“ทนายสมชาย” หาย 1 ปียังไม่คืบ สภาทนายความบ่น เจอไอ้โม่ง หลอกจนหัวปั่น เตรียมออกแถลงการณ์ตระตุ้นต่อมจริยธรรม “ทักษิณ” ระบุทนายที่ช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ถูกคุกคาม ถูกขึ้นบัญชีดำเป็นนักค้ายาเสพติด เพื่อสะดวกในการอุ้ม “พงศ์เทพ” อ้างรัฐบาลทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่พบตัว ครป.จี้ สางคนในทำเนียบฯสั่งอุ้ม เผย 20 ปีแก้แค้นไม่สาย รอฟังเจ้าของเบอร์โทร.ทำเนียบ หมดอำนาจเจอเล่นงานแน่
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความกล่าวถึงความคืบหน้า ในการสืบสวนการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมซึ่งจะครบ 1 ปี ในวันที่ 12 มี.ค.ว่า ทางสภาทนายความได้เปิดรับข้อมูลและร่องรอยของ นายสมชาย จากทุกภาคส่วนของสังคม แต่ที่ผ่านมามีเพียงข้อมูลจากทนายความสมาชิกเท่านั้นที่เชื่อถือได้ เพราะที่ผ่านมามีบุคคลกลุ่มหนึ่งพยายามทำให้การสืบหาหลักฐานของ สภาทนายความผิดทิศทางมาโดยตลอด บางครั้งส่งข้อมูลเท็จมาให้ บางครั้งก็โทรศัพท์มาที่โทรศัพท์ส่วนตัวของตนแล้วแจ้งข้อมูลให้ทราบ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า ข้อมูลที่บุคคลนั้นแจ้งเข้ามาไม่เป็นความจริง จึงส่งผลให้การสืบหาล่าช้า
ส่วนเรื่องการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 5 คนที่ต้องคดีลักพาตัวทนายสมชายนั้น นายเดชอุดม กล่าวว่า ขณะนี้มีการฟ้องร้องผู้ต้องหาเพียงแค่ข้อหาลักทรัพย์และทำให้ผู้อื่นสูญเสียอิสระภาพเท่านั้นแต่ยังมิได้มีการฟ้องร้องในข้อหาฆ่าคนตาย เพราะพยานที่เห็นเหตุการณ์ก็ยืนยันได้ว่าพบผู้ต้องหาอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถยืนยันได้ว่า พบเห็น นายสมชายถูกพาตัวไปที่ไหน จึงทำให้ความหวังที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะผู้ต้องหาทั้ง 5 คนไม่รับสารภาพและซัดทอดไปถึงตัวผู้บงการ ดังนั้นความหวังดียวที่เหลืออยู่ในขณะนี้ คือต้องหวังให้ผู้ต้องหาคนใดคนหนึ่งสารภาพในชั้นศาลและซัดทอดไปยังตัวผู้บงการ เพราะตามธรรมชาติของผู้ต้องหาทั่วไปมักจะปฏิเสธในชั้นสอบสวนแต่จะไปรับสารภาพในชั้นศาล
นายเดชอุดมกล่าวต่อว่าในวันที่ 11 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ทางสภาทนายความ จะออกแถลงการณ์ที่สภาทนายความและจะส่งตัวแทนมายื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาล ให้เร่งการสวบสวนเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดและตามหาตัวนายสมชายโดยด่วน เพราะเวลาล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้วแต่ยังไม่มีเรื่องใดมีความคืบหน้า
นายสัก กอแสงเรือง ส.ว.กทม. ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญ ติดตามตรวจสอบการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิม กล่าว ว่า หลังจากนายสมชาย หายตัวไปมี ทนายความที่ว่าความให้กับชาวบ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกคุกคามและถูกใส่ร้ายว่าไปช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ให้พ้นโทษมากมาย มีวิธีกลั่นแกล้งโดยการจัดทำรายชื่อของทนายความ กลุ่มนี้ ให้อยู่ในบัญชีของผู้ค้ายาเสพติดเพื่อสะดวกกับการอุ้ม ซึ่งต้องมีกระบวนการ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับทนายความเหล่านี้ก่อนที่จะมีคนถูกอุ้มหายไปเหมือน นายสมชาย
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการหายตัวไปของ นายสมชาย ที่ยังไม่มีความคืบหน้า ว่า ขณะนี้มีการจับตำรวจมา 5 คนและส่องฟ้องไปแล้ว อยู่ระหว่างการรอการพิจารณา คดีของศาล ที่ผ่านมา กรมสอบสวน คดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่ได้รับคดีนี้ไว้ดูแล เพราะไม่มีผู้เสนอ แต่ตนได้ให้บุคลากร ของดีเอสไอ ซึ่งแม้จะไม่ใช่พนักงานสอบสวน ในคดีนี้ไปหาข้อมูลว่า นายสมชาย ถูกพาตัวไปไว้ที่ไหน หรือหาร่องลอยการเสียชีวิต ซึ่งไปตามจุดต่างๆหลายจุดที่คาดว่าน่าจะพบตัวแต่ก็ยังไม่พบ
ส่วนที่นายกฯเคยกล่าวว่า มีคนแจ้งให้ทราบว่านายสมชายทะเลาะกับภรรยา และหนีออกจากบ้าน เดี๋ยวก็จะกลับนั้น นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เมื่อมีการสอบสวนกันอย่างเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถติดตามได้ว่านายสมชายหายไปไหน ภาครัฐก็พยายามเต็มที่แล้วเพื่อหาข้อมูลมาให้ได้มากที่สุด แต่ทั้งตำรวจและหน่วยงานต่างๆ ที่ออกไปทำงานก็ได้มาเพียงตำรวจ 5 คนเท่านั้น
ส่วนที่มีการตรวจสอบพบว่ามีเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลภายในทำเนียบรัฐบาล โทรไปหานายตำรวจส 5 คนที่ถูกจับนั้น นายพงศ์เทพกล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าใคร ติดต่ออะไรอย่างไร แต่เราพยายามตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นทุกวิถีทางแล้ว
นายสุริยะใสส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่ากรณีมีข่าวว่าผู้ใหญ่ในทำเนียบมีส่วนรู้เห็นกรณีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตรโดยพบเบอร์โทรศัพท์ จากทำเนียบรัฐบาลปรากฏในโทรศัพท์ของทีมตำรวจที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการอุ้ม นายสมชาย ด้วยนั้น นายกฯ จะต้องสะสางว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร หากปล่อยทิ้งไว้จะไม่เป็นผลดี ต่อรัฐบาลเพราะคดีนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกให้ความสนใจมาก และยิ่งปรากฏ มีข่าวว่าคนในทำเนียบรัฐบาลมีส่วนรู้เห็นจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชน ของประเทศไทยตกต่ำไปด้วย
นายสุริยะใส กล่าวว่า ในโอกาสที่วันที่ 12 มี.ค.นี้จะครบ 1 ปีเหตุการณ์ การหายตัวไปของนายสมชาย จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลแถลงความคืบหน้า ในการติดตามคดี ต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ และรัฐบาลควรมีมารตรการ ที่จริงใจกว่านี้ โดยเฉพาะดีเอสไอ ควรนำเอาเรื่องนี้ไปเป็นคดีพิเศษได้แล้ว
“ผมเป็นห่วงว่าถ้าคดีนี้ยังถูกปล่อยปะละเลยเหมือนกับ 1 ปีที่ผ่านมาจะทำให้ บรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ในการแก้ปัญหาภาคใต้ยากขึ้น เพราะกรณีการอุ้ม ทนายสมชายเป็นบาดแผลที่ร้าวลึกระหว่างรัฐกับประชาชนโดยเฉพาะชาวมุสลิม ฉะนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างต้นทุนความน่าเชื่อถือเพื่อสะสางคดีนี้อย่างจริงจังเพื่อให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้น
แหล่งข่าวจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่สืบสวนกรณีการหายตัวไปของ นายสมชายเปิดเผยว่า ขณะนี้ทางชุดสืบสวนมีข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่โทรฯ จากทำเนียบฯ ติดต่อกับ 1 ใน 5 ผู้ต้องหาก่อนที่ทนายสมชายจะหายตัว ซึ่งเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นเบอร์ของผู้มีอำนาจคนหนึ่งในทำเนียบรัฐบาล และหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง แต่การจะจัดการกับผู้บงการตัวจริงในขณะนี้นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้บุคคลดังกล่าวกำลังมีอำนาจอยู่ภายในรัฐบาล
อีกทั้งการจะดำเนินการในคดีนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนหากต้องการที่จะได้ตัวผู้บงการจริงๆ ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการรอให้บุคคลดังกล่าวหมดอำนาจ ก็จะดำเนินการเอาผิดทันที อีกทั้งคดีอาญามีอายุความถึง 20 ปี ดังนั้นการจะแก้แค้น 20 ปีก็ไม่ถือว่าสาย
นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความกล่าวถึงความคืบหน้า ในการสืบสวนการหายตัวไปของ นายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิมซึ่งจะครบ 1 ปี ในวันที่ 12 มี.ค.ว่า ทางสภาทนายความได้เปิดรับข้อมูลและร่องรอยของ นายสมชาย จากทุกภาคส่วนของสังคม แต่ที่ผ่านมามีเพียงข้อมูลจากทนายความสมาชิกเท่านั้นที่เชื่อถือได้ เพราะที่ผ่านมามีบุคคลกลุ่มหนึ่งพยายามทำให้การสืบหาหลักฐานของ สภาทนายความผิดทิศทางมาโดยตลอด บางครั้งส่งข้อมูลเท็จมาให้ บางครั้งก็โทรศัพท์มาที่โทรศัพท์ส่วนตัวของตนแล้วแจ้งข้อมูลให้ทราบ แต่เมื่อตรวจสอบแล้วก็พบว่า ข้อมูลที่บุคคลนั้นแจ้งเข้ามาไม่เป็นความจริง จึงส่งผลให้การสืบหาล่าช้า
ส่วนเรื่องการดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 5 คนที่ต้องคดีลักพาตัวทนายสมชายนั้น นายเดชอุดม กล่าวว่า ขณะนี้มีการฟ้องร้องผู้ต้องหาเพียงแค่ข้อหาลักทรัพย์และทำให้ผู้อื่นสูญเสียอิสระภาพเท่านั้นแต่ยังมิได้มีการฟ้องร้องในข้อหาฆ่าคนตาย เพราะพยานที่เห็นเหตุการณ์ก็ยืนยันได้ว่าพบผู้ต้องหาอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่สามารถยืนยันได้ว่า พบเห็น นายสมชายถูกพาตัวไปที่ไหน จึงทำให้ความหวังที่จะดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังตัวจริงนั้นเป็นไปได้ยาก เพราะผู้ต้องหาทั้ง 5 คนไม่รับสารภาพและซัดทอดไปถึงตัวผู้บงการ ดังนั้นความหวังดียวที่เหลืออยู่ในขณะนี้ คือต้องหวังให้ผู้ต้องหาคนใดคนหนึ่งสารภาพในชั้นศาลและซัดทอดไปยังตัวผู้บงการ เพราะตามธรรมชาติของผู้ต้องหาทั่วไปมักจะปฏิเสธในชั้นสอบสวนแต่จะไปรับสารภาพในชั้นศาล
นายเดชอุดมกล่าวต่อว่าในวันที่ 11 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ทางสภาทนายความ จะออกแถลงการณ์ที่สภาทนายความและจะส่งตัวแทนมายื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบาล ให้เร่งการสวบสวนเพื่อจับกุมผู้กระทำความผิดและตามหาตัวนายสมชายโดยด่วน เพราะเวลาล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้วแต่ยังไม่มีเรื่องใดมีความคืบหน้า
นายสัก กอแสงเรือง ส.ว.กทม. ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญ ติดตามตรวจสอบการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตร ทนายความมุสลิม กล่าว ว่า หลังจากนายสมชาย หายตัวไปมี ทนายความที่ว่าความให้กับชาวบ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกคุกคามและถูกใส่ร้ายว่าไปช่วยเหลือผู้กระทำความผิด ให้พ้นโทษมากมาย มีวิธีกลั่นแกล้งโดยการจัดทำรายชื่อของทนายความ กลุ่มนี้ ให้อยู่ในบัญชีของผู้ค้ายาเสพติดเพื่อสะดวกกับการอุ้ม ซึ่งต้องมีกระบวนการ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับทนายความเหล่านี้ก่อนที่จะมีคนถูกอุ้มหายไปเหมือน นายสมชาย
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการหายตัวไปของ นายสมชาย ที่ยังไม่มีความคืบหน้า ว่า ขณะนี้มีการจับตำรวจมา 5 คนและส่องฟ้องไปแล้ว อยู่ระหว่างการรอการพิจารณา คดีของศาล ที่ผ่านมา กรมสอบสวน คดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่ได้รับคดีนี้ไว้ดูแล เพราะไม่มีผู้เสนอ แต่ตนได้ให้บุคลากร ของดีเอสไอ ซึ่งแม้จะไม่ใช่พนักงานสอบสวน ในคดีนี้ไปหาข้อมูลว่า นายสมชาย ถูกพาตัวไปไว้ที่ไหน หรือหาร่องลอยการเสียชีวิต ซึ่งไปตามจุดต่างๆหลายจุดที่คาดว่าน่าจะพบตัวแต่ก็ยังไม่พบ
ส่วนที่นายกฯเคยกล่าวว่า มีคนแจ้งให้ทราบว่านายสมชายทะเลาะกับภรรยา และหนีออกจากบ้าน เดี๋ยวก็จะกลับนั้น นายพงศ์เทพ กล่าวว่า เมื่อมีการสอบสวนกันอย่างเต็มที่แล้วก็ยังไม่สามารถติดตามได้ว่านายสมชายหายไปไหน ภาครัฐก็พยายามเต็มที่แล้วเพื่อหาข้อมูลมาให้ได้มากที่สุด แต่ทั้งตำรวจและหน่วยงานต่างๆ ที่ออกไปทำงานก็ได้มาเพียงตำรวจ 5 คนเท่านั้น
ส่วนที่มีการตรวจสอบพบว่ามีเบอร์โทรศัพท์ของบุคคลภายในทำเนียบรัฐบาล โทรไปหานายตำรวจส 5 คนที่ถูกจับนั้น นายพงศ์เทพกล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าใคร ติดต่ออะไรอย่างไร แต่เราพยายามตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นทุกวิถีทางแล้ว
นายสุริยะใสส กตะศิลา เลขาธิการคณะกรรมการณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่ากรณีมีข่าวว่าผู้ใหญ่ในทำเนียบมีส่วนรู้เห็นกรณีการหายตัวไปของนายสมชาย นีละไพจิตรโดยพบเบอร์โทรศัพท์ จากทำเนียบรัฐบาลปรากฏในโทรศัพท์ของทีมตำรวจที่ถูกจับก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการอุ้ม นายสมชาย ด้วยนั้น นายกฯ จะต้องสะสางว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร หากปล่อยทิ้งไว้จะไม่เป็นผลดี ต่อรัฐบาลเพราะคดีนี้องค์กรสิทธิมนุษยชนทั่วโลกให้ความสนใจมาก และยิ่งปรากฏ มีข่าวว่าคนในทำเนียบรัฐบาลมีส่วนรู้เห็นจะยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ด้านสิทธิมนุษยชน ของประเทศไทยตกต่ำไปด้วย
นายสุริยะใส กล่าวว่า ในโอกาสที่วันที่ 12 มี.ค.นี้จะครบ 1 ปีเหตุการณ์ การหายตัวไปของนายสมชาย จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลแถลงความคืบหน้า ในการติดตามคดี ต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการ และรัฐบาลควรมีมารตรการ ที่จริงใจกว่านี้ โดยเฉพาะดีเอสไอ ควรนำเอาเรื่องนี้ไปเป็นคดีพิเศษได้แล้ว
“ผมเป็นห่วงว่าถ้าคดีนี้ยังถูกปล่อยปะละเลยเหมือนกับ 1 ปีที่ผ่านมาจะทำให้ บรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ในการแก้ปัญหาภาคใต้ยากขึ้น เพราะกรณีการอุ้ม ทนายสมชายเป็นบาดแผลที่ร้าวลึกระหว่างรัฐกับประชาชนโดยเฉพาะชาวมุสลิม ฉะนั้น รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างต้นทุนความน่าเชื่อถือเพื่อสะสางคดีนี้อย่างจริงจังเพื่อให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะคนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลับมาไว้วางใจรัฐบาลมากขึ้น
แหล่งข่าวจากองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่สืบสวนกรณีการหายตัวไปของ นายสมชายเปิดเผยว่า ขณะนี้ทางชุดสืบสวนมีข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ที่โทรฯ จากทำเนียบฯ ติดต่อกับ 1 ใน 5 ผู้ต้องหาก่อนที่ทนายสมชายจะหายตัว ซึ่งเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเป็นเบอร์ของผู้มีอำนาจคนหนึ่งในทำเนียบรัฐบาล และหลักฐานอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง แต่การจะจัดการกับผู้บงการตัวจริงในขณะนี้นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้บุคคลดังกล่าวกำลังมีอำนาจอยู่ภายในรัฐบาล
อีกทั้งการจะดำเนินการในคดีนี้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนหากต้องการที่จะได้ตัวผู้บงการจริงๆ ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการรอให้บุคคลดังกล่าวหมดอำนาจ ก็จะดำเนินการเอาผิดทันที อีกทั้งคดีอาญามีอายุความถึง 20 ปี ดังนั้นการจะแก้แค้น 20 ปีก็ไม่ถือว่าสาย