พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาเอกของโลก ทรงตรัสว่า วิวาทํ ภยโต ทิสฺวา อวิวาทญฺจ เขมโก สมตฺตา สขิลา โหถ เอลา พุทฺธานุสาสนี ความว่า ท่านทั้งหลายเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย และเห็นความไม่วิวาทโดยความเป็นธรรมอันเกษม แล้วจงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน มีความประนีประนอมกันเถิด นี้เป็นพุทธานุสาสนี และพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งว่า สพฺเพสํ สงฺฆ ภูตานํ สามคฺคี วุฑฺฒิสาธิกา ความพร้อมเพรียงของปวงชนผู้เป็นหมู่ ยังความเจริญให้สำเร็จ
ความขัดแย้งของประชาชนภายในชาติกำลังเพิ่มทวีมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้อัญเชิญพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เรื่อง “รู้รักสามัคคีธรรม” นำมาขยายความให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างรอบด้านถึงองค์เอกภาพ
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อันเป็นสถานการณ์ใหม่ภายใต้รัฐบาลทักษิณ 2/1 ที่มาจากวิธีการประชาธิปไตย (เลือกตั้ง) อันได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานหรือสภาพการณ์แห่งความเป็นจริง คือระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา ถ้ารัฐบาลได้ล่วงรู้สภาพการณ์ที่แท้จริงแล้วดำเนินการแก้ไขระบอบการเมืองให้ถูกต้องโดยธรรม ก็จะเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่หลวง ฉันทามติที่รัฐบาลได้รับจากประชาชน จนสามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียว มีศักยภาพที่จะทำได้ และตรงตามนโยบายรัฐบาล (4 ปีสร้าง) และผลสำเร็จของการสร้างระบอบการเมืองให้เป็นธรรม หรือธรรมาธิปไตย ระบอบการเมืองหรือกติกาทางการเมืองที่เป็นธรรมจะแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้สำเร็จ และเป็นปัจจัยให้หัวหน้ารัฐบาลเป็นรัฐบุรุษแห่งชาติ
ศึกษาตัวอย่างความขัดแย้งที่มีขึ้นระหว่าง พระมหาบัว ญาณสัมปันโน หรือพระธรรมวิสุทธิมงคล กับรัฐบาล และได้ทำหนังสือถวายฎีกาต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า...ได้รับความเดือดร้อนระส่ำระสาย อันเกิดจากความร่วมมือกันระหว่างสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศฯ และนายวิษณุ เครืองาม...ตามที่ได้เป็นข่าวไปแล้วนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า การไม่ชองมาพากลอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองอะไร? รัฐบาลเป็นผลของระบอบนี้ ถ้า หลวงตามหาบัว จะคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุ อันเป็นปัจจัยที่ทำให้หลวงตาไม่พอใจ และการที่หลวงตาเป็น ภิกษุสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้แล้ว ต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง คือไม่ยึดติดสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง อยู่เหนือทั้งนรกและสวรรค์คือพระนิพพาน อันเป็นทางสายกลางที่สมบูรณ์ที่สุด และพ้นจากโลกธรรม 8 อย่างสิ้นเชิง ก็จะไม่ดำเนินการใดๆ ให้เป็นคู่ขัดแย้ง ผู้เขียนเองก็เห็นความไม่ชอบมาพากลของระบอบการเมืองปัจจุบัน อันเป็นเหตุแห่งความอยุติธรรม เป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงในแผ่นดิน แต่ไม่เคยกล่าวโทษบุคคล เพียงแนะนำชี้ทาง และให้ปัญญาเสมอมา หลวงตามหาบัวดำเนินการเป็นคู่ขัดแย้งและเป็นการกล่าวโทษบุคคล ก็จะตกเป็นเครื่องมือให้ผู้ที่ต้องการจะเพิ่มปริมาณความขัดแย้งภายในชาติให้มากขึ้น จะด้วยเพราะระบอบการเมืองปัจจุบันอันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง หรือจะด้วยต่างชาติที่จ้องจะทำลายให้ระส่ำเพื่อเอาเปรียบและครอบงำ ผู้ที่เดินเกมอยู่เบื้องหลังเขาก็จะหัวเราะเอาได้ว่าภิกษุผู้ประกาศตนเป็นอิสระแล้ว ยังตกเป็นเครื่องมือของเขาเลย ภิกษุมีปัญญาเท่านี้หรือ ก็เขียนมาด้วยความห่วงใย อย่าตกเป็นเครื่องมือของระบอบนี้ เมื่ออยู่ในการเมืองระบอบปัจจุบัน จะตกเป็นแนวร่วมทางอ้อมให้กับแนวทางรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ถ้าหลวงตาจะดำเนินการ ที่ไม่ชอบมาพากลก็สามารถทำได้ แต่ต้องดำเนินการเป็นทางลับหรือเป็นการภายในไม่ใช่นำฎีกามาแจกจ่ายให้เป็นข่าวก่อน แล้วนำไปถวายในหลวง ลักษณะที่หลวงตาทำไปแล้วเขาเรียกว่าเป็นวิธีการทางการเมือง และตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงขอย้ำว่า พระสงฆ์ต้องอยู่เหนือการเมือง หรืออยู่เหนือคู่ขัดแย้ง และที่สำคัญคือไม่ตกเป็นคู่ขัดแย้ง
จากการทดสอบออกแบบสอบถามผลปรากฏว่าประชาชนไทยอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อถูกถามว่า “ท่านทราบไหมว่า อุดมการณ์ของชาติคืออะไร?” เป็นจำนวนมากที่เราชาวไทยตอบไม่ได้ และที่น่าเป็นห่วงก็คือนักการเมืองไทยทุกระดับแทบจะตอบไม่ได้ว่าอะไรคืออุดมการณ์ชาติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงเป็นผู้ตั้งอุดมการณ์แห่งชาติ คือ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” พสกนิกรต่างยกย่องพระองค์ว่า ทรงเป็นพระบิดาแห่งชาตินิยม ทรงปลูกฝังความไม่ประมาทและความรักชาติตามอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปัจจุบันรัฐบาลละเลยต่อการประชาสัมพันธ์และการปลูกฝังอุดมการณ์แห่งชาติอย่างลึกซึ้งต่อประชาชน
ในสภาพการณ์ของโลกและประเทศไทยในปัจจุบันทวีความขัดแย้งขึ้นเรื่อยๆ ผู้เขียนมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงคิดว่าการนำเสนอเรื่อง สามัคคีธรรม ที่ประยุกต์มาจากสภาวธรรมหรือกฎธรรมชาติเพื่อเป็นความรู้ ความเข้าใจในเชิงปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันต่ออุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างรอบด้าน อย่างเป็นเอกภาพ ก่อให้เกิดความเข้มแข็ง ความไม่ประมาท และมีความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน
สามัคคีธรรมหรือความเป็นเอกภาพ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านสองด้าน ได้แก่ ด้านความแตกต่างหลากหลายกับด้านที่เป็นหลักหรือด้านที่เป็นศูนย์กลางหรือด้านที่เป็นเอกภาพ ต่อปัญหานี้เราพิจารณาได้อย่างไร จะนำท่านได้ร่วมศึกษาพิจารณาไปพร้อมๆ กัน
1. กฎธรรมชาติ หรือสภาวธรรมที่ดำรงอยู่ก่อนแล้ว สมดังที่ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ธัมโม หเว ปาตุวโหสิ ปุพเพ” กฎธรรมชาติดำรงอยู่อย่างเป็นเอกภาพและดุลยภาพเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ปรุงแต่ง (สังขตธรรม) ได้แก่ สิ่งมีชีวิต (พืชและสัตว์) และสิ่งไม่มีชีวิต (วัตถุ, ธาตุต่างๆ) กับสภาวะพ้นการปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) หรือบรมธรรม
จะเห็นได้ว่าพืชมีความแตกต่างหลากหลาย สัตว์ก็มีความแตกต่างหลากหลาย สิ่งไม่มีชีวิต เช่น อิฐ หิน ดิน ทราย เป็นต้น หรือสภาวธาตุต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม อันเป็นฝ่ายรูปธรรม และด้านนามธรรมได้แก่ อากาศธาตุและวิญญาณธาตุ ก็มีความแตกต่างหลากหลาย
ธรรมชาติจึงดำรงอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเอกภาพและดุลยภาพบนความสัมพันธ์ระหว่างอสังขตธรรมหรือบรมธรรม กับด้านสังขตธรรมอันเป็นสิ่งปรุงแต่งที่มีความแตกต่างหลากหลาย บรมธรรม หรือธรรมาธิปไตย จึงเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง
2. ขันธ์ 5 หรือเบญจขันธ์ ได้แก่ ชีวิต หรือเรียกว่ารูปกับนาม หรือกายกับจิต การพิจารณาขันธ์ 5 นี้ เป็นการศึกษาที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ การศึกษาอย่างละเอียดให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง มันเป็นจริงโดยที่ไม่มีความคิดหรือความเห็นของเราเข้าไปปรุงแต่งหรือเกี่ยวข้อง มันเป็นจริงของมันอย่างนั้น จะรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงก็ด้วยวิธีการที่เรียกว่า “วิปัสสนา” เป็นวิธีการอันเป็นลักษณะเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
วิปัสสนา ความหมายตามตัวศัพท์ “วิ” แปลว่า ทำให้แจ้งชัด “ปัสสนา” แปลว่า เห็น ในที่นี้มีปัญญาเห็นด้วยใจ เห็นชัดเหมือนเห็นด้วยตา ฉะนั้นการวิปัสสนา คือปฏิบัติให้เห็นแจ้งชัด ด้วยการจดจ้อง เฝ้ามอง เพ่ง อย่างมีสติ จนเห็น สภาวธรรม นับแต่ร่างกายหรือรูปพิจารณาเห็นว่ามันเป็น สภาวธาตุ มาประชุมกัน มันตกอยู่ใต้ กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ความไม่เป็นตัวตนหรือไม่ใช่ตัวตน)
อีกด้านหนึ่งคือนาม ได้แก่ เวทนา (ความรู้สึกยินดี ไม่ยินดี หรือเฉยๆ) สัญญา (ความจำได้หมายรู้ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์) สังขาร (ความคิดปรุงแต่งที่เป็นอกุศล หรือกุศล) วิญญาณ (ความรู้แจ้งในอารมณ์ ได้แก่ รู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้ธรรมารมณ์)
รูป 1 นาม 4 รวมเป็น 5 เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามุ่งประเด็นไปที่ “สามัคคีธรรม” เราจะเห็นได้ว่า รูป, กาย นั้นมีความแตกต่างหลากหลายอย่างน้อยก็ได้แก่ ธาตุ 4 ทางด้านนาม ได้แก่ นาม 4 ก็เป็นความแตกต่างหลากหลาย หรือบางทีเราเรียกว่า “จิต” แต่ในที่นี้เป็นจิตปรุงแต่งเรียกว่า “จิตสังขาร” หรือสังขารจิต ย่อมเป็นจิตที่ปรุงแต่งทั้ง อกุศล กลัว, โลภ, โกรธ, หลง ก็มีความแตกต่างหลากหลาย นับแต่ทำลายตนเองไปจนถึงทำลายผู้อื่นถึงระดับโลกตามตัวอย่างที่มีให้เห็นกันในปัจจุบันนี้ ส่วนด้าน กุศล ก็นับแต่ทำกุศล (ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดทางเพศ, ไม่พูดโกหก, ไม่พูดส่อเสียด, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดเพ้อเจ้อ, ไม่โลภอยากได้ของเขา, ไม่พยาบาทคิดปองร้าย, เห็นถูกต้องตามคลองธรรม เป็นต้น) ให้เกิดแก่ตนเองและเพื่อชาวโลกก็เป็นความแตกต่างหลากหลาย
เมื่อใดที่เรามี ปัญญา รู้แจ้งตามความเป็นจริงอันเป็นผลจากการ “วิปัสสนา” ว่า สังขารทั้งปวง (ทั้งรูปธรรมและนามธรรม) นั้นไม่เที่ยง มันร้อยเรียงแปรปรวนทุกขณะ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา แจ้งจริงจึงหน่ายในสังขาร (ทั้งปวง) ละอุปาทานได้เสียสิ้น จิตสิ้นราคิน (กิเลส) จึงวางเฉย แจ้งจริงแล้วเอย สัมพันธ์ (ผัสสะ) อิสระจากสังขารทั้งปวง
เมื่อรู้แจ้งก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 และสังขารหรือสิ่งปรุงแต่งทั้งปวง ก็จะเป็นปัจจัยให้พบ สภาวะนิพพาน หรือ นิโรธธาตุ อันเป็น สภาวะอิสระ พ้นการปรุงแต่ง พ้นจากกฎไตรลักษณ์สู่สภาวะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีมิติ ไม่มีนิมิตใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นสภาวะที่มีอยู่ เป็นสภาวะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสภาวะ บรมธรรม หรือธรรมาธิปไตย
เราจะเห็นได้ว่า “ผลจากการวิปัสสนา” ทำให้เราได้ความรู้แจ้งตามความเป็นจริงของกฎธรรมชาติที่มีมาแต่เดิมอันเป็นสัจธรรมนอกตัวเรา หรือ สัจธรรมภาววิสัย (Objective truth) เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับขันธ์ 5 หรือเรียกว่า สัจธรรมอัตวิสัย (Subjective truth) เมื่อเกิดปัญญารู้แจ้งอย่างแท้จริงแล้ว จะรู้ว่าทั้ง สัจธรรมภาววิสัยและอัตวิสัยเป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นเพียงสักว่าธาตุ หรือสภาวธรรมเท่านั้นที่กำลังเป็นไป ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา สัจธรรมทั้งสองด้านล้วนดำรงอยู่บนพื้นฐานบนความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพกับด้านความแตกต่างหลากหลาย หรือสังขตธรรม (นิพพาน) กับสังขตธรรม (ขันธ์ 5) หรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอสังขตธาตุกับสังขตธาตุ
(ติดตามอ่านตอนที่ 2 ต่อไป)
ความขัดแย้งของประชาชนภายในชาติกำลังเพิ่มทวีมากขึ้นเรื่อยๆ จึงได้อัญเชิญพระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 เรื่อง “รู้รักสามัคคีธรรม” นำมาขยายความให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างรอบด้านถึงองค์เอกภาพ
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อันเป็นสถานการณ์ใหม่ภายใต้รัฐบาลทักษิณ 2/1 ที่มาจากวิธีการประชาธิปไตย (เลือกตั้ง) อันได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานหรือสภาพการณ์แห่งความเป็นจริง คือระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา ถ้ารัฐบาลได้ล่วงรู้สภาพการณ์ที่แท้จริงแล้วดำเนินการแก้ไขระบอบการเมืองให้ถูกต้องโดยธรรม ก็จะเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างใหญ่หลวง ฉันทามติที่รัฐบาลได้รับจากประชาชน จนสามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียว มีศักยภาพที่จะทำได้ และตรงตามนโยบายรัฐบาล (4 ปีสร้าง) และผลสำเร็จของการสร้างระบอบการเมืองให้เป็นธรรม หรือธรรมาธิปไตย ระบอบการเมืองหรือกติกาทางการเมืองที่เป็นธรรมจะแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้สำเร็จ และเป็นปัจจัยให้หัวหน้ารัฐบาลเป็นรัฐบุรุษแห่งชาติ
ศึกษาตัวอย่างความขัดแย้งที่มีขึ้นระหว่าง พระมหาบัว ญาณสัมปันโน หรือพระธรรมวิสุทธิมงคล กับรัฐบาล และได้ทำหนังสือถวายฎีกาต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า...ได้รับความเดือดร้อนระส่ำระสาย อันเกิดจากความร่วมมือกันระหว่างสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศฯ และนายวิษณุ เครืองาม...ตามที่ได้เป็นข่าวไปแล้วนั้น ผู้เขียนมีความเห็นว่า การไม่ชองมาพากลอยู่ภายใต้ระบอบการเมืองอะไร? รัฐบาลเป็นผลของระบอบนี้ ถ้า หลวงตามหาบัว จะคิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็ต้องสืบสาวไปหาเหตุ อันเป็นปัจจัยที่ทำให้หลวงตาไม่พอใจ และการที่หลวงตาเป็น ภิกษุสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแท้แล้ว ต้องอยู่เหนือความขัดแย้ง คือไม่ยึดติดสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง อยู่เหนือทั้งนรกและสวรรค์คือพระนิพพาน อันเป็นทางสายกลางที่สมบูรณ์ที่สุด และพ้นจากโลกธรรม 8 อย่างสิ้นเชิง ก็จะไม่ดำเนินการใดๆ ให้เป็นคู่ขัดแย้ง ผู้เขียนเองก็เห็นความไม่ชอบมาพากลของระบอบการเมืองปัจจุบัน อันเป็นเหตุแห่งความอยุติธรรม เป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงในแผ่นดิน แต่ไม่เคยกล่าวโทษบุคคล เพียงแนะนำชี้ทาง และให้ปัญญาเสมอมา หลวงตามหาบัวดำเนินการเป็นคู่ขัดแย้งและเป็นการกล่าวโทษบุคคล ก็จะตกเป็นเครื่องมือให้ผู้ที่ต้องการจะเพิ่มปริมาณความขัดแย้งภายในชาติให้มากขึ้น จะด้วยเพราะระบอบการเมืองปัจจุบันอันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง หรือจะด้วยต่างชาติที่จ้องจะทำลายให้ระส่ำเพื่อเอาเปรียบและครอบงำ ผู้ที่เดินเกมอยู่เบื้องหลังเขาก็จะหัวเราะเอาได้ว่าภิกษุผู้ประกาศตนเป็นอิสระแล้ว ยังตกเป็นเครื่องมือของเขาเลย ภิกษุมีปัญญาเท่านี้หรือ ก็เขียนมาด้วยความห่วงใย อย่าตกเป็นเครื่องมือของระบอบนี้ เมื่ออยู่ในการเมืองระบอบปัจจุบัน จะตกเป็นแนวร่วมทางอ้อมให้กับแนวทางรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ถ้าหลวงตาจะดำเนินการ ที่ไม่ชอบมาพากลก็สามารถทำได้ แต่ต้องดำเนินการเป็นทางลับหรือเป็นการภายในไม่ใช่นำฎีกามาแจกจ่ายให้เป็นข่าวก่อน แล้วนำไปถวายในหลวง ลักษณะที่หลวงตาทำไปแล้วเขาเรียกว่าเป็นวิธีการทางการเมือง และตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงขอย้ำว่า พระสงฆ์ต้องอยู่เหนือการเมือง หรืออยู่เหนือคู่ขัดแย้ง และที่สำคัญคือไม่ตกเป็นคู่ขัดแย้ง
จากการทดสอบออกแบบสอบถามผลปรากฏว่าประชาชนไทยอีกเป็นจำนวนมาก เมื่อถูกถามว่า “ท่านทราบไหมว่า อุดมการณ์ของชาติคืออะไร?” เป็นจำนวนมากที่เราชาวไทยตอบไม่ได้ และที่น่าเป็นห่วงก็คือนักการเมืองไทยทุกระดับแทบจะตอบไม่ได้ว่าอะไรคืออุดมการณ์ชาติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 พระองค์ทรงเป็นผู้ตั้งอุดมการณ์แห่งชาติ คือ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” พสกนิกรต่างยกย่องพระองค์ว่า ทรงเป็นพระบิดาแห่งชาตินิยม ทรงปลูกฝังความไม่ประมาทและความรักชาติตามอุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ปัจจุบันรัฐบาลละเลยต่อการประชาสัมพันธ์และการปลูกฝังอุดมการณ์แห่งชาติอย่างลึกซึ้งต่อประชาชน
ในสภาพการณ์ของโลกและประเทศไทยในปัจจุบันทวีความขัดแย้งขึ้นเรื่อยๆ ผู้เขียนมีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงคิดว่าการนำเสนอเรื่อง สามัคคีธรรม ที่ประยุกต์มาจากสภาวธรรมหรือกฎธรรมชาติเพื่อเป็นความรู้ ความเข้าใจในเชิงปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันต่ออุดมการณ์ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อย่างรอบด้าน อย่างเป็นเอกภาพ ก่อให้เกิดความเข้มแข็ง ความไม่ประมาท และมีความมั่นคงแห่งชาติอย่างยั่งยืน
สามัคคีธรรมหรือความเป็นเอกภาพ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านสองด้าน ได้แก่ ด้านความแตกต่างหลากหลายกับด้านที่เป็นหลักหรือด้านที่เป็นศูนย์กลางหรือด้านที่เป็นเอกภาพ ต่อปัญหานี้เราพิจารณาได้อย่างไร จะนำท่านได้ร่วมศึกษาพิจารณาไปพร้อมๆ กัน
1. กฎธรรมชาติ หรือสภาวธรรมที่ดำรงอยู่ก่อนแล้ว สมดังที่ พระพุทธองค์ตรัสว่า “ธัมโม หเว ปาตุวโหสิ ปุพเพ” กฎธรรมชาติดำรงอยู่อย่างเป็นเอกภาพและดุลยภาพเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่ปรุงแต่ง (สังขตธรรม) ได้แก่ สิ่งมีชีวิต (พืชและสัตว์) และสิ่งไม่มีชีวิต (วัตถุ, ธาตุต่างๆ) กับสภาวะพ้นการปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) หรือบรมธรรม
จะเห็นได้ว่าพืชมีความแตกต่างหลากหลาย สัตว์ก็มีความแตกต่างหลากหลาย สิ่งไม่มีชีวิต เช่น อิฐ หิน ดิน ทราย เป็นต้น หรือสภาวธาตุต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม อันเป็นฝ่ายรูปธรรม และด้านนามธรรมได้แก่ อากาศธาตุและวิญญาณธาตุ ก็มีความแตกต่างหลากหลาย
ธรรมชาติจึงดำรงอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเอกภาพและดุลยภาพบนความสัมพันธ์ระหว่างอสังขตธรรมหรือบรมธรรม กับด้านสังขตธรรมอันเป็นสิ่งปรุงแต่งที่มีความแตกต่างหลากหลาย บรมธรรม หรือธรรมาธิปไตย จึงเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง
2. ขันธ์ 5 หรือเบญจขันธ์ ได้แก่ ชีวิต หรือเรียกว่ารูปกับนาม หรือกายกับจิต การพิจารณาขันธ์ 5 นี้ เป็นการศึกษาที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ การศึกษาอย่างละเอียดให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง มันเป็นจริงโดยที่ไม่มีความคิดหรือความเห็นของเราเข้าไปปรุงแต่งหรือเกี่ยวข้อง มันเป็นจริงของมันอย่างนั้น จะรู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงก็ด้วยวิธีการที่เรียกว่า “วิปัสสนา” เป็นวิธีการอันเป็นลักษณะเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
วิปัสสนา ความหมายตามตัวศัพท์ “วิ” แปลว่า ทำให้แจ้งชัด “ปัสสนา” แปลว่า เห็น ในที่นี้มีปัญญาเห็นด้วยใจ เห็นชัดเหมือนเห็นด้วยตา ฉะนั้นการวิปัสสนา คือปฏิบัติให้เห็นแจ้งชัด ด้วยการจดจ้อง เฝ้ามอง เพ่ง อย่างมีสติ จนเห็น สภาวธรรม นับแต่ร่างกายหรือรูปพิจารณาเห็นว่ามันเป็น สภาวธาตุ มาประชุมกัน มันตกอยู่ใต้ กฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์) อนัตตา (ความไม่เป็นตัวตนหรือไม่ใช่ตัวตน)
อีกด้านหนึ่งคือนาม ได้แก่ เวทนา (ความรู้สึกยินดี ไม่ยินดี หรือเฉยๆ) สัญญา (ความจำได้หมายรู้ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์) สังขาร (ความคิดปรุงแต่งที่เป็นอกุศล หรือกุศล) วิญญาณ (ความรู้แจ้งในอารมณ์ ได้แก่ รู้รูป รู้เสียง รู้กลิ่น รู้รส รู้สัมผัส รู้ธรรมารมณ์)
รูป 1 นาม 4 รวมเป็น 5 เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เรามุ่งประเด็นไปที่ “สามัคคีธรรม” เราจะเห็นได้ว่า รูป, กาย นั้นมีความแตกต่างหลากหลายอย่างน้อยก็ได้แก่ ธาตุ 4 ทางด้านนาม ได้แก่ นาม 4 ก็เป็นความแตกต่างหลากหลาย หรือบางทีเราเรียกว่า “จิต” แต่ในที่นี้เป็นจิตปรุงแต่งเรียกว่า “จิตสังขาร” หรือสังขารจิต ย่อมเป็นจิตที่ปรุงแต่งทั้ง อกุศล กลัว, โลภ, โกรธ, หลง ก็มีความแตกต่างหลากหลาย นับแต่ทำลายตนเองไปจนถึงทำลายผู้อื่นถึงระดับโลกตามตัวอย่างที่มีให้เห็นกันในปัจจุบันนี้ ส่วนด้าน กุศล ก็นับแต่ทำกุศล (ไม่ฆ่าสัตว์, ไม่ลักทรัพย์, ไม่ประพฤติผิดทางเพศ, ไม่พูดโกหก, ไม่พูดส่อเสียด, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดเพ้อเจ้อ, ไม่โลภอยากได้ของเขา, ไม่พยาบาทคิดปองร้าย, เห็นถูกต้องตามคลองธรรม เป็นต้น) ให้เกิดแก่ตนเองและเพื่อชาวโลกก็เป็นความแตกต่างหลากหลาย
เมื่อใดที่เรามี ปัญญา รู้แจ้งตามความเป็นจริงอันเป็นผลจากการ “วิปัสสนา” ว่า สังขารทั้งปวง (ทั้งรูปธรรมและนามธรรม) นั้นไม่เที่ยง มันร้อยเรียงแปรปรวนทุกขณะ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมะทั้งปวงเป็นอนัตตา แจ้งจริงจึงหน่ายในสังขาร (ทั้งปวง) ละอุปาทานได้เสียสิ้น จิตสิ้นราคิน (กิเลส) จึงวางเฉย แจ้งจริงแล้วเอย สัมพันธ์ (ผัสสะ) อิสระจากสังขารทั้งปวง
เมื่อรู้แจ้งก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 และสังขารหรือสิ่งปรุงแต่งทั้งปวง ก็จะเป็นปัจจัยให้พบ สภาวะนิพพาน หรือ นิโรธธาตุ อันเป็น สภาวะอิสระ พ้นการปรุงแต่ง พ้นจากกฎไตรลักษณ์สู่สภาวะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่มีมิติ ไม่มีนิมิตใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นสภาวะที่มีอยู่ เป็นสภาวะที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสภาวะ บรมธรรม หรือธรรมาธิปไตย
เราจะเห็นได้ว่า “ผลจากการวิปัสสนา” ทำให้เราได้ความรู้แจ้งตามความเป็นจริงของกฎธรรมชาติที่มีมาแต่เดิมอันเป็นสัจธรรมนอกตัวเรา หรือ สัจธรรมภาววิสัย (Objective truth) เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับขันธ์ 5 หรือเรียกว่า สัจธรรมอัตวิสัย (Subjective truth) เมื่อเกิดปัญญารู้แจ้งอย่างแท้จริงแล้ว จะรู้ว่าทั้ง สัจธรรมภาววิสัยและอัตวิสัยเป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นเพียงสักว่าธาตุ หรือสภาวธรรมเท่านั้นที่กำลังเป็นไป ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา สัจธรรมทั้งสองด้านล้วนดำรงอยู่บนพื้นฐานบนความสัมพันธ์ระหว่างด้านเอกภาพกับด้านความแตกต่างหลากหลาย หรือสังขตธรรม (นิพพาน) กับสังขตธรรม (ขันธ์ 5) หรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างอสังขตธาตุกับสังขตธาตุ
(ติดตามอ่านตอนที่ 2 ต่อไป)