xs
xsm
sm
md
lg

อริยสัจการเมืองจีน (20)พรรคเหนือทุน เกิดและเป็นได้อย่างไร?

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

การเกิดขึ้นของพรรคการเมือง "กองหน้า" ของชนชั้นกรรมาชีพ เคลื่อนไหวจัดตั้งประชาชน ดำเนินการต่อสู้โค่นล้มการปกครองของชนชั้นนายทุน สถาปนาการปกครองของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นแทนที่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมจากทุนนิยมเป็นสังคมนิยมโดยตรง นั่นคือการเกิดขึ้นแบบ "ดั้งเดิม" ของพรรคการเมือง "เหนือทุน"

เช่นการเกิดขึ้นของพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพของประเทศต่างๆ ในยุโรปเมื่อกลางศตวรรษที่ 19 ขณะที่คาร์ล มาร์กซ์ยังมีชีวิตอยู่ หรือการเกิดขึ้นของพรรคบอลเชวิคที่นำโดย วลาดีเมียร์ เลนิน ในต้นศตวรรษที่ 20

พรรคเหนือทุนประยุกต์

ในกรณีของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เกิดขึ้นในสภาวะที่ประเทศจีนยังเป็นกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา ประเทศจีนต้องการเอกราช ประชาชนจีนต้องการการปลดปล่อย พรรคการเมืองกลุ่มทุนอ่อนแอเกินกว่าที่จะแบกรักภารกิจทางประวัติศาสตร์ได้ (ในกรณีพรรคกั๋วหมินตั่งที่นำโดยเจียงไคเช็ค) จำเป็นต้องมีพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพ จัดตั้งพันธมิตรกรรมกรชาวนา สร้างกองทัพปลดแอกประชาชน และแนวร่วมรักชาติอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดำเนินการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ จนกระทั่งประสบชัยชนะ ปลดปล่อยประเทศจีนพ้นจากอำนาจครอบงำของจักรพรรดินิยม ศักดินานิยม และทุนนิยมขุนนาง

เป็นการดำเนินการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย มุ่งให้ประเทศมีเอกราชสมบูรณ์ ประชาชนปลอดพ้นจากการกดขี่ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบเป็นเบื้องต้น แล้วจึงพัฒนาก้าวเข้าสู่ระบอบสังคมนิยมต่อไป

และเป็นการประยุกต์ลัทธิมาร์กซ์เข้ากับสภาวะเป็นจริงของประเทศจีนอย่างสร้างสรรค์
ซึ่งภายหลังการปฏิรูประบบโครงสร้าง กลไก ต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การศึกษา ฯลฯ โดยพื้นฐานแล้ว ประเทศจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้พัฒนาระบอบสังคมนิยมเป็นขั้นๆ ตั้งแต่กลางทศวรรษ ค.ศ. 1950 และก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมนิยมเอกลักษณ์จีนเต็มรูปในปลายทศวรรษ ค.ศ. 1970

การเกิดขึ้นของพรรคเหนือทุนไทย

สำหรับประเทศไทย พรรคการเมือง "เหนือทุน" ในอดีตก็คือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้ปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ของตนมาได้ระยะหนึ่ง ในรูปของการต่อสู้ด้วยอาวุธ ดำเนินสงครามประชาชน ซึ่งเมื่อสภาวการณ์ของสังคมโลกโดยรวมเคลื่อนตัวเข้าสู่ระยะของ "สันติภาพและการพัฒนา" แล้ว จึงได้ยุติบทบาทของตนลง

อาจกล่าวได้ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เกิดขึ้นตามความเรียกร้องต้องการของยุคสมัยแห่ง "สงครามและปฏิวัติ" ที่ดำเนินมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงทศวรรษ ค.ศ. 1950 (พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยถือกำเนิดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ.1942 หรือ พ.ศ. 2485)

สำหรับพรรคเหนือทุนไทยที่จะปรากฏขึ้นบนเวทีการเมืองครั้งใหม่นี้ ด้านหนึ่งเป็นไปตามลักษณะกำหนดแห่งยุคสมัยในปัจจุบัน คือ "สันติภาพและการพัฒนา" แต่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นด้านหลัก ก็คือเกิดขึ้นจากความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชน

เนื่องจากปัจจุบันนี้ สังคมไทยได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า พรรคการเมืองกลุ่มทุนไม่อาจบริหารประเทศได้อย่างสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและของประชาชนอย่างแท้จริง

ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคความหวังใหม่ในอดีต หรือพรรคไทยรักไทยในปัจจุบัน ต่างได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่า ไม่อยู่ในฐานะที่จะบริหารประเทศได้อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนไทยอย่างแท้จริง

คือแม้เมื่อได้ก้าวขึ้นเป็นรัฐบาล เป็นผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศแล้ว ก็ล้วนแต่กลายสภาพเป็น "เป็ดง่อย" ไม่มีเรี่ยวแรงหรือสติปัญญาพอที่จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ มีประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และทันต่อความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง

ในทางตรงข้าม พวกเขากลับคึกคักกระปรี้กระเปร่า และ "ชาญฉลาดยิ่ง" ในการกอบโกยผลประโยชน์เข้ากลุ่มเข้าพวกในทุกรูปแบบและทุกโอกาส โดยใช้อำนาจบริหารประเทศในฐานะ "รัฐบาล" เป็นเครื่องมือเพื่อเสริมฐานอำนาจให้แก่กลุ่มตนพรรคตน สำหรับการชิงชัยในสนามเลือกตั้งในครั้งต่อๆ ไป

ทั้งนี้เพราะพรรคการเมืองกลุ่มทุนของประเทศไทย ปัจจุบันประกอบไปด้วยตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มมากกว่าที่จะเป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนไทยโดยรวม

พวกเขาตกอยู่ใน "กับดัก" ผลประโยชน์ส่วนตนชนิดถอนตัวไม่ขึ้น เมื่อใดที่ได้อำนาจบริหารประเทศ ก็จะใช้อำนาจเหล่านั้นไปกระทำการต่างๆ เพื่อสนองประโยชน์เฉพาะตนเป็นเบื้องต้นเสมอ

สิ่งนี้นับเป็นจุดอ่อน "ทางโครงสร้าง" สำคัญยิ่ง ที่บั่นทอนศักยภาพ (ในการพัฒนาประเทศชาติ สนองตอบความเรียกร้องต้องการของประชาชน) ของพรรคกลุ่มทุนในประเทศไทย

ภารกิจของพรรคเหนือทุนไทย

อย่างไรก็ดี ความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนไทยปัจจุบัน เป็นเพียงความเรียกร้องต้องการพื้นฐาน คือ 1. ความเป็นประเทศเอกราชที่เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง สามารถดำรงอยู่ได้ในสังคมโลกอย่างเท่าเทียมกันกับประเทศอื่นๆ ทั้งที่เป็นประเทศใหญ่และประเทศเล็ก ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา และ 2. ประชาชนมีความอยู่ดีกินดีถ้วนหน้า ปลอดจากการกดขี่ขูดรีดของอำนาจอิทธิพลทั้งในประเทศและจากนอกประเทศ ได้รับการคุ้มครองในสิทธิผลประโยชน์เฉพาะตนด้วยกฎหมายเป็นอย่างดี

ในสภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ประเทศไทยและประชาชนไทยมีสิ่งที่เรียกร้องต้องการทั้งสองประการนี้อยู่แล้วโดยพื้นฐาน หรือมีแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องมีรัฐบาลจากพรรคการเมืองที่มีคุณภาพ เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนไทยอย่างแท้จริง เข้าทำหน้าที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ สามารถบริหารประเทศได้อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนไทย "ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ" ตามสภาวะเป็นจริงที่เปลี่ยนไปของสังคมโลกและสังคมไทยในยุคโลกาภิวัตน์

ดังนั้น ภารกิจของพรรคการเมืองเหนือทุนไทย หาได้ก้าวเลยไปถึงขั้นปฏิวัติสังคมไทย ล้มล้างการปกครองในระบอบทุนนิยม แล้วสถาปนาการปกครองระบอบสังคมนิยมแต่ประการใดไม่ เพียงแต่ดำเนินการบริหารประเทศให้สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เท่านั้นเอง

ในสภาวะ "เป็นจริง" ดังกล่าว พรรคการเมือง "เหนือทุน" จึงเป็นเพียง "พรรคทางเลือก" ของประเทศชาติและประชาชน สำหรับการเข้ามาทำหน้าที่บริหารอำนาจ พัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองระดับโลก ประชาชนไทยอยู่ดีกินดี สามารถที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนได้ในสภาพแวดล้อมที่ดี เอื้ออำนวยให้คิดและทำในสิ่งดีๆ มีประโยชน์ต่อตนเองและต่อส่วนรวมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้เท่านั้นเอง

องค์ประกอบของพรรคเหนือทุนไทย

เพื่อที่จะปฏิบัติภารกิจทางประวัติศาสตร์ของตนได้จริง พรรคเหนือทุนไทยจะประกอบไปด้วยบุคคลผู้มีจิตใจรักชาติรักประชาชน มี "จุดยืน" ร่วมกัน พร้อมอุทิศตนเพื่อภารกิจพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุขถ้วนหน้า
 
บุคคลเหล่านี้จะมาจากทุกชั้นชน ทุกวงการ ประสานกันเข้าเป็นหนึ่งเดียว บนฐานของการสนับสนุนของประชาชนไทยทั้งประเทศ

ด้วย "จุดยืน" ร่วมกันนี้ พรรคเหนือทุนไทยจะสามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ได้รับฉันทานุมัติจากประชาชน ทำหน้าที่บริหารประเทศ ขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศชาติอย่างรอบด้าน เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนไทยทั้งประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ในทางการเมืองจะต้องแข่งขันกับพรรคกลุ่มทุนบนเวทีเลือกตั้ง ซึ่งมีโอกาสแพ้และชนะคละเคล้ากันไปด้วย "ตัวแปร" สำคัญสองประการ คือ

ประการที่หนึ่ง จากทางด้านพรรคกลุ่มทุน

เมื่อใดที่พรรคกลุ่มทุนสามารถปรับปรุงตัวเอง สามารถพัฒนาแนวนโยบายที่สามารถสนองตอบความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนได้มากขึ้น จนเป็นที่พอใจของประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งและได้รับการยอมรับในกลุ่มบุคคลหรือสถาบันที่ทรงภูมิความรู้และปัญญาของสังคมไทย โอกาสที่พรรคเหนือทุนจะพ่ายแพ้ก็มีสูง

ถ้าตรงกันข้าม ก็มีโอกาสที่จะชนะ

แต่ตัวแปรนี้เป็น "ปัจจัยภายนอก" ของพรรคเหนือทุน ไม่อยู่ในการควบคุมของตนได้ จึงไม่ใช่สิ่งที่พรรคเหนือทุนจะ "ฝากความหวัง" ไว้ได้

ประการที่สอง อยู่ที่พรรคเหนือทุนเอง

นั่นคือ ตราบใดที่พรรคเหนือทุน สามารถกำหนดแนวคิดทฤษฎีชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติทางการเมืองได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนไทยอย่างแท้จริง ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านการสร้างพรรค การจัดตั้งพันธมิตรกรรมกรชาวนา และการสร้างแนวร่วม ก็มีโอกาสได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งเสมอ

โดยภาพรวมแล้ว การเกิดขึ้นของพรรคเหนือทุน จะกระตุ้นให้การเมืองของประเทศไทยพัฒนาไปในทางด้านสร้างสรรค์มากขึ้น จะเกิดการแข่งขันกัน "สร้างความดี"ระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ได้อย่างเป็นจริง

แนวทางการสร้างพรรคเหนือทุนไทย

การสร้างพรรคเหนือทุนไทย ก่อนอื่นต้องสร้างทางความคิด

ประการแรก ต้องมีจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศชาติและประชาชน
ประการที่สอง ต้องมี "แนวทางความคิด" หรือวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าพูดตามสำนวนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนก็คือ "ปลดปล่อยความคิด หาสัจจะจากความเป็นจริง ก้าวไปพร้อมกับกาลเวลา"

ทั้งนี้ ผู้ริเริ่มการก่อตั้งพรรค สมาชิกพรรค และผู้ต้องการเข้าเป็นสมาชิกพรรคจะต้อง "ย้ายจุดยืน" มาอยู่ในจุดยืนเดียวกัน คือจุดยืนที่จะทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งก็คือยินดีปฏิบัติแนวทาง นโยบายที่พรรคกำหนดขึ้นอย่างไม่มีเงื่อนไข ทุ่มเทกำลัง ความรู้และสติปัญญา ร่วมกันพัฒนาแนวคิดทฤษฎี แนวทางนโยบาย ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีของพรรค และแปรแนวคิดทฤษฎี แนวทางนโยบาย ต่างๆ ให้ปรากฏผลเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ในการเคลื่อนไหวปฏิบัติทั้งหมดนั้น จะต้องยึดถือเอา "ความเป็นจริง" เป็นตัวตั้ง ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง เคารพความเป็นจริง พัฒนาแนวคิดทฤษฎีขึ้นมาในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติที่เป็นจริง และใช้ทฤษฎีประสานกับความเป็นจริงตั้งแต่ต้นจนปลาย

อีกนัยหนึ่ง พรรคเหนือทุนเป็นพรรคปฏิบัติ ขับเคลื่อนตัวเองไปในท่ามกลางการปฏิบัติ ใช้การปฏิบัติเป็นตัวนำ แล้วประมวลประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้จากการเคลื่อนไหวปฏิบัติขึ้นเป็นองค์ความรู้ใหม่ๆ สำหรับการพัฒนาแนวคิดทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติในขั้นต่อๆ ไปอย่างไม่สิ้นสุด

ในทางปฏิบัติ พรรคเหนือทุนต้องเป็นแกนนำในการสามัคคีพลังประชาชนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกสาขาอาชีพ และทุกสถานภาพทางสังคม ไปร่วมดำเนินการพัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

ทั้งนี้ พรรคเหนือทุนจะต้องจับลักษณะของยุคสมัยแห่ง "สันติภาพและการพัฒนา" ให้มั่น การสามัคคีประชาชนในชาติก็เพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี คือความมีสันติภาพขึ้นในสังคมไทย สำหรับรองรับการขับเคลื่อนในด้านต่างๆ ที่จะเป็นปัจจัยเสริมส่งให้การพัฒนาประเทศดำเนินไปอย่างถูกทิศทาง สอดคล้องกับกระบวนการพัฒนาของสังคมโลกและสังคมไทย สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชนไทยโดยรวมมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
กำลังโหลดความคิดเห็น