้าราชการระดับสูงของกรมศิลปากร ได้จัดให้มีการประชุมเพื่อพิสูจน์ให้ได้ว่าพระมาลาทองคำเป็นทรัพย์สมบัติ โดยล่าสุดคณะกรรมการชุดพิสูจน์ฯ พบว่า เครื่องประดับพระมาลาทองคำนั้นเป็นของประเทศไทยและมีความสำคัญแน่นอน แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่ามาจากกรุวัดราชบูรณะจริงหรือไม่ เนื่องด้วยการตรวจสอบและวิเคราะห์แล้วผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาจมีมาตั้งแต่สมัยเชียงแสน สุโขทัยจนมาถึงสมัยอยุธยาก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือเป็นทรัพย์สมบัติของไทยแน่นอน

ประเด็นปัญหาสำคัญขณะนี้ที่น่าเป็นห่วงในการพิสูจน์ว่าเป็นของประเทศไทยนั้น คือ การขาดหลักฐานทางภาพถ่ายพิสูจน์หรืออ้างอิงได้ว่าเป็นศิลปวัฒนธรรมและมีความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ วิถีชีวิต ที่บ่งบอกถึงศิลปะของประเทศไทยในแต่ละยุคแต่ละสมัย ตลอดจนการใช้เกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ส่วนผสมวิธีของการผลิต พร้อมกันนั้นจะต้องดูถึงการเดินทางของวัตถุถึงที่มาที่ไปด้วยว่าเป็นอย่างไร ด้วยวิธีผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย ถ้าถูกกฎหมายโดยชอบธรรม ก็คงไม่ยากที่ประเทศไทยจะขอคืนโดยอาศัยสภานานาชาติว่าด้วย พิพิธภัณฑ์ ช่วยเป็นตัวกลางในการเจรจาแต่ไม่สำคัญเท่ากับ “การรณรงค์เรียกร้องจากประชาชน!”

“แสงแดด” เชื่อว่าสถานการณ์ทวงคืน “พระมาลาทองคำ” คงต้องใช้เวลาอีกยาวนานพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นกรณีทาง การพิสูจน์หลักฐาน ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ กระบวนการทางกฎหมาย ตลอดจนการเจรจาต่อรองไม่ว่า “ทวงคืน-ซื้อคืน” ทั้งนี้ รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและกระทรวงการต่างประเทศใหม่ถอดด้ามจะต้องรับช่วงดำเนินการต่ออย่างจริงจัง แต่ที่สำคัญที่สุดกรณี “พระมาลาทองคำ” นี้ว่าไปแล้วต้องระดับ “รัฐบาล” ที่ต้องเอาจริงเอาจังนำเกียรติยศและศักดิ์ศรีของประเทศชาติกลับมาให้จงได้

จากข้อมูลล่าสุดที่ “แสงแดด” สดับตรับฟังมานั้น ข้าราชการระดับสูงพร้อมเจ้าหน้าที่ภายใน กระทรวงวัฒนธรรม เอาจริงเอาจังอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการศึกษาค้นคว้าหาพิสูจน์หลักฐานเพื่อยืนยันตลอดจนประสานงานกับสมาคมชาวไทยในประเทศสหรัฐอเมริกาให้ระดมรณรงค์ “กดดัน!” ในการพิสูจน์และนำกลับคืนมาให้จงได้ ซึ่งนับว่าเป็น นิมิตหมายที่ดีที่ กระทรวงวัฒนธรรมได้มีโอกาสพิสูจน์ความสำคัญในบทบาทภาระหน้าที่ของกระทรวงอย่างจริงจัง

ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว เป็นโอกาสที่สำคัญมากที่เกิดเหตุการณ์ “พระมาลาทองคำ” ขึ้น เพื่อให้กระทรวงวัฒนธรรมได้พิสูจน์ความสำคัญและแสดงศักยภาพของกระทรวงในการปฏิบัติงานเชิงรูปธรรมกับ “กระบวนการทวงคืนทรัพย์สมบัติล้ำค่า” ของชาติกลับมา พร้อมกันนั้น ยังแสดงให้สังคมไทยเห็นด้วยว่า จริงๆ แล้ว “วัฒนธรรมชาติ” เป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างมากที่คนไทยต้อง “หวงแหน-อนุรักษ์” พร้อมทั้ง “ทำนุบำรุง” ให้ยั่งยืนชั่วลูกชั่วหลาน

วัฒนธรรมเป็นเรื่องของประวัติศาสตร์ ที่จะต้องประคบประหงม สืบทอดให้ชั่วลูกชั่วหลานให้เยาวชนและคนไทยรุ่นใหม่ ตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรมไทยที่มิใช่เพียงขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามเท่านั้น แต่รวมไปถึงศิลปวัฒนธรรมทางวัตถุโบราณที่สืบทอดกันมานับร้อยๆ ปี

ในต่างประเทศคำว่า “วัฒนธรรม” หรือ “CULTURE” รัฐบาลและประชาชนในชาติของเขาจะให้ความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการอนุรักษ์ ทำนุบำรุง ตลอดจนการแสดงออกด้วยกิริยามารยาท การแต่งกาย โดยจะมีหน่วยงานระดับ “กระทรวง” ที่คอยบริหารดูแลจัดการอย่างใกล้ชิด ถ้าเราได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวต่างประเทศที่พัฒนาแล้วจะสังเกตเห็นได้ว่าสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ก็ดี พิพิธภัณฑ์ก็ดีจะดูโดดเด่น สง่างาม และบำรุงรักษาไว้ในสภาพเดิมนับหลายร้อยปี

กระทรวงวัฒนธรรมน่าจะขอบคุณเหตุการณ์ “พระมาลาทองคำ” ในครั้งนี้ที่มาจุดประกายให้กระทรวงสว่างไสวมีบทบาทเปล่งปลั่งมากกว่าเดิม จนถึงขนาดว่ามีแนวคิดจะ “ยุบรวม” กระทรวงนี้ให้ไปอยู่ร่วมกับกระทรวงอื่น ทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นเอกเทศได้เพียงสองปีนิดๆ เท่านั้น

“แสงแดด” ขอชี้แนะว่า กระทรวงวัฒนธรรมมีความสำคัญกับ “ความเป็นชาติ” โดยที่ต้องเป็นกระทรวงสำคัญที่รัฐบาล และ/หรือ นายกรัฐมนตรีต้องให้ความสำคัญพร้อมทั้งผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงจะต้องแสดงศักยภาพและวิสัยทัศน์ในการให้ประชาชนสนใจและเข้าใจวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้งเพื่ออยู่คู่กับสังคมไทยดังประวัติศาสตร์ไทยที่อยู่มานมนานอย่างยั่งยืน!

กำลังโหลดความคิดเห็น