เส้นทางเดิน หรือ "โรดแม็ป" (road map) ของพรรคเหนือทุน เปิดกว้างและหลากหลายอย่างยิ่ง
พรรคการเมืองใดที่ประกอบไปด้วยคุณสมบัติของความเป็น "ตัวแทน 3 ประการ" ย่อมสามารถพัฒนาเติบใหญ่บนเวทีการเมืองในประเทศและระดับโลกได้
ทั้งนี้ ด้วยคุณสมบัติ "ตัวแทน 3 ประการ" (ดังที่ได้นำเสนอไว้ในบทที่ 17) กำหนดให้พรรคเหนือทุนเป็นพรรคการเมืองที่ "ปลอดอัตตา" คือไม่ยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ถือตัวเองเป็นตัวตั้งแต่มองตนเองเป็นเพียง "เหตุปัจจัย" หนึ่งของการขับเคลื่อนของสังคมมนุษย์ ที่ดำเนินไปในรูปของ "กระแส" แห่งการพัฒนาของพลังการผลิต ในท่ามกลางการปรับเปลี่ยนตัวเองของความสัมพันธ์ทางการผลิต ที่แสดงตัวออกมาในรูปของระบบโครงสร้างกลไกที่ยึดโยงเกี่ยวก้อย ผลักไส ซึ่งกันและกันไปทั่วทั้งสังคมอย่างเป็นพลวัต
ซึ่งในขั้นตอนการพัฒนาของสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบัน พรรคเหนือทุนมีสถานภาพของความเป็น "เหตุปัจจัยแกน" ทำหน้าที่บริหารจัดการเหตุปัจจัยอื่นๆ ของสังคม (อย่างเป็นวิทยาศาสตร์และมีศิลปะ) ให้สามารถแสดงบทบาทและประสิทธิภาพสูงสุด เกิดเป็นพลังระเบิดใหญ่ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของสังคมให้โลดแล่นไปสู่อนาคตได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่น และยาวนาน เพื่อบรรลุสู่สังคมอุดมการณ์ที่มวลมนุษย์พัฒนาตนเองได้อย่างรอบด้าน ปลดปล่อยตนเองพ้นจากความไม่รู้ ความโง่เขลา มีอิสรภาพรอบด้านสมฐานะแห่งความเป็น "คน" อย่างแท้จริง
ดังกรณีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่กำลังเป็นไปท่ามกลางกระบวนการขับเคลื่อนของสังคมจีนและสังคมโลกที่เชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ พรรคเหนือทุนจึงเลือกที่จะพัฒนาแนวคิดของตนบนพื้นฐานของความเป็นจริง ยึดมั่นในแนวคิด วิธีคิดที่ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" ถือเอาการหาสัจจะจากความเป็นจริงเป็นภารกิจพื้นฐานในการดำเนินการเคลื่อนไหวปฏิบัติทางการเมืองและการบริหารประเทศ
อีกนัยหนึ่ง การเคลื่อนไหวทางการเมืองและการบริหารประเทศของพรรคเหนือทุน ที่มีคุณสมบัติเป็น "ตัวแทน 3 ประการ" จะสามารถดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องกับกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคม ซึ่งเป็นความจริงระดับ "ธรรม" ที่ดำรงอยู่ในรูปของ "กระแส" มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมออย่างเป็นพลวัต
จะเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิด วิธีคิด เป็นวิทยาศาสตร์ มีวิสัยทัศน์ยาวไกล สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของสังคมมนุษย์โดยรวม สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีทางการเมืองและการบริหารประเทศในแต่ละขั้น ได้อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของสภาวะเป็นจริง สร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง และยาวนาน
ดังกรณีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (และพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม)ที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ ดำเนินการปฏิรูประบบ โครงสร้างและกลไก เพื่อเปิดทางให้แก่การพัฒนาพลังการผลิตของสังคม
พรรคเหนือทุนในโลก
"ตัวแทน 3 ประการ" เป็นผลสรุปจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติและบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน บนเนื้อดินแห่งอารยธรรมเอเชียโบราณ แม้ปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมนิยมแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำ คือเป็น "สังคมนิยมขั้นปฐม"
กระนั้นก็ตาม หลักการสำคัญของ "ตัวแทน 3 ประการ" มีลักษณะ "สากล" พอที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับพรรคการเมืองเหนือทุนทั่วไป ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา
สามารถอธิบายการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม และพรรคสังคมประชาธิปไตย ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง
อีกนัยหนึ่ง ด้วยหลักทฤษฎี "ตัวแทน 3 ประการ" (หรือ "3 ตัวแทน") นี้ ทำให้เราสามารถประมวลกระบวนการพัฒนาของพรรคเหนือทุนในขอบเขตทั้งโลกได้ สามารถแยกแยะระดับความเป็นพรรคเหนือทุนของพรรคต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงเป็นครั้งแรก
ด้วยทฤษฎีนี้ ทำให้เรา "ตาสว่าง" มองเห็นกระบวนการพัฒนาของพรรคเหนือทุนทั้งโลกเป็นครั้งแรก ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ไม่เพียงเห็นพรรคปฏิวัติที่เดินแนวทางปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ (ตามสภาวะกำหนดของ "ลักษณะยุคสมัย" ของโลก และ "สภาวะเป็นจริง" ของประเทศตน) เช่น พรรคบอลเชวิคของรัสเซียในต้นศตวรรษที่ 20 และพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกลางศตวรรษที่ 20 เท่านั้น แต่ยังเห็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น พรรคสังคมนิยมและสังคมประชาธิปไตยที่เดินแนวทางรัฐสภาในประเทศยุโรป และพรรคการเมืองเกิดใหม่ในประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศโลกที่สามจำนวนมาก ที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในท่ามกลางกระแสครอบงำของกลุ่มทุนข้ามชาติอย่างยืดเยื้อยาวนานอีกด้วย
เมื่อใช้หลัก "ตัวแทน 3 ประการ" เป็นมาตรฐานวัด ในบริบทของสังคมโลกที่เชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน และลักษณะยุคสมัยของสังคมโลก ("สันติภาพและการพัฒนา") ก็ไม่ยากที่จะมองเห็นว่า พรรคการเมืองเหล่านี้ สามารถเชื่อมประสานกัน ร่วมกันขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพและพัฒนาในระดับโลกได้อย่างเป็นจริง
ก้าวไปบนเส้นทางแห่งการเป็น "พรรคเหนือทุน" พร้อมกันทั้งโลก
ต่างคนต่างเดินบนฐานร่วม "ตัวแทน 3 ประการ"
โดยภาพรวม พรรคการเมืองเหนือทุนเหล่านั้น แม้ภารกิจรูปธรรมจะแตกต่างกัน ระดับความเข้มข้นของความคิดทฤษฎีจะแตกต่างกัน แต่ก็มีความเป็นหนึ่งเดียวกันบนฐานของความเป็น "ตัวแทน 3 ประการ"
นั่นคือ ทุกพรรคล้วนหันหน้าเข้าหาประชาชน ถือเอาประชาชนเป็นหัวใจ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน เชื่อมั่นในพลังมวลชน เสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชน นำเสนอแนวทางนโยบาย และดำเนินการปฏิรูประบบโครงสร้างกลไกให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาพลังการผลิตภายในกรอบ กฎกติกาที่ประชาชนยอมรับ
โดยทั่วไปแล้ว พรรคเช่นนี้มักจะได้รับการสนับสนุนจากมวลประชามหาชนอย่างกว้างขวาง มีโอกาสได้รับชัยชนะในสนามเลือกตั้งเสมอ
ความเพลี่ยงพล้ำต่อพรรคกลุ่มทุนบนเวทีการเมือง หลักๆ มาจากความ "ไม่รู้" สืบเนื่องจากไม่ยึดมั่นในความเป็น "ตัวแทน 3 ประการ" ไม่ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" จึงไม่สามารถสร้างและรักษาศรัทธาในหมู่ประชาชน
เมื่อใดที่หันกลับมายืนอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง ก้าวขึ้นสู่ความเป็นพรรคแนวหน้าอีกครั้งหนึ่ง
ในกลุ่มประเทศยุโรปที่พัฒนาแล้วจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เช่น สวีเดน เดนมาร์ก เป็นต้น พรรคสังคมประชาธิปไตยเคยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลบริหารประเทศหลายสมัย ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม และพรรคสังคมประชาธิปไตยในประเทศอื่นๆ ก็มีโอกาสเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศหลายครั้งหลายหน ผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนได้เป็นผลสำเร็จในหลายๆด้าน
แม้ปัจจุบัน พรรคเหล่านั้นจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงรักษาฐานเสียงของตนไว้ได้ในระดับที่แน่นอน
ณ วันนี้ มองอย่างเชื่อมโยงในระดับบูรณาการ การ "ผงาดขึ้น" ของประเทศจีน อันสืบเนื่องจากการบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ย่อมเป็น "เหตุปัจจัย" สำคัญที่จะกระตุ้นให้พรรคการเมืองเหนือทุนลักษณะต่างๆ ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เกิดความกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก
จึงคาดหมายได้ว่า หากพรรคการเมืองเหนือทุนเหล่านั้น นำหลักทฤษฎี "สามตัวแทน" ไปประยุกต์ใช้กับตนเอง พัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นพรรค "ตัวแทน 3 ประการ" ได้อย่างเป็นจริง กระแสการเคลื่อนไหวของพรรคเหนือทุนทั้งโลกก็จะหมุนเกลียวเชี่ยวกรากขึ้นมาอีกครั้ง กลับมาเป็นฝ่ายรุกในขอบเขตทั่วโลกอีกครั้ง
เมื่อนั้น จังหวะก้าวของพัฒนาการสังคมโลกก็จะเร็วและกระชั้นถี่ขึ้นอีกครั้ง ตีคู่กับการขยายตัวของลัทธิบริโภคในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์
พรรคเหนือทุนในประเทศไทย
มาถึงจุดนี้ ก็ต้องขอเรียนกับท่านผู้อ่านตรงๆ ว่า ผู้เขียนไม่อาจ "หยุด" การนำเสนอเรื่องพรรคเหนือทุนไว้เพียงระดับโลกแล้ว จำเป็นต้อง "วก" เข้าหาตัวเราเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นั่นคือ ไม่เพียงแต่พยายาม "เชื่อมโยง" พรรคการเมืองเหนือทุนในโลกเข้าด้วยกัน บนฐานของความเป็น "ตัวแทน 3 ประการ" แล้วเท่านั้น แต่ยังจะบอกกับท่านผู้อ่านทั้งหลายด้วยว่า พรรคการเมืองไทยทุกพรรค มีโอกาสพัฒนาตนเองขึ้นสู่ความเป็นพรรคเหนือทุนได้เช่นเดียวกัน หากสามารถนำเอาหลักทฤษฎี "สามตัวแทน" ชี้นำการปฏิบัติของตนได้อย่างเป็นจริง ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังเช่นกรณีของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
เพียงแต่สามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นพรรคเหนือทุนในระดับ "พื้นฐาน" หลักๆ ก็คือ ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางดำเนินการปฏิรูประบบโครงสร้างกลไกต่างๆ ให้เอื้อต่อการพัฒนาพลังการผลิตของสังคม ชักนำให้สังคมไทยก้าวเดินไปบนเส้นทางของวัฒนธรรมที่ก้าวหน้าเป็นสังคมความรู้ ประชาชนมีสิทธิประชาธิปไตย มีหลักประกันในชีวิตทรัพย์สิน และอนาคตการงาน มีการศึกษา เกิดความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่อำนวยให้เด็กๆ และเยาวชนไทยพัฒนาร่างกายและจิตใจได้อย่างรอบด้าน มีค่านิยมที่ดี ใฝ่ดีใฝ่สูง มุ่งสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมไปพร้อมๆ กับพัฒนาความก้าวหน้าของตนเอง ฯลฯ
บนเส้นทางดังกล่าว จึงเป็นไปได้ที่จะมีทั้งพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน
พรรคเหนือทุนไทย "ตัวแท้"
ด้วยเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ในห้วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา พรรคเหนือทุนในรูปของพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ ทั้งในโลกทุนนิยมและสังคมนิยม ต่างพากันเวียนว่ายอยู่ในท่ามกลางกระบวนการขับเคลื่อนของสังคมโลกที่ดำเนินไปอย่างยอกย้อนวกวน
สืบเนื่องจากการพัฒนาที่ขาดแหว่ง และไม่สมดุลอย่างยิ่ง ระหว่างประเทศอุตสาหกรรมพัฒนาแล้วกับประเทศเกษตรกรรมด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา
พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นในท่ามกลาง "กระแสวน" ดังกล่าว ในขั้วหนึ่ง คือพรรคการเมืองกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศอุตสาหกรรมสามารถดำเนินการบริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง และอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ในอีกขั้วหนึ่ง พรรคการเมืองในดินแดนด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา ต่างพากันล้มลุกคลุกคลาน พรรคตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุนและกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นจำนวนมากต้องถูกบีบคั้นด้วยอำนาจอิทธิพลของมหาอำนาจต่างชาติ เป็นเหตุให้มีการก่อตั้งพรรค "ปฏิวัติ" นำประชาชนต่อสู้ ต่อต้านการครอบงำของอิทธิพลมหาอำนาจต่างชาติอยู่ทั่วไป
พรรคปฏิวัติที่นำประชาชนต่อสู้จนได้รับชัยชนะ ที่เด่นๆ ก็เช่นพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นมาเป็นพรรคบริหารประเทศ ในระบอบสังคมนิยม
ในประเทศไทย ได้มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ นำประชาชนไทยต่อสู้ ต่อต้านอำนาจครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากสภาวะสังคมไทยแตกต่างจากจีนกับเวียดนามอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้การเคลื่อนไหวปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยไม่เกิดผล เหมือนดังเช่นที่เป็นไปในจีนและเวียดนาม
มาบัดนี้ ในสภาวะที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ชาวโลกต้องการสันติภาพและการพัฒนา แม้ประชาชนไทยไม่พร้อมสำหรับการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงด้วยความรุนแรง แต่ก็เรียกร้องต้องการการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างรอบด้าน ในทันที
ในทางการเมืองก็คือ ประชาชนไทยต้องการพรรคการเมือง ที่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตนได้อย่างแท้จริงขึ้นเป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศ
ดังนั้น หากพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่พัฒนาตนเองขึ้นสู่ความเป็นพรรคเหนือทุน ประชาชนไทย (โดยกลุ่มบุคคลที่ถือตนเองเป็นแกนหรือกองหน้าของประชาชน) ก็จำเป็นต้องตั้งพรรคการเมืองที่เป็นพรรคเหนือทุนอย่างแท้จริง ขึ้นมารองรับความเรียกร้องต้องการของประชาชนไทยในที่สุด
ไม่ช้าก็เร็ว
พรรคการเมืองใดที่ประกอบไปด้วยคุณสมบัติของความเป็น "ตัวแทน 3 ประการ" ย่อมสามารถพัฒนาเติบใหญ่บนเวทีการเมืองในประเทศและระดับโลกได้
ทั้งนี้ ด้วยคุณสมบัติ "ตัวแทน 3 ประการ" (ดังที่ได้นำเสนอไว้ในบทที่ 17) กำหนดให้พรรคเหนือทุนเป็นพรรคการเมืองที่ "ปลอดอัตตา" คือไม่ยึดเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ไม่ถือตัวเองเป็นตัวตั้งแต่มองตนเองเป็นเพียง "เหตุปัจจัย" หนึ่งของการขับเคลื่อนของสังคมมนุษย์ ที่ดำเนินไปในรูปของ "กระแส" แห่งการพัฒนาของพลังการผลิต ในท่ามกลางการปรับเปลี่ยนตัวเองของความสัมพันธ์ทางการผลิต ที่แสดงตัวออกมาในรูปของระบบโครงสร้างกลไกที่ยึดโยงเกี่ยวก้อย ผลักไส ซึ่งกันและกันไปทั่วทั้งสังคมอย่างเป็นพลวัต
ซึ่งในขั้นตอนการพัฒนาของสังคมมนุษย์ยุคปัจจุบัน พรรคเหนือทุนมีสถานภาพของความเป็น "เหตุปัจจัยแกน" ทำหน้าที่บริหารจัดการเหตุปัจจัยอื่นๆ ของสังคม (อย่างเป็นวิทยาศาสตร์และมีศิลปะ) ให้สามารถแสดงบทบาทและประสิทธิภาพสูงสุด เกิดเป็นพลังระเบิดใหญ่ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของสังคมให้โลดแล่นไปสู่อนาคตได้อย่างรวดเร็ว ราบรื่น และยาวนาน เพื่อบรรลุสู่สังคมอุดมการณ์ที่มวลมนุษย์พัฒนาตนเองได้อย่างรอบด้าน ปลดปล่อยตนเองพ้นจากความไม่รู้ ความโง่เขลา มีอิสรภาพรอบด้านสมฐานะแห่งความเป็น "คน" อย่างแท้จริง
ดังกรณีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่กำลังเป็นไปท่ามกลางกระบวนการขับเคลื่อนของสังคมจีนและสังคมโลกที่เชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ พรรคเหนือทุนจึงเลือกที่จะพัฒนาแนวคิดของตนบนพื้นฐานของความเป็นจริง ยึดมั่นในแนวคิด วิธีคิดที่ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" ถือเอาการหาสัจจะจากความเป็นจริงเป็นภารกิจพื้นฐานในการดำเนินการเคลื่อนไหวปฏิบัติทางการเมืองและการบริหารประเทศ
อีกนัยหนึ่ง การเคลื่อนไหวทางการเมืองและการบริหารประเทศของพรรคเหนือทุน ที่มีคุณสมบัติเป็น "ตัวแทน 3 ประการ" จะสามารถดำเนินไปได้อย่างสอดคล้องกับกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคม ซึ่งเป็นความจริงระดับ "ธรรม" ที่ดำรงอยู่ในรูปของ "กระแส" มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมออย่างเป็นพลวัต
จะเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิด วิธีคิด เป็นวิทยาศาสตร์ มีวิสัยทัศน์ยาวไกล สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของสังคมมนุษย์โดยรวม สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีทางการเมืองและการบริหารประเทศในแต่ละขั้น ได้อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของสภาวะเป็นจริง สร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง และยาวนาน
ดังกรณีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (และพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม)ที่ใช้อำนาจบริหารประเทศ ดำเนินการปฏิรูประบบ โครงสร้างและกลไก เพื่อเปิดทางให้แก่การพัฒนาพลังการผลิตของสังคม
พรรคเหนือทุนในโลก
"ตัวแทน 3 ประการ" เป็นผลสรุปจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติและบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน บนเนื้อดินแห่งอารยธรรมเอเชียโบราณ แม้ปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมนิยมแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในระดับต่ำ คือเป็น "สังคมนิยมขั้นปฐม"
กระนั้นก็ตาม หลักการสำคัญของ "ตัวแทน 3 ประการ" มีลักษณะ "สากล" พอที่จะนำไปประยุกต์ใช้กับพรรคการเมืองเหนือทุนทั่วไป ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา
สามารถอธิบายการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม และพรรคสังคมประชาธิปไตย ทั้งในอดีตและปัจจุบันได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง
อีกนัยหนึ่ง ด้วยหลักทฤษฎี "ตัวแทน 3 ประการ" (หรือ "3 ตัวแทน") นี้ ทำให้เราสามารถประมวลกระบวนการพัฒนาของพรรคเหนือทุนในขอบเขตทั้งโลกได้ สามารถแยกแยะระดับความเป็นพรรคเหนือทุนของพรรคต่างๆ เหล่านั้นได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริงเป็นครั้งแรก
ด้วยทฤษฎีนี้ ทำให้เรา "ตาสว่าง" มองเห็นกระบวนการพัฒนาของพรรคเหนือทุนทั้งโลกเป็นครั้งแรก ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ไม่เพียงเห็นพรรคปฏิวัติที่เดินแนวทางปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ (ตามสภาวะกำหนดของ "ลักษณะยุคสมัย" ของโลก และ "สภาวะเป็นจริง" ของประเทศตน) เช่น พรรคบอลเชวิคของรัสเซียในต้นศตวรรษที่ 20 และพรรคคอมมิวนิสต์จีนในกลางศตวรรษที่ 20 เท่านั้น แต่ยังเห็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เช่น พรรคสังคมนิยมและสังคมประชาธิปไตยที่เดินแนวทางรัฐสภาในประเทศยุโรป และพรรคการเมืองเกิดใหม่ในประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศโลกที่สามจำนวนมาก ที่ดำผุดดำว่ายอยู่ในท่ามกลางกระแสครอบงำของกลุ่มทุนข้ามชาติอย่างยืดเยื้อยาวนานอีกด้วย
เมื่อใช้หลัก "ตัวแทน 3 ประการ" เป็นมาตรฐานวัด ในบริบทของสังคมโลกที่เชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน และลักษณะยุคสมัยของสังคมโลก ("สันติภาพและการพัฒนา") ก็ไม่ยากที่จะมองเห็นว่า พรรคการเมืองเหล่านี้ สามารถเชื่อมประสานกัน ร่วมกันขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพและพัฒนาในระดับโลกได้อย่างเป็นจริง
ก้าวไปบนเส้นทางแห่งการเป็น "พรรคเหนือทุน" พร้อมกันทั้งโลก
ต่างคนต่างเดินบนฐานร่วม "ตัวแทน 3 ประการ"
โดยภาพรวม พรรคการเมืองเหนือทุนเหล่านั้น แม้ภารกิจรูปธรรมจะแตกต่างกัน ระดับความเข้มข้นของความคิดทฤษฎีจะแตกต่างกัน แต่ก็มีความเป็นหนึ่งเดียวกันบนฐานของความเป็น "ตัวแทน 3 ประการ"
นั่นคือ ทุกพรรคล้วนหันหน้าเข้าหาประชาชน ถือเอาประชาชนเป็นหัวใจ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน เชื่อมั่นในพลังมวลชน เสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นในหมู่ประชาชน นำเสนอแนวทางนโยบาย และดำเนินการปฏิรูประบบโครงสร้างกลไกให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาพลังการผลิตภายในกรอบ กฎกติกาที่ประชาชนยอมรับ
โดยทั่วไปแล้ว พรรคเช่นนี้มักจะได้รับการสนับสนุนจากมวลประชามหาชนอย่างกว้างขวาง มีโอกาสได้รับชัยชนะในสนามเลือกตั้งเสมอ
ความเพลี่ยงพล้ำต่อพรรคกลุ่มทุนบนเวทีการเมือง หลักๆ มาจากความ "ไม่รู้" สืบเนื่องจากไม่ยึดมั่นในความเป็น "ตัวแทน 3 ประการ" ไม่ "หาสัจจะจากความเป็นจริง" จึงไม่สามารถสร้างและรักษาศรัทธาในหมู่ประชาชน
เมื่อใดที่หันกลับมายืนอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่ง ก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนอย่างกว้างขวาง ก้าวขึ้นสู่ความเป็นพรรคแนวหน้าอีกครั้งหนึ่ง
ในกลุ่มประเทศยุโรปที่พัฒนาแล้วจำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เช่น สวีเดน เดนมาร์ก เป็นต้น พรรคสังคมประชาธิปไตยเคยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง เป็นรัฐบาลบริหารประเทศหลายสมัย ขณะที่พรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม และพรรคสังคมประชาธิปไตยในประเทศอื่นๆ ก็มีโอกาสเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศหลายครั้งหลายหน ผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนได้เป็นผลสำเร็จในหลายๆด้าน
แม้ปัจจุบัน พรรคเหล่านั้นจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยังคงรักษาฐานเสียงของตนไว้ได้ในระดับที่แน่นอน
ณ วันนี้ มองอย่างเชื่อมโยงในระดับบูรณาการ การ "ผงาดขึ้น" ของประเทศจีน อันสืบเนื่องจากการบริหารประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ย่อมเป็น "เหตุปัจจัย" สำคัญที่จะกระตุ้นให้พรรคการเมืองเหนือทุนลักษณะต่างๆ ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เกิดความกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีก
จึงคาดหมายได้ว่า หากพรรคการเมืองเหนือทุนเหล่านั้น นำหลักทฤษฎี "สามตัวแทน" ไปประยุกต์ใช้กับตนเอง พัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นพรรค "ตัวแทน 3 ประการ" ได้อย่างเป็นจริง กระแสการเคลื่อนไหวของพรรคเหนือทุนทั้งโลกก็จะหมุนเกลียวเชี่ยวกรากขึ้นมาอีกครั้ง กลับมาเป็นฝ่ายรุกในขอบเขตทั่วโลกอีกครั้ง
เมื่อนั้น จังหวะก้าวของพัฒนาการสังคมโลกก็จะเร็วและกระชั้นถี่ขึ้นอีกครั้ง ตีคู่กับการขยายตัวของลัทธิบริโภคในท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์
พรรคเหนือทุนในประเทศไทย
มาถึงจุดนี้ ก็ต้องขอเรียนกับท่านผู้อ่านตรงๆ ว่า ผู้เขียนไม่อาจ "หยุด" การนำเสนอเรื่องพรรคเหนือทุนไว้เพียงระดับโลกแล้ว จำเป็นต้อง "วก" เข้าหาตัวเราเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นั่นคือ ไม่เพียงแต่พยายาม "เชื่อมโยง" พรรคการเมืองเหนือทุนในโลกเข้าด้วยกัน บนฐานของความเป็น "ตัวแทน 3 ประการ" แล้วเท่านั้น แต่ยังจะบอกกับท่านผู้อ่านทั้งหลายด้วยว่า พรรคการเมืองไทยทุกพรรค มีโอกาสพัฒนาตนเองขึ้นสู่ความเป็นพรรคเหนือทุนได้เช่นเดียวกัน หากสามารถนำเอาหลักทฤษฎี "สามตัวแทน" ชี้นำการปฏิบัติของตนได้อย่างเป็นจริง ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ดังเช่นกรณีของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม
เพียงแต่สามารถเดินไปบนเส้นทางแห่งความเป็นพรรคเหนือทุนในระดับ "พื้นฐาน" หลักๆ ก็คือ ถือเอาประชาชนเป็นศูนย์กลางดำเนินการปฏิรูประบบโครงสร้างกลไกต่างๆ ให้เอื้อต่อการพัฒนาพลังการผลิตของสังคม ชักนำให้สังคมไทยก้าวเดินไปบนเส้นทางของวัฒนธรรมที่ก้าวหน้าเป็นสังคมความรู้ ประชาชนมีสิทธิประชาธิปไตย มีหลักประกันในชีวิตทรัพย์สิน และอนาคตการงาน มีการศึกษา เกิดความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่อำนวยให้เด็กๆ และเยาวชนไทยพัฒนาร่างกายและจิตใจได้อย่างรอบด้าน มีค่านิยมที่ดี ใฝ่ดีใฝ่สูง มุ่งสร้างประโยชน์แก่ส่วนรวมไปพร้อมๆ กับพัฒนาความก้าวหน้าของตนเอง ฯลฯ
บนเส้นทางดังกล่าว จึงเป็นไปได้ที่จะมีทั้งพรรคไทยรักไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน
พรรคเหนือทุนไทย "ตัวแท้"
ด้วยเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ในห้วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา พรรคเหนือทุนในรูปของพรรคคอมมิวนิสต์ พรรคสังคมนิยม พรรคสังคมประชาธิปไตย และพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ ทั้งในโลกทุนนิยมและสังคมนิยม ต่างพากันเวียนว่ายอยู่ในท่ามกลางกระบวนการขับเคลื่อนของสังคมโลกที่ดำเนินไปอย่างยอกย้อนวกวน
สืบเนื่องจากการพัฒนาที่ขาดแหว่ง และไม่สมดุลอย่างยิ่ง ระหว่างประเทศอุตสาหกรรมพัฒนาแล้วกับประเทศเกษตรกรรมด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา
พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นในท่ามกลาง "กระแสวน" ดังกล่าว ในขั้วหนึ่ง คือพรรคการเมืองกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศอุตสาหกรรมสามารถดำเนินการบริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง และอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ในอีกขั้วหนึ่ง พรรคการเมืองในดินแดนด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนา ต่างพากันล้มลุกคลุกคลาน พรรคตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุนและกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่นจำนวนมากต้องถูกบีบคั้นด้วยอำนาจอิทธิพลของมหาอำนาจต่างชาติ เป็นเหตุให้มีการก่อตั้งพรรค "ปฏิวัติ" นำประชาชนต่อสู้ ต่อต้านการครอบงำของอิทธิพลมหาอำนาจต่างชาติอยู่ทั่วไป
พรรคปฏิวัติที่นำประชาชนต่อสู้จนได้รับชัยชนะ ที่เด่นๆ ก็เช่นพรรคคอมมิวนิสต์จีน และพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาขึ้นมาเป็นพรรคบริหารประเทศ ในระบอบสังคมนิยม
ในประเทศไทย ได้มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ นำประชาชนไทยต่อสู้ ต่อต้านอำนาจครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากสภาวะสังคมไทยแตกต่างจากจีนกับเวียดนามอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้การเคลื่อนไหวปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยไม่เกิดผล เหมือนดังเช่นที่เป็นไปในจีนและเวียดนาม
มาบัดนี้ ในสภาวะที่สังคมโลกเชื่อมโยงเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ชาวโลกต้องการสันติภาพและการพัฒนา แม้ประชาชนไทยไม่พร้อมสำหรับการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงด้วยความรุนแรง แต่ก็เรียกร้องต้องการการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างรอบด้าน ในทันที
ในทางการเมืองก็คือ ประชาชนไทยต้องการพรรคการเมือง ที่สามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของตนได้อย่างแท้จริงขึ้นเป็นรัฐบาลใช้อำนาจบริหารประเทศ
ดังนั้น หากพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่พัฒนาตนเองขึ้นสู่ความเป็นพรรคเหนือทุน ประชาชนไทย (โดยกลุ่มบุคคลที่ถือตนเองเป็นแกนหรือกองหน้าของประชาชน) ก็จำเป็นต้องตั้งพรรคการเมืองที่เป็นพรรคเหนือทุนอย่างแท้จริง ขึ้นมารองรับความเรียกร้องต้องการของประชาชนไทยในที่สุด
ไม่ช้าก็เร็ว