สืบเนื่องจากพ.ร.บ.ผู้สอบบัญชี พ.ศ. 2505 ได้ใช้บังคับมานานและมีบทบัญญัติบางประการไม่สอดคล้องกับวิชาชีพบัญชีในปัจจุบัน อีกทั้งการประกอบวิชาชีพบัญชีได้ขยายออกไปหลายด้าน มิได้มีเพียงแค่การทำบัญชีและสอบบัญชี ขณะที่ภาครัฐก็มีนโยบายให้ผู้ประกอบวิชาชีพดูแลกันเอง และต้องการให้มีการส่งเสริมความรู้ ส่งเสริมมาตรฐานการประกอบวิชาชีพและควบคุมจรรยาบรรณกันเอง
จากเหตุผลข้างต้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้เสนอพ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547 ขึ้นมาแทนและกฎหมายฉบับนี้ ได้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.2547 ที่ผ่านมา
สาระสำคัญของกฎหมายที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ พ.ร.บ.ผู้สอบบัญชี พ.ศ.2505 จะถูกยกเลิกไป ก.บช.หรือคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีจะหมดหน้าที่ไป และจะมีสภาวิชาชีพบัญชี ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนเข้ามาแทน ถือเป็นการถ่ายโอนอำนาจจากภาครัฐไปให้สภาวิชาชีพบัญชีกำกับดูแล
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐแม้จะได้มอบอำนาจการกำกับดูแลไปให้กับสภาวิชาชีพบัญชีแล้ว แต่ยังมีความรับผิดชอบในด้านการกำหนดนโยบายผ่านคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี ซึ่งจะทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินกิจการของสภาวิชาชีพบัญชีให้เป็นไปตามกฎหมายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสภาวิชาชีพบัญชี โดยองค์ประกอบคณะกรรมการฯ มี 14 ท่าน มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง 10 ท่าน คือ อธิบดีกรมการประกันภัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อธิบดีกรมสรรพากร ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นายกสภาวิชาชีพบัญชี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานกรรมการหอการค้าไทย และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่รมว.พาณิชย์แต่งตั้งอีก 3 ท่าน คือ ด้านวิชาการบัญชี 2 ท่าน ได้แก่ ศ.หิรัญ รดีศรี และนายทรงเดช ประดิษฐสมานนท์ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย คือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์
ตามพ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547ในระยะแรกกำหนดให้วิชาชีพควบคุมมี 2 ด้าน คือการทำบัญชีและการสอบบัญชี โดยกำหนดให้ผู้ทำบัญชีต้องขึ้นทะเบียนหรือเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี มิฉะนั้นจะประกอบวิชาชีพทำบัญชีไม่ได้ และยังกำหนดให้ผู้สอบบัญชีจะต้องเป็นสมาชิกสามัญหรือหากไม่มีสัญชาติไทยต้องเป็นสมาชิกวิสามัญของสภาวิชาชีพบัญชีและต้องได้รับใบอนุญาตจากสภาวิชาชีพบัญชีด้วย ทั้งนี้ ในอนาคตหากมีการประกอบวิชาชีพด้านใดมีผลกระทบต่อประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียของประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ที่จะคุ้มครองประชาชนและพัฒนา หรือจัดระเบียบการประกอบวิชาชีพบัญชีด้านใด ก็อาจจะออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ประกอบวิชาชีพด้านนั้นเป็นวิชาชีพที่ถูกควบคุมเพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้นิติบุคคลที่ประกอบกิจการวิชาชีพบัญชีที่ควบคุม ได้แก่ การสอบบัญชี การทำบัญชี หรือด้านอื่นๆ ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาต้องจัดให้มีหลักประกันเพื่อประกันความรับผิดต่อบุคคลที่สามตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง กรณีที่เป็นการให้บริการสอบบัญชี บุคคลซึ่งมีอำนาจผูกพันนิติบุคคลในการให้บริการสอบบัญชีต้องเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตและกรณีที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามให้นิติบุคคลร่วมรับผิดด้วยอย่างลูกหนี้ร่วม
ในด้านการพัฒนาและส่งเสริมการประกอบวิชาชีพบัญชีด้านต่างๆ กฎหมายได้กำหนดให้มีคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีของแต่ละด้าน เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการประกอบวิชาชีพบัญชีด้านนั้นๆ ให้มีความก้าวหน้าและมีมาตรฐานวิชาชีพ สำหรับมาตรฐานการบัญชีนั้น จะมีคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชีทำหน้าที่กำหนดและปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการจัดทำบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีและกฎหมายอื่น
ส่วนการกำหนดจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี เป็นหน้าที่ของสภาวิชาชีพบัญชี โดยการจัดทำจรรยาบรรณอย่างน้อยต้องประกอบด้วย 1.ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต 2.ความรู้ความสามารถและมาตรฐานในการปฏิบัติงาน 3.ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการและการรักษาความลับ และ 4.ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือบุคคล หรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีปฏิบัติหน้าที่ให้ ที่สำคัญจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการจรรยาบรรณ เพื่อพิจารณาการประพฤติผิดจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ซึ่งโทษการประพฤติผิดจรรยาบรรณ คือ ตักเตือนเป็นหนังสือ ภาคทัณฑ์ พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต พักหรือเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือสั่งให้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี
ทั้งนี้ ในช่วงรอยต่อที่ยังไม่มีสภาวิชาชีพบัญชีนั้น คณะกรรมการสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยได้ทำหน้าที่คณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีไปก่อนจนกว่าจะมีคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีตามพระราชบัญญัตินี้เข้ารับหน้าที่และระหว่างที่สภาวิชาชีพบัญชียังมีสมาชิกไม่ถึง 500 คนให้คณะกรรมการกำกับฯ ทำหน้าที่สภาฯ เพื่ออนุมัติหรือให้ความเห็นชอบข้อบังคับสภาฯ ซึ่งคณะกรรมการกำกับฯได้มีการประชุมกันไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2547 และ 16 ธ.ค.2547 และได้มีมติให้ความเห็นชอบร่างข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชีรวม 8 ฉบับ ได้แก่
ฉบับที่1 เรื่องวิธีการเสนอและการพิจารณาร่างข้อบังคับ พ.ศ.2547 / ฉบับที่ 2 เรื่องสมาชิกและการรับสมัครสมาชิก พ.ศ.2547 / ฉบับที่ 3 เรื่องค่าบำรุงสมาชิก พ.ศ.2547 /ฉบับที่ 4 เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายกสภาวิชาชีพบัญชี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง พ.ศ.2547/ ฉบับที่ 5 เรื่อง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม การเลือกตั้งหรือการแต่งตั้ง การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของประธานคณะกรรมการหรือกรรมการวิชาชีพบัญชีแต่ละด้าน อำนาจหน้าที่ และการดำเนินการอื่นของคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีแต่ละด้าน พ.ศ.2547/ ฉบับที่ 6 เรื่องผู้ทำบัญชี พ.ศ.2547 /ฉบับที่ 7 เรื่องการออกใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต พ.ศ.2547 /และฉบับที่ 8 เรื่องการประชุมใหญ่และการเสนอเรื่องให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณา พ.ศ.2547 ซึ่งข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชีนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2547 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2547
ที่สำคัญ กฎหมายหรือระเบียบวาระข้อบังคับเดิมที่ออกตาม พ.ร.บ.ผู้สอบบัญชี พ.ศ.2505 จะยังใช้บังคับได้ต่อไป จนกว่าจะมีกฎหมายในเรื่องเดียวกันนี้ออกมาใช้ มาตรฐานการบัญชี ให้ใช้ของสมาคมนักบัญชีฯ ที่ก.บช.มีมติให้ประกาศใช้แล้วไปก่อนจนกว่าจะมีการกำหนดมาตรฐานการบัญชีใหม่ และในส่วนสุดท้าย นิติบุคคลที่ให้บริการสอบบัญชีหรือการทำบัญชีอยู่ก่อนวันที่ 23 ต.ค.2547 จะต้องจดทะเบียนและจัดให้มีหลักประกันเพื่อความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สาม โดยนิติบุคคลต้องจดทะเบียนต่อสภาวิชาชีพบัญชีภายใน 1 ปี จัดให้มีหลักประกันเพื่อความรับผิดต่อบุคคลที่สามให้ครบถ้วนภายใน 3 ปี และจัดให้มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเป็นผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคลภายใน 3 ปี
จากการปรับเปลี่ยนกฎหมายวิชาชีพบัญชีดังกล่าว ได้ส่งผลให้องค์กรของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีมีบทบาทในการกำกับดูแลกันเอง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐทำงานเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น และสนับสนุนให้ภาคเอกชนซึ่งมีความพร้อมของศักยภาพทรัพยากรทั้งด้านบุคลากร และงบประมาณช่วยเข้ามาแบ่งเบาภาระการทำงานภาครัฐ และให้มีส่วนในการบริหารบ้านเมืองร่วมกัน ซึ่งจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว เชื่อว่าเป็นการสนับสนุนให้วิชาชีพบัญชีในประเทศไทยพัฒนาไปสู่รูปแบบที่เป็นมาตรฐานสากลได้อย่างแน่นอน
จากเหตุผลข้างต้น กระทรวงพาณิชย์จึงได้เสนอพ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547 ขึ้นมาแทนและกฎหมายฉบับนี้ ได้มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.2547 ที่ผ่านมา
สาระสำคัญของกฎหมายที่เห็นได้ชัดเจน ก็คือ พ.ร.บ.ผู้สอบบัญชี พ.ศ.2505 จะถูกยกเลิกไป ก.บช.หรือคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพสอบบัญชี ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่เป็นผู้กำหนดนโยบายและกำกับดูแลการปฏิบัติงานของผู้สอบบัญชีจะหมดหน้าที่ไป และจะมีสภาวิชาชีพบัญชี ซึ่งเป็นองค์กรภาคเอกชนเข้ามาแทน ถือเป็นการถ่ายโอนอำนาจจากภาครัฐไปให้สภาวิชาชีพบัญชีกำกับดูแล
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐแม้จะได้มอบอำนาจการกำกับดูแลไปให้กับสภาวิชาชีพบัญชีแล้ว แต่ยังมีความรับผิดชอบในด้านการกำหนดนโยบายผ่านคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี ซึ่งจะทำหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินกิจการของสภาวิชาชีพบัญชีให้เป็นไปตามกฎหมายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสภาวิชาชีพบัญชี โดยองค์ประกอบคณะกรรมการฯ มี 14 ท่าน มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง 10 ท่าน คือ อธิบดีกรมการประกันภัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อธิบดีกรมสรรพากร ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ นายกสภาวิชาชีพบัญชี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประธานสมาคมธนาคารไทย และประธานกรรมการหอการค้าไทย และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่รมว.พาณิชย์แต่งตั้งอีก 3 ท่าน คือ ด้านวิชาการบัญชี 2 ท่าน ได้แก่ ศ.หิรัญ รดีศรี และนายทรงเดช ประดิษฐสมานนท์ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย คือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์
ตามพ.ร.บ.วิชาชีพบัญชี พ.ศ.2547ในระยะแรกกำหนดให้วิชาชีพควบคุมมี 2 ด้าน คือการทำบัญชีและการสอบบัญชี โดยกำหนดให้ผู้ทำบัญชีต้องขึ้นทะเบียนหรือเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี มิฉะนั้นจะประกอบวิชาชีพทำบัญชีไม่ได้ และยังกำหนดให้ผู้สอบบัญชีจะต้องเป็นสมาชิกสามัญหรือหากไม่มีสัญชาติไทยต้องเป็นสมาชิกวิสามัญของสภาวิชาชีพบัญชีและต้องได้รับใบอนุญาตจากสภาวิชาชีพบัญชีด้วย ทั้งนี้ ในอนาคตหากมีการประกอบวิชาชีพด้านใดมีผลกระทบต่อประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียของประชาชนหรือเพื่อประโยชน์ที่จะคุ้มครองประชาชนและพัฒนา หรือจัดระเบียบการประกอบวิชาชีพบัญชีด้านใด ก็อาจจะออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ประกอบวิชาชีพด้านนั้นเป็นวิชาชีพที่ถูกควบคุมเพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้ ยังได้กำหนดให้นิติบุคคลที่ประกอบกิจการวิชาชีพบัญชีที่ควบคุม ได้แก่ การสอบบัญชี การทำบัญชี หรือด้านอื่นๆ ตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาต้องจัดให้มีหลักประกันเพื่อประกันความรับผิดต่อบุคคลที่สามตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวง กรณีที่เป็นการให้บริการสอบบัญชี บุคคลซึ่งมีอำนาจผูกพันนิติบุคคลในการให้บริการสอบบัญชีต้องเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตและกรณีที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตต้องรับผิดต่อบุคคลที่สามให้นิติบุคคลร่วมรับผิดด้วยอย่างลูกหนี้ร่วม
ในด้านการพัฒนาและส่งเสริมการประกอบวิชาชีพบัญชีด้านต่างๆ กฎหมายได้กำหนดให้มีคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีของแต่ละด้าน เพื่อพัฒนาและส่งเสริมการประกอบวิชาชีพบัญชีด้านนั้นๆ ให้มีความก้าวหน้าและมีมาตรฐานวิชาชีพ สำหรับมาตรฐานการบัญชีนั้น จะมีคณะกรรมการกำหนดมาตรฐานการบัญชีทำหน้าที่กำหนดและปรับปรุงมาตรฐานการบัญชี เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการจัดทำบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชีและกฎหมายอื่น
ส่วนการกำหนดจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี เป็นหน้าที่ของสภาวิชาชีพบัญชี โดยการจัดทำจรรยาบรรณอย่างน้อยต้องประกอบด้วย 1.ความโปร่งใส ความเป็นอิสระ ความเที่ยงธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต 2.ความรู้ความสามารถและมาตรฐานในการปฏิบัติงาน 3.ความรับผิดชอบต่อผู้รับบริการและการรักษาความลับ และ 4.ความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือบุคคล หรือนิติบุคคลที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีปฏิบัติหน้าที่ให้ ที่สำคัญจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการจรรยาบรรณ เพื่อพิจารณาการประพฤติผิดจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ซึ่งโทษการประพฤติผิดจรรยาบรรณ คือ ตักเตือนเป็นหนังสือ ภาคทัณฑ์ พักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต พักหรือเพิกถอนการขึ้นทะเบียนหรือสั่งให้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาวิชาชีพบัญชี
ทั้งนี้ ในช่วงรอยต่อที่ยังไม่มีสภาวิชาชีพบัญชีนั้น คณะกรรมการสมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทยได้ทำหน้าที่คณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีไปก่อนจนกว่าจะมีคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชีตามพระราชบัญญัตินี้เข้ารับหน้าที่และระหว่างที่สภาวิชาชีพบัญชียังมีสมาชิกไม่ถึง 500 คนให้คณะกรรมการกำกับฯ ทำหน้าที่สภาฯ เพื่ออนุมัติหรือให้ความเห็นชอบข้อบังคับสภาฯ ซึ่งคณะกรรมการกำกับฯได้มีการประชุมกันไปแล้ว 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2547 และ 16 ธ.ค.2547 และได้มีมติให้ความเห็นชอบร่างข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชีรวม 8 ฉบับ ได้แก่
ฉบับที่1 เรื่องวิธีการเสนอและการพิจารณาร่างข้อบังคับ พ.ศ.2547 / ฉบับที่ 2 เรื่องสมาชิกและการรับสมัครสมาชิก พ.ศ.2547 / ฉบับที่ 3 เรื่องค่าบำรุงสมาชิก พ.ศ.2547 /ฉบับที่ 4 เรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของนายกสภาวิชาชีพบัญชี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง พ.ศ.2547/ ฉบับที่ 5 เรื่อง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม การเลือกตั้งหรือการแต่งตั้ง การดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของประธานคณะกรรมการหรือกรรมการวิชาชีพบัญชีแต่ละด้าน อำนาจหน้าที่ และการดำเนินการอื่นของคณะกรรมการวิชาชีพบัญชีแต่ละด้าน พ.ศ.2547/ ฉบับที่ 6 เรื่องผู้ทำบัญชี พ.ศ.2547 /ฉบับที่ 7 เรื่องการออกใบอนุญาตและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต พ.ศ.2547 /และฉบับที่ 8 เรื่องการประชุมใหญ่และการเสนอเรื่องให้ที่ประชุมใหญ่พิจารณา พ.ศ.2547 ซึ่งข้อบังคับสภาวิชาชีพบัญชีนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.2547 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2547
ที่สำคัญ กฎหมายหรือระเบียบวาระข้อบังคับเดิมที่ออกตาม พ.ร.บ.ผู้สอบบัญชี พ.ศ.2505 จะยังใช้บังคับได้ต่อไป จนกว่าจะมีกฎหมายในเรื่องเดียวกันนี้ออกมาใช้ มาตรฐานการบัญชี ให้ใช้ของสมาคมนักบัญชีฯ ที่ก.บช.มีมติให้ประกาศใช้แล้วไปก่อนจนกว่าจะมีการกำหนดมาตรฐานการบัญชีใหม่ และในส่วนสุดท้าย นิติบุคคลที่ให้บริการสอบบัญชีหรือการทำบัญชีอยู่ก่อนวันที่ 23 ต.ค.2547 จะต้องจดทะเบียนและจัดให้มีหลักประกันเพื่อความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สาม โดยนิติบุคคลต้องจดทะเบียนต่อสภาวิชาชีพบัญชีภายใน 1 ปี จัดให้มีหลักประกันเพื่อความรับผิดต่อบุคคลที่สามให้ครบถ้วนภายใน 3 ปี และจัดให้มีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตเป็นผู้มีอำนาจลงนามผูกพันนิติบุคคลภายใน 3 ปี
จากการปรับเปลี่ยนกฎหมายวิชาชีพบัญชีดังกล่าว ได้ส่งผลให้องค์กรของผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีมีบทบาทในการกำกับดูแลกันเอง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้หน่วยงานภาครัฐทำงานเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น และสนับสนุนให้ภาคเอกชนซึ่งมีความพร้อมของศักยภาพทรัพยากรทั้งด้านบุคลากร และงบประมาณช่วยเข้ามาแบ่งเบาภาระการทำงานภาครัฐ และให้มีส่วนในการบริหารบ้านเมืองร่วมกัน ซึ่งจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว เชื่อว่าเป็นการสนับสนุนให้วิชาชีพบัญชีในประเทศไทยพัฒนาไปสู่รูปแบบที่เป็นมาตรฐานสากลได้อย่างแน่นอน