xs
xsm
sm
md
lg

การกอดในตลาดการเมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา

หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งได้เปิดเผย “ความลับ” ของชัยชนะแบบถล่มฟ้าทลายดินของพรรคไทยรักไทยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่าอยู่ที่การใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลด้านประชากรที่รวบรวมจากการสำรวจต่างๆ เป็นจำนวนมากย้อนหลังไปเจ็ดปี ในการทำความเข้าใจถึงสถานภาพ พฤติกรรม ความต้องการ และปัญหาของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพื่อใช้ในการกำหนดยุทธศาสตร์แห่งการรณรงค์ นอกจากนี้ พรรคไทยรักไทยยังทำการสำรวจประชามติเป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบคะแนนนิยม อีกทั้งใช้การจัดการแบบวงการธุรกิจที่จำแนกหน้าที่ของแต่ละฝ่ายเพื่อบรรลุสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายอย่างชัดเจน รวมทั้งการวางระบบหาเสียงในทำนองเดียวกันกับการทำตลาดขายตรงของแอมเวย์และนูสกิน (The Nation, February 9, 2005)

ถึงแม้ข้อมูลเหล่านี้จะจริงเพียงใดก็ตาม คุณภาพและราคาของ “ผลิตภัณฑ์” ในเชิงเปรียบเทียบกับคู่แข่งก็มีความสำคัญอย่างมาก ไม่เช่นนี้ก็จะขายไม่ค่อยออก หรือแม้นขายออก ยอดขายก็จะไม่มั่นคงอย่างยั่งยืน หากจะพูดแบบรองประธาน Moody’s Investors Service ก็ต้องบอกว่า “ข้อดีของรัฐบาลทักษิณก็คือทำงานออก” (The Nation, February 10, 2005)

เหนือไปยิ่งกว่านี้ “ผลิตภัณฑ์” หลักของพรรคไทยรักไทยยังมีองค์ประกอบเด่นๆ แบบ “แบรนด์” ที่จดจำได้ง่ายๆ ชัดๆ คือตัวหัวหน้าพรรคเอง นั่นก็คือ การเป็นคนที่ชำนาญในการพูดคำใหญ่คำโต ทั้งในแง่ขนาดของวิสัยทัศน์และยอดงบประมาณ เชี่ยวชาญในการวาดวาทศิลป์ขนาดทำทอล์คโชว์ขายได้ ชอบที่จะเอะอะกับลูกน้องที่ไม่เอาไหนอย่างโกรธๆ อีกทั้งถนัดในการเสียดสีบรรดา “ขาประจำ” อย่างเผ็ดๆ มันๆ เป็นครั้งเป็นคราว สามารถปรากฏตัวทุกๆแห่งได้เร็วและน่าตื่นเต้นแบบสไปเดอร์แมน และบ่อยๆ ใบหน้าจะประไปด้วยรอยยิ้มที่มีประกายสดใสเสมือนเด็กๆ ที่ได้รับของเล่นที่ตนเองพอใจ ฯลฯ

แน่นอน องค์ประกอบเด่นๆ เหล่านี้นั้นเป็นที่รู้จักกันทั่วไปอยู่แล้ว เพราะไม่เช่นนั้น ก็จะถือเป็น “แบรนด์”ไม่ได้

ทว่าองค์ประกอบที่จัดได้ว่าเป็นลักษณะของ “แบรนด์” อีกประการหนึ่งของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยที่คู่ควรที่จะวิเคราะห์กันให้ถี่ถ้วนก็คือ วิธีการและนัยของการกอดผู้คนที่พากันมาแสดงความชื่นชมท่าน อันมีลักษณะพิเศษที่คู่ควรกับการทำความเข้าใจอย่างยิ่ง

ในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ชินคอร์ปได้ปล่อยประชาสัมพันธ์บรรษัท (corporate public relations) ออกมางานหนึ่งที่ชักชวนให้คนไทยกอดกันบ่อยๆ นัยว่าเพื่อกระชับความรักในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น ผมไม่ทราบดอกว่างานชิ้นนี้ทำให้ใครๆ กอดกันมากขึ้นมากน้อยเพียงไรหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือในช่วงที่ออกหาเสียงเลือกตั้งในที่ต่างๆ นั้น ส่วนหนึ่งของกิจกรรมสำคัญของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยก็คือการกอด ส่วนมากจะเป็นการอนุญาตให้ผู้ที่มาฟังการปราศรัยของท่านได้กอดตัวท่านในรูปแบบต่างๆ นอกจากนี้ ท่านยังสมยอมให้ “ลูกค้า” ได้จับไม้จับมือของตนบนเวทีในทำนองเดียวกันกับนักร้องออกคอนเสิร์ตอีกด้วย

ถึงแม้ว่าการวัดความตื้นลึกหนาบางของการกอดดังกล่าวนี้จะกระทำได้ยาก เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้ยังไม่มีใครคิดเครื่องมือวัดขึ้นมาเหมือนกับในกรณีระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจหรือควันดำในท่อไอเสีย แต่ในชั้นนี้ผมอยากจะเสนอว่าหัวหน้าพรรคไทยรักไทยนั้นกอดเก่งมาก จะเก่งอย่างไรเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที

กล่าวโดยทั่วไป การกอดกันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเท่าไรนักในครอบครัวไทยที่บรรดาสมาชิกมักจะมีความรู้สึกว่าการกอดเป็นการแสดงออกที่มากไปจนขัดความรู้สึก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะครอบครัวไทยๆ ส่วนมากมักจะล้าหลัง ขนาดเป็นเพียงภาพสะท้อนของ ”ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ” ชนิดหนึ่งที่พ่อแม่และลูกๆ แต่ละคนมี “อำนาจ” ไม่เท่ากัน ที่การกอดกันภายในครอบครัวมีน้อย หรือแทบจะไม่มีเลย (นอกจากความจำเป็นทางเทคนิคที่เกิดขึ้นในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็มบนเตียง) ก็เพราะครอบครัวไทยส่วนมากถูกก่อรูปขึ้นภายในกรอบของวัฒนธรรมอำนาจนิยม

เพราะฉะนั้น การกอดกันที่ทำให้มนุษย์แต่ละคนเกิดความเท่าเทียมกันขึ้นจึงเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยเห็นกันมากนักในครอบครัวไทยๆ ยกเว้นแต่ในครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นนักเรียนนอกจากยุโรป อเมริกา หรือออสเตรเลียและนิวซีแลนด์อยู่ร่วมกันหลายๆ คนเท่านั้น นี่หมายความว่าวัฒนธรรมประชาธิปไตยคงยังเข้าไปไม่ถึงจิตวิญญาณของครอบครัวไทยทั่วไปเท่าใดนัก

ด้วยประการฉะนี้ การกอดกันระหว่างหัวหน้าพรรคไทยรักไทยกับลูกค้าของท่านจึงมีความหมายทางการเมืองเป็นอย่างมาก ความหมายในที่นี้ก็คือ ในขณะที่ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวส่วนมากของเรายังมีการกอดกันไม่มากเท่าไรนัก การกอดกันระหว่างหัวหน้าพรรคไทยรักไทยกับลูกค้าของท่านดูเหมือนว่าได้ “ก้าวข้าม” ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในระดับครอบครัวแล้ว

เมื่อตะกี้นี้ที่เกริ่นเอาไว้ว่าหัวหน้าพรรคไทยรักนั้นกอดเก่งก็เพราะจากการสังเกตภาพข่าวทางโทรทัศน์จำนวนหนึ่งในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้งนั้น ผมได้มาถึงข้อสรุปดังนี้

(1) ในระหว่างที่โดนกอด ใบหน้าของท่านมักจะอิ่มไปด้วยรอยยิ้มเสมอ (ทั้งๆ ที่บางวันดูเหมือนว่าจะเหน็ดเหนื่อยมาก) นี่หมายความว่าท่านแสดงให้ใครๆ ได้เห็นว่าตนเองมีความเต็มใจที่จะโดนกอดหรือกอดผู้อื่น ทำให้คุณภาพของการกอดแต่ละครั้งได้ความรู้สึกสูงสุดทั้งผู้ให้และผู้รับ เป็นการกระทำที่บรรลุเป้าหมายคือกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

(2) นอกจากรอยยิ้มแล้ว หัวหน้าพรรคไทยรักไทยยังมักจะมีท่าทางที่ดูมีมากพลังในระหว่างที่กอดด้วย ท่าทางหลักๆ ที่ท่านยึดถือไว้เกือบตลอดเวลาก็คือ การยืนเฉยๆ ยืดอกขึ้นเต็มที่ สายตามองไปที่ลูกค้า แล้วโอบมือรอบคอหรือรอบตัวผู้ที่เป็นเป้าหมายแห่งการกอด ความหมายในที่นี้ก็คือ ท่านเป็นผู้เข้มแข็งกว่า ทว่าก็มีความสนใจในตัวบุคคลที่อ่อนแอกว่า ภาพหนึ่งในทำนองนี้ที่ผมเชื่อว่าใครๆ ก็จะต้องจำได้อย่างติดหูติดตาก็คือเมื่อแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ก้มตัวและใบหน้าเข้ากอดเอวของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยอย่างปลาบปลื้มเมื่อท่านเดินทางไปเยี่ยมในระหว่างทำงานสึนามิ

(3) ในบางครั้งที่ไม่โดนห้อมล้อมจนไม่มีพื้นที่สำหรับการเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าหัวหน้าพรรคไทยรักไทยจะตั้งใจสบตาผู้ที่เป็นคู่กอดของท่านด้วย ยังผลให้การกอดแบบนี้ได้ผลมากยิ่งไปอีกเพราะสายตาที่เชื่อมโยงกันนั้นย่อมเข้าไปถึงจิตวิญญาณภายในด้วย

(4) นอกจากการกอดกันแบบธรรมดาที่หันหน้าเข้าหากันแล้ว หัวหน้าพรรคไทยรักไทยยังมักจะโดน “ลักกอด” (โชคดีที่ไม่ใช่การลักหลับ) จากด้านหลังแบบจู่โจมโดยไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กอดด้วย ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าท่านไม่ดูเหมือนจะไม่เคยออกท่าทางว่าตกใจอะไรเลย

ทั้งนี้ โดยไม่ต้องพูดถึงการจับไม้จับมือ ซึ่งหัวหน้าพรรคไทยรักไทยดูจะใจกว้างเป็นพิเศษ บ่อยๆ ท่านจะยื่นมือให้ลูกค้าจับจากบนเวทีหาเสียงในลักษณะคล้ายๆ กับว่าต้องการเร่ง “ทำยอดขาย” ถึงขนาดที่เกือบจะตกจากเวทีก็หลายหน

แม้ฐานข้อมูลของพรรคไทยรักไทยที่ว่าดีนักดีหนา ก็คงจะไม่มีตัวเลขชัดเจนว่าหัวหน้าพรรคของตนได้กอดและโดนกอดมาแล้วมากน้อยเพียงใดในระยะเวลาที่ผ่านๆ มา แต่เมื่อพิจารณาถึงความถี่ของกิจกรรมแห่งการกอดมวลชนของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยที่ถูกถ่ายทอดทางโทรทัศน์ไปทั่วประเทศซ้ำแล้วซ้ำเล่าในกาละเทศะต่างๆ ในช่วงสองสามเดือนก่อนการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านมา คงจะไม่คลาดเคลื่อนนักที่จะอนุมานว่าท่านได้กอดและจับมือมาแล้วนับได้เป็นหมื่นๆ คน ในกาลและเทศะต่างๆ นับร้อยๆ ครั้ง ซึ่งโดยสรุปแล้วจะต้องมีคนดูการถ่ายทอดโทรทัศน์กันมากมายถึงวันละ 10-20 ล้านคนต่อวัน นี่หมายความว่ามีคนไทยจำนวนหกสิบกว่าล้านคนคงจะได้เห็นภาพอย่างนี้กันคนละหลายสิบครั้งในรอบสองสามเดือนที่ผ่านมา

ไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลยว่าภาพเหล่านี้จะต้อง “โดนใจ” รากหญ้าอย่างยิ่ง พูดตามจริง นี่คือสุดยอดของการประชาสัมพันธ์ระดับบรรษัทที่สามารถสร้างภาพลักษณ์ของพรรคไทยรักไทยได้สำเร็จโดยง่ายว่าคงจะเป็นที่พึ่งพาอาศัยของคนตัวเล็กๆ ในเมืองไทยได้

จุดที่น่าสังเกตมากก็คือถึงแม้หัวหน้าพรรคการเมืองคนอื่นๆ จะกอดกับประชาชนอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ผมดูๆ แล้วไม่เห็นว่าใครจะกอดเก่งเลย ส่วนมากมักจะแสดงความอิดเอื้อน ไม่ค่อยเต็มใจที่จะกอดใครเท่าไรนัก ที่เห็นๆ คนที่อยากจะกอดประชาชนมากถึงขนาดยัดเยียดตัวเองให้ชาวบ้านจนเขาสะดุ้งเพราะความตกใจนั้น มักจะเป็นนักการเมืองใหม่ๆ ที่ไม่มีใครอยากจะกอดเสียมากกว่า

รวมความแล้วก็คือ ยกเว้นนักการเมืองที่เป็นดาราหรือหล่อๆ สวยๆ สักหน่อย พรรคการเมืองต่างๆ ดูจะไม่ค่อยมีใครมีเสน่ห์น่ากอดเท่าไรนัก ไม่เหมือนกรณีของหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ซึ่งผู้ที่มาลักกอดหรือขอกอดดูจะมีความกระตือลือล้นอย่างออกนอกหน้า

ถึงคนที่ชอบหาเรื่องจะสงสัยไปกันได้ว่าอาจจะมีการตบสินจ้างรางวัลกันมา ผมก็อยากจะบอกว่าเป็น “การแสดง” ที่ถึงขนาดดีมาก

ผลกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยเหล่านี้จะมีมากเพียงใดคำนวณได้ยากเหลือเกิน แต่จุดที่สำคัญก็คือ “นักกอด” คนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา ทว่าเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ผู้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีมาแล้วสี่ปี และจะทำหน้าที่เดียวกันอีกในสี่ปีข้างหน้า มิหนำซ้ำ เขายังเป็นมหาเศรษฐีระดับชาติที่ติดอันดับโลกต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้วด้วย

แน่นอน การกอดคนดังในเมืองไทยไม่ใช่ของง่าย ขนาดพวกนักร้องนักแสดงที่มียอดขายไม่มากนัก ก็ยังกอดยากจะตาย อย่างดีก็ได้จับมือนิดๆ หน่อยๆ มิหนำซ้ำ หลายๆ คนยังดูไม่ค่อยเต็มอกเต็มใจนักเสียอีกด้วย

จากมุมมองของนักกอดรากหญ้า ผมเชื่อว่านอกจากความสนุกสนานเพื่อเอาไปคุยกันเล่นๆ ว่าได้กอดคนดังมาแล้ว เขาคงจะกอดหัวหน้าพรรคไทยรักไทยอย่างมีความหมายพิเศษด้วย นั่นก็คือ การกอดที่เป็นไปในทำนองของการฝากเนื้อฝากตัวหวังในผลประโยชน์แบบวัฒนธรรมอุปถัมภ์ ฉะนั้น หัวหน้าพรรคไทยรักไทยจึงทราบดีว่าตนเองมีพันธกิจที่จะต้องทำงานให้เกิดผลดีสูงสุดแก่ผู้ที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ตนด้วย มิฉะนั้น การกอดที่ผ่านๆ มาก็ไม่มีความหมาย จนเข้าข่ายเป็นการผิดสัญญาทางใจ

เมื่อเปรียบเทียบกับนักการเมืองในอดีต การกอดผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งอย่างเต็มใจและกว้างขวางของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยนี้จัดได้ว่ามีความหมายไม่น้อยไปกว่าการนำการเมืองไทยเข้าสู่ยุคใหม่เลยทีเดียว

นี่ไม่ใช่การเมืองแบบเจ้านายกับไพร่ที่ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ของตนอย่างชัดเจนในโครงสร้างอำนาจที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่การเมืองแบบทหารบังคับบัญชาลูกน้องให้อยู่ในแถว ไม่ใช่การเมืองแบบข้าราชการให้ความช่วยเหลือราษฎรตามความสะดวกของตน ในระบบการเมืองเก่าเหล่านี้ การกอดไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบจากบนสู่ล่าง

ในช่วงสี่ปีข้างหน้า ข้อท้าทายใหญ่ของหัวหน้าพรรคไทยรักไทยก็คือคำถามที่ว่าท่านจะพาเมืองไทยไปทางไหนด้วยวิธีการและจังหวะจะโคนอย่างไร ความชอบธรรมที่ท่านได้รับมาจากมหาชนอย่างล้นหลามนั้นมีความคาดหมายต่างๆ ติดตามมาด้วย และความหมายที่สำคัญก็คือการก้าวข้ามปัญหาเก่าๆ ที่คั่งค้างมาจากสี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาความโปร่งใสในการกำหนดนโยบายสาธารณะที่สำคัญๆ ปัญหาการทับซ้อนของผลประโยชน์ระหว่างฝ่ายการเมืองกับธุรกิจ ปัญหาสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน สื่อมวลชน นักวิชาการ และกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆ ฯลฯ

หากรัฐบาลใหม่สามารถเริ่มต้นด้วยการพยายามแก้ไขปัญหาทางโครงสร้างเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นในระยะแรกๆ ของการฮันนีมูน ด้วยท่าทีชนิดเดียวกับการกอดประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งแล้ว ความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นจากการทำงานก็คงจะมีเพิ่มมากขึ้นอย่างทันตาเห็น เพราะเอาเข้าจริง การเมืองที่ดีคือการเมืองแห่งความรัก ซึ่งหมายถึงการให้มากกว่าการรับ

หากทำได้อย่างนี้มากขึ้น หัวหน้าพรรคไทยรักไทยและคณะก็คงมีความสุขขึ้นจริงๆ จากการทำอะไรดีๆ ให้ผู้อื่นด้วยความสนุกสนาน ไม่ใช่การแสวงหาความสุขปลอมๆ บนกองทุกข์ของผู้อื่น จนอาจจะต้องเสียใจภายหลัง.
กำลังโหลดความคิดเห็น