สัปปุริสธรรม 7 เป็นธรรมของสัตบุรุษ, ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ, คุณสมบัติของคนดี, ธรรมของผู้ดี ที่เหมาะกับนักการเมืองอย่างยิ่งมี 7 ประการ ได้แก่
1. ธัมมัญญุตา ความรู้จักเหตุ คือรู้หลักความจริง, รู้หลักการ, รู้หลักเกณฑ์, รู้กฎแห่งธรรมดา, รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้หลักที่จะทำให้เกิดผล เช่น นักการเมือง นักปกครองจะต้องรู้อย่างถูกต้องว่าระบอบการเมืองใช้การปกครองเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าไม่เป็นธรรมต่อคนทั้งแผ่นดินจะทำอย่างไร, สภาพการณ์ทางการเมืองปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร, นโยบายอันดับแรกควรจะอย่างไร, และจะต้องเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ธรรมเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง เพราะธรรมมีความยุติธรรมต่อสรรพสิ่ง ธรรมจึงเป็นเหตุของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะสัตว์ทั้งหลายนับแต่สัตว์เซลล์เดียวต่างก็วิวัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป และลักษณะก้าวกระโดดเพื่อไปสู่บรมธรรม
ในทางการเมือง ระบอบการเมืองเป็นศูนย์ของสรรพสัตว์ในประเทศนั้นๆ ถ้าระบอบไม่มีธรรม ระบอบการเมืองเป็นมิจฉาทิฐิ จึงเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงในแผ่นดิน แต่พรรคการเมืองไม่รู้ มองไม่ออก อย่างนี้ก็จะนำพาประเทศชาติล่มจม เพราะคนในชาติตั้งตนอยู่ในความประมาท โดยเฉพาะสถาบันหลักของชาติปล่อยให้พวกไม่ประสาทางการเมือง ใช้อำนาจเงินมาต่ออำนาจทางการเมือง ตั้งกลุ่มเกาะกุมแทะเล็มประเทศชาติ สถาบันหลักของชาติได้แต่นั่งตาปริบๆ
ประชาชนทั้งหลาย ในชีวิตหนึ่งควรจะได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกระบวนการเรียนรู้วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้แจ้งเห็นจริงถึงกฎธรรมชาติในหลายๆ มิติ จะได้มีปัญญารู้แจ้งชัดรู้เท่าทัน มีคุณธรรมที่สูงส่ง เป็นพลังของประเทศชาติในการสร้างสรรค์ระบอบการเมืองให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพื่อความรุ่งเรือง มั่นคงอย่างยั่งยืน
2. อัตถัญญุตา ความรู้จักผล คือความรู้จักอรรถ รู้ความหมาย ความมุ่งหมาย เช่น รู้ว่าปฏิบัติข้อนี้ ผลจะได้อย่างไร หรือรู้ว่าธรรมเป็นเหตุแห่งความดี ผลหรืออรรถ ก็จะดีด้วย ผลย่อมเป็นผลผลิตของเหตุ หรือผลย่อมขึ้นต่อเหตุเสมอไป
ในทางการเมือง ถ้าคนในสังคมยังเต็มไปด้วยการเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบข่มขี่ ข่มเหงรังแกกัน ผู้ได้เปรียบอย่างมากแล้วก็คิดจะเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา คนในสังคมต่างก็มีอาชีพที่ทุจริต, มีอาชีพในทางอบายมุข คอร์รัปชันทุกระดับ ทุกแวดวงเต็มบ้านเต็มเมือง อาชีพโสเภณีกระฉ่อนโลก โรคเอดส์กระฉ่อนเมือง คนในสังคมถูกมอมเมาด้วยยาเสพติดสารพัด เยาวชนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร พระสงฆ์องคเจ้าสอนจริยธรรมคุณธรรมไม่ได้ผล ยิ่งสอนบ้านเมืองยิ่งเสื่อมทราม ฯลฯ เมืองไทยทุกวันนี้เป็นนรกไปแล้ว นี่คือผลที่เกิดจากระบอบการเมืองที่เลว ที่เป็นมิจฉาทิฐิที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยทั่วไป แต่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลแก่คนส่วนน้อยไม่กี่ตระกูลที่มีทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางการเมือง
3. อัตตัญญุตา ความรู้จักตน คือรู้ว่าเรานั้นว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม บัดนี้เป็นอย่างไรแล้ว ประพฤติเหมาะสม และรู้ที่จะปรับปรุงต่อไปให้ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะได้บรรลุธรรม
ในทางการเมือง นักการเมือง พรรคการเมืองท่านมีความรู้ชัดเจนแล้วหรือยัง ว่าท่านเป็นนักการเมืองในระบอบใด ท่านลงทุนทางการเมือง ท่านใช้เงินในการซื้อเสียงอย่างมโหฬาร ท่านทำไปทำไม ท่านเคยคิดไหมว่าท่านยิ่งปกครองบ้านเมืองยิ่งล่มจม ท่านเคยคิดกันไหมว่ายิ่งเลือกตั้งคนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลงเพราะอะไร? ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าท่านอยู่ในระบอบการเมืองที่ทำร้ายประเทศชาติ โดยท่านจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
4. มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณ คือรู้จักความพอดี เช่น ภิกษุรู้จักประมาณในการรับและบริโภคปัจจัยสี่ คฤหัสถ์รู้จักประมาณในการใช้จ่ายโภคทรัพย์ รัฐบาลรู้จักประมาณในการเก็บภาษีและบริหารการจัดการ
ในทางการเมือง รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากกระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลวง เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนน้อย มีผลประโยชน์ทับซ้อนตามมามากมาย ท่านเคยวิเคราะห์กันบ้างไหมว่าความสมดุลระหว่างเมืองกับชนบทควรจะเป็นอย่างไร ความสมดุลระหว่างภาคเกษตรกับอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ความสมดุลระหว่างวัตถุกับคุณธรรมทางจิตใจเป็นอย่างไร ฯลฯ
5. กาลัญญุตา ความรู้จักกาล คือรู้กาลอันเหมาะสม และระยะเวลาที่ใช้ในการประกอบกิจ การทำหน้าที่การงาน เช่น ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา เป็นต้น
ในทางการเมือง กาลปัจจุบันประเทศชาติกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความประมาท เพราะเรามีระบอบการเมืองที่เป็นมิจฉาทิฐิ ที่ไม่มีความยุติธรรมให้แก่คนในแผ่นดิน นักการเมืองทั้งหลายจะใช้โอกาสของท่านในทางการเมืองเพื่อแสวงหาความร่ำรวย บนความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ หรือจะใช้โอกาสนั้นเพื่อแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ อันเป็นปมเงื่อนของปัญหาทั้งปวง
6. ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท คือรู้จักชุมชน และรู้จักที่ประชุม รู้กริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆ ว่า ชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนี้ควรสงเคราะห์อย่างนี้ เป็นต้น
ในทางการเมือง นักการเมืองทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักกายภาพของประเทศชาติในหลายๆ มิติ เช่น ต้องรู้ว่าชาวนา เกษตรกรและกรรมกรทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอาชีพที่เสียเปรียบในทุกทางอยู่แล้ว พวกเขาเสียโอกาสทางการเมือง มีไหมท่านจะช่วยให้พวกเขามีโอกาสบ้างอย่างไร เปิดโอกาสให้เขาต่อสู้ทางการเมือง เปิดโอกาสให้เขามีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง จะทำอย่างไรให้เพื่อนร่วมชาติมีความเสมอภาคทางโอกาสเหมือนๆ กัน
7. ปุคคลัญญุตา ความรู้จักบุคคล คือความรู้จักบุคคล คือความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ใครๆ ยิ่งหรือหย่อนอย่างไร และรู้ที่จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นๆ ด้วยดี ว่าควรจะคบหรือไม่ จะขอความร่วมมือ จะเสนอแนะ จะตำหนิ จะยกย่อง และแนะนำสั่งสอนอย่างไร เป็นต้น
ในทางการเมือง ในเมื่อท่านเป็นนักการเมือง ท่านรู้จักประเทศของท่านดีหรือยัง ท่านนับถือศาสนาอะไร? ท่านเคยเรียนรู้บ้างไหมว่าหลักพระธรรมคำสอนนั้นมีคุณค่าอย่างไร? ท่านคิดจะเจริญรอยตามพระศาสดาบ้างหรือไม่? ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าสถาบันพระศาสนานั้นมีความสำคัญอย่างไร? ท่านสามารถนำหลักธรรมคำสอนมาเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนได้หรือไม่? ท่านจะเป็นศาสนิกชนที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนได้หรือไม่ และท่านมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์องค์เหนือหัวเพียงไร? คิดจะศึกษาเพื่อที่จะเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทบ้างหรือยัง
เขียนให้ข้อคิดสติเตือนใจผู้ที่ประกาศตนเป็นนักการเมือง รวมกลุ่มกันเป็นพรรคการเมืองได้ตระหนักกันบ้าง เป็นนักการเมืองต้องรู้สัจธรรม เพื่อใช้ธรรมะนำการเมือง จะได้เดินในวิถีการเมืองได้อย่างถูกต้อง แต่สภาพการณ์ทุกวันนี้ผู้นำทางการเมืองไม่มีความรู้ทางการเมืองอย่างรอบด้าน ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักประเทศของตนเอง
เมื่อได้พิจารณานโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงรณรงค์เลือกตั้งระดับชาติ โดยเฉพาะ พรรคการเมืองใหญ่ ล้วนมีนโยบายเหมือนกับบริหารเทศบาล หรือการเมืองท้องถิ่น เพราะพรรคเหล่านั้นล้วนคิดจะทำโน่นทำนี่ เช่น ทำถนน, รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าใต้ดิน, การศึกษา, สังคม เป็นต้น รวมความแล้วเป็นการคิดแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ล้วนแต่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า และเป็นปัญหาปลายเหตุที่เกิดจากระบอบมิจฉาทิฐิทั้งสิ้น
ส่วนพรรคการเมืองเล็ก แม้ท่านจะเจตนาดี แต่เหล่าพรรคเล็กก็ไม่รู้เอาเสียเลยว่าโอกาสทางการเมืองในระบอบปัจจุบันนี้ไม่เอื้อโอกาสให้แก่ท่านเลย อุปมา เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เพราะระบอบปัจจุบันเป็นระบอบการเมืองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย เป็นระบอบของผู้มีเงินพันล้าน หมื่นล้าน เท่านั้นที่จะมีโอกาส
ก็ยังดีที่ยังมีพรรคการเมืองพอให้เป็นความหวัง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ คือ พรรคความหวังใหม่ (นายชิงชัย มงคลธรรม เป็นหัวหน้าพรรค) กับ พรรคพลังเกษตรกร (นายอนันต์ กาญจนสุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค) ทั้ง 2 พรรคมีนโยบายแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นอย่างสิ้นเชิงคือ มีนโยบายแก้ปัญหาทางการเมือง สร้างระบอบการเมืองให้ถูกต้องเป็นธรรม ให้มีความยุติธรรมต่อปวงชนทั้งแผ่นดิน มีธรรมะเป็นศูนย์กลางทางการเมือง (ถือธรรมนำแผ่นดินขจัดสิ้นเหตุวิกฤตชาติ) เพื่อยุติความขัดแย้งของคนภายในชาติ หรือตามแนวทางนโยบายที่ 66/23 ในขั้นตอนที่ 2 ที่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างสันติ เพื่อสร้างสรรค์ระบอบธรรมาธิปไตย หรือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของประเทศไทย พรรคทั้งสองนี้เป็นพรรคฝ่ายค้านระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา หรือเผด็จการทุกรูปแบบ แต่จะร่วมมือกับรัฐบาล หรือพรรคการเมืองอื่นเพื่อสร้างระบอบการเมืองที่เป็นธรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อปวงชนทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริง
ในช่วงรณรงค์เลือกตั้งของระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา ที่จะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 นี้ เต็มไปด้วยกลโกงทุกรูปแบบเพื่อเอาเปรียบอย่างถึงที่สุด เป็นการเลือกตั้งที่สกปรก ถึงกระนั้นประชาชนทั้งหลายก็ต้องจำใจไปเลือกตั้ง จึงต้องเลือกอย่างชาญฉลาด บุคคลจะมีผู้แทนของตนในทางการเมืองอยู่ 2 ประเภท คือ 1. ผู้แทนเขตเลือกตั้ง 2. ผู้แทนอาชีพ
ท่านมีอาชีพอะไร เช่น กรรมกรทั่วไป (ลูกจ้างผู้ไม่มีปัจจัยการผลิต, หรือไม่มีหุ้นส่วน) กรรมกรรัฐวิสาหกิจ (Labor) พิจารณาเลือก พรรคความหวังใหม่ เป็นตัวแทนของท่าน
ผู้มีอาชีพ เกษตรกรสาขาต่างๆ หรือรู้ตัวว่าเป็นผู้เสียเปรียบในสังคม พิจารณาเลือก พรรคพลังเกษตรกร หรือเลือกพรรคอาชีพของตน เป็นผู้แทนของท่าน ให้เข้าไปเป็นปากเป็นเสียงในสภาฯ บ้างถึงจะไม่มากนักก็ยังดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย เพื่อเป็นการปูทางก้าวแรกและก้าวต่อไป ให้การเมืองของประชาชนทุกสาขาอาชีพให้เกิดความสมดุลทางการเมือง ส่วนพรรคใหญ่เขาเป็นผู้ได้เปรียบตลอดกาลอยู่แล้ว สมดังอุปมาที่ว่า "วัวไม่เลือกเสือมาเป็นผู้นำฉันใด กรรมกร, ชาวนา ก็ควรเลือกตั้งอย่างชาญฉลาดรอบคอบที่สุด ฉันนั้น" เพื่อความยุติธรรมจะได้เกิดขึ้นบ้าง
1. ธัมมัญญุตา ความรู้จักเหตุ คือรู้หลักความจริง, รู้หลักการ, รู้หลักเกณฑ์, รู้กฎแห่งธรรมดา, รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้หลักที่จะทำให้เกิดผล เช่น นักการเมือง นักปกครองจะต้องรู้อย่างถูกต้องว่าระบอบการเมืองใช้การปกครองเป็นธรรมหรือไม่ ถ้าไม่เป็นธรรมต่อคนทั้งแผ่นดินจะทำอย่างไร, สภาพการณ์ทางการเมืองปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร, นโยบายอันดับแรกควรจะอย่างไร, และจะต้องเข้าใจอย่างถูกต้องว่า ธรรมเป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่ง เพราะธรรมมีความยุติธรรมต่อสรรพสิ่ง ธรรมจึงเป็นเหตุของสรรพสิ่ง โดยเฉพาะสัตว์ทั้งหลายนับแต่สัตว์เซลล์เดียวต่างก็วิวัฒนาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป และลักษณะก้าวกระโดดเพื่อไปสู่บรมธรรม
ในทางการเมือง ระบอบการเมืองเป็นศูนย์ของสรรพสัตว์ในประเทศนั้นๆ ถ้าระบอบไม่มีธรรม ระบอบการเมืองเป็นมิจฉาทิฐิ จึงเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงในแผ่นดิน แต่พรรคการเมืองไม่รู้ มองไม่ออก อย่างนี้ก็จะนำพาประเทศชาติล่มจม เพราะคนในชาติตั้งตนอยู่ในความประมาท โดยเฉพาะสถาบันหลักของชาติปล่อยให้พวกไม่ประสาทางการเมือง ใช้อำนาจเงินมาต่ออำนาจทางการเมือง ตั้งกลุ่มเกาะกุมแทะเล็มประเทศชาติ สถาบันหลักของชาติได้แต่นั่งตาปริบๆ
ประชาชนทั้งหลาย ในชีวิตหนึ่งควรจะได้ศึกษาธรรมะอย่างจริงจัง โดยเฉพาะกระบวนการเรียนรู้วิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้แจ้งเห็นจริงถึงกฎธรรมชาติในหลายๆ มิติ จะได้มีปัญญารู้แจ้งชัดรู้เท่าทัน มีคุณธรรมที่สูงส่ง เป็นพลังของประเทศชาติในการสร้างสรรค์ระบอบการเมืองให้สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เพื่อความรุ่งเรือง มั่นคงอย่างยั่งยืน
2. อัตถัญญุตา ความรู้จักผล คือความรู้จักอรรถ รู้ความหมาย ความมุ่งหมาย เช่น รู้ว่าปฏิบัติข้อนี้ ผลจะได้อย่างไร หรือรู้ว่าธรรมเป็นเหตุแห่งความดี ผลหรืออรรถ ก็จะดีด้วย ผลย่อมเป็นผลผลิตของเหตุ หรือผลย่อมขึ้นต่อเหตุเสมอไป
ในทางการเมือง ถ้าคนในสังคมยังเต็มไปด้วยการเบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบข่มขี่ ข่มเหงรังแกกัน ผู้ได้เปรียบอย่างมากแล้วก็คิดจะเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา คนในสังคมต่างก็มีอาชีพที่ทุจริต, มีอาชีพในทางอบายมุข คอร์รัปชันทุกระดับ ทุกแวดวงเต็มบ้านเต็มเมือง อาชีพโสเภณีกระฉ่อนโลก โรคเอดส์กระฉ่อนเมือง คนในสังคมถูกมอมเมาด้วยยาเสพติดสารพัด เยาวชนมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร พระสงฆ์องคเจ้าสอนจริยธรรมคุณธรรมไม่ได้ผล ยิ่งสอนบ้านเมืองยิ่งเสื่อมทราม ฯลฯ เมืองไทยทุกวันนี้เป็นนรกไปแล้ว นี่คือผลที่เกิดจากระบอบการเมืองที่เลว ที่เป็นมิจฉาทิฐิที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยทั่วไป แต่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลแก่คนส่วนน้อยไม่กี่ตระกูลที่มีทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจ และอำนาจทางการเมือง
3. อัตตัญญุตา ความรู้จักตน คือรู้ว่าเรานั้นว่าโดยฐานะ ตำแหน่ง ภาวะ เพศ กำลัง ความรู้ ความสามารถ ความถนัด และคุณธรรม บัดนี้เป็นอย่างไรแล้ว ประพฤติเหมาะสม และรู้ที่จะปรับปรุงต่อไปให้ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะได้บรรลุธรรม
ในทางการเมือง นักการเมือง พรรคการเมืองท่านมีความรู้ชัดเจนแล้วหรือยัง ว่าท่านเป็นนักการเมืองในระบอบใด ท่านลงทุนทางการเมือง ท่านใช้เงินในการซื้อเสียงอย่างมโหฬาร ท่านทำไปทำไม ท่านเคยคิดไหมว่าท่านยิ่งปกครองบ้านเมืองยิ่งล่มจม ท่านเคยคิดกันไหมว่ายิ่งเลือกตั้งคนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลงเพราะอะไร? ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าท่านอยู่ในระบอบการเมืองที่ทำร้ายประเทศชาติ โดยท่านจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม
4. มัตตัญญุตา ความรู้จักประมาณ คือรู้จักความพอดี เช่น ภิกษุรู้จักประมาณในการรับและบริโภคปัจจัยสี่ คฤหัสถ์รู้จักประมาณในการใช้จ่ายโภคทรัพย์ รัฐบาลรู้จักประมาณในการเก็บภาษีและบริหารการจัดการ
ในทางการเมือง รัฐบาลทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากกระจุกตัวอยู่แต่ในเมืองหลวง เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนน้อย มีผลประโยชน์ทับซ้อนตามมามากมาย ท่านเคยวิเคราะห์กันบ้างไหมว่าความสมดุลระหว่างเมืองกับชนบทควรจะเป็นอย่างไร ความสมดุลระหว่างภาคเกษตรกับอุตสาหกรรมเป็นอย่างไร ความสมดุลระหว่างวัตถุกับคุณธรรมทางจิตใจเป็นอย่างไร ฯลฯ
5. กาลัญญุตา ความรู้จักกาล คือรู้กาลอันเหมาะสม และระยะเวลาที่ใช้ในการประกอบกิจ การทำหน้าที่การงาน เช่น ตรงเวลา ให้เป็นเวลา ให้ทันเวลา ให้พอเวลา ให้เหมาะเวลา เป็นต้น
ในทางการเมือง กาลปัจจุบันประเทศชาติกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความประมาท เพราะเรามีระบอบการเมืองที่เป็นมิจฉาทิฐิ ที่ไม่มีความยุติธรรมให้แก่คนในแผ่นดิน นักการเมืองทั้งหลายจะใช้โอกาสของท่านในทางการเมืองเพื่อแสวงหาความร่ำรวย บนความทุกข์ยากของเพื่อนร่วมชาติ หรือจะใช้โอกาสนั้นเพื่อแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ อันเป็นปมเงื่อนของปัญหาทั้งปวง
6. ปริสัญญุตา ความรู้จักบริษัท คือรู้จักชุมชน และรู้จักที่ประชุม รู้กริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆ ว่า ชุมชนนี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ ชุมชนนี้ควรสงเคราะห์อย่างนี้ เป็นต้น
ในทางการเมือง นักการเมืองทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักกายภาพของประเทศชาติในหลายๆ มิติ เช่น ต้องรู้ว่าชาวนา เกษตรกรและกรรมกรทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอาชีพที่เสียเปรียบในทุกทางอยู่แล้ว พวกเขาเสียโอกาสทางการเมือง มีไหมท่านจะช่วยให้พวกเขามีโอกาสบ้างอย่างไร เปิดโอกาสให้เขาต่อสู้ทางการเมือง เปิดโอกาสให้เขามีอำนาจอธิปไตยอย่างแท้จริง จะทำอย่างไรให้เพื่อนร่วมชาติมีความเสมอภาคทางโอกาสเหมือนๆ กัน
7. ปุคคลัญญุตา ความรู้จักบุคคล คือความรู้จักบุคคล คือความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เป็นต้น ใครๆ ยิ่งหรือหย่อนอย่างไร และรู้ที่จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นๆ ด้วยดี ว่าควรจะคบหรือไม่ จะขอความร่วมมือ จะเสนอแนะ จะตำหนิ จะยกย่อง และแนะนำสั่งสอนอย่างไร เป็นต้น
ในทางการเมือง ในเมื่อท่านเป็นนักการเมือง ท่านรู้จักประเทศของท่านดีหรือยัง ท่านนับถือศาสนาอะไร? ท่านเคยเรียนรู้บ้างไหมว่าหลักพระธรรมคำสอนนั้นมีคุณค่าอย่างไร? ท่านคิดจะเจริญรอยตามพระศาสดาบ้างหรือไม่? ท่านเคยคิดบ้างไหมว่าสถาบันพระศาสนานั้นมีความสำคัญอย่างไร? ท่านสามารถนำหลักธรรมคำสอนมาเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนได้หรือไม่? ท่านจะเป็นศาสนิกชนที่ดี เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประชาชนได้หรือไม่ และท่านมีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์องค์เหนือหัวเพียงไร? คิดจะศึกษาเพื่อที่จะเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทบ้างหรือยัง
เขียนให้ข้อคิดสติเตือนใจผู้ที่ประกาศตนเป็นนักการเมือง รวมกลุ่มกันเป็นพรรคการเมืองได้ตระหนักกันบ้าง เป็นนักการเมืองต้องรู้สัจธรรม เพื่อใช้ธรรมะนำการเมือง จะได้เดินในวิถีการเมืองได้อย่างถูกต้อง แต่สภาพการณ์ทุกวันนี้ผู้นำทางการเมืองไม่มีความรู้ทางการเมืองอย่างรอบด้าน ไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้จักประเทศของตนเอง
เมื่อได้พิจารณานโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงรณรงค์เลือกตั้งระดับชาติ โดยเฉพาะ พรรคการเมืองใหญ่ ล้วนมีนโยบายเหมือนกับบริหารเทศบาล หรือการเมืองท้องถิ่น เพราะพรรคเหล่านั้นล้วนคิดจะทำโน่นทำนี่ เช่น ทำถนน, รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าใต้ดิน, การศึกษา, สังคม เป็นต้น รวมความแล้วเป็นการคิดแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ล้วนแต่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า และเป็นปัญหาปลายเหตุที่เกิดจากระบอบมิจฉาทิฐิทั้งสิ้น
ส่วนพรรคการเมืองเล็ก แม้ท่านจะเจตนาดี แต่เหล่าพรรคเล็กก็ไม่รู้เอาเสียเลยว่าโอกาสทางการเมืองในระบอบปัจจุบันนี้ไม่เอื้อโอกาสให้แก่ท่านเลย อุปมา เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เพราะระบอบปัจจุบันเป็นระบอบการเมืองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย เป็นระบอบของผู้มีเงินพันล้าน หมื่นล้าน เท่านั้นที่จะมีโอกาส
ก็ยังดีที่ยังมีพรรคการเมืองพอให้เป็นความหวัง เป็นที่พึ่งของประชาชนได้ คือ พรรคความหวังใหม่ (นายชิงชัย มงคลธรรม เป็นหัวหน้าพรรค) กับ พรรคพลังเกษตรกร (นายอนันต์ กาญจนสุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค) ทั้ง 2 พรรคมีนโยบายแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นอย่างสิ้นเชิงคือ มีนโยบายแก้ปัญหาทางการเมือง สร้างระบอบการเมืองให้ถูกต้องเป็นธรรม ให้มีความยุติธรรมต่อปวงชนทั้งแผ่นดิน มีธรรมะเป็นศูนย์กลางทางการเมือง (ถือธรรมนำแผ่นดินขจัดสิ้นเหตุวิกฤตชาติ) เพื่อยุติความขัดแย้งของคนภายในชาติ หรือตามแนวทางนโยบายที่ 66/23 ในขั้นตอนที่ 2 ที่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างสันติ เพื่อสร้างสรรค์ระบอบธรรมาธิปไตย หรือระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของประเทศไทย พรรคทั้งสองนี้เป็นพรรคฝ่ายค้านระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา หรือเผด็จการทุกรูปแบบ แต่จะร่วมมือกับรัฐบาล หรือพรรคการเมืองอื่นเพื่อสร้างระบอบการเมืองที่เป็นธรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อปวงชนทั้งแผ่นดินอย่างแท้จริง
ในช่วงรณรงค์เลือกตั้งของระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา ที่จะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548 นี้ เต็มไปด้วยกลโกงทุกรูปแบบเพื่อเอาเปรียบอย่างถึงที่สุด เป็นการเลือกตั้งที่สกปรก ถึงกระนั้นประชาชนทั้งหลายก็ต้องจำใจไปเลือกตั้ง จึงต้องเลือกอย่างชาญฉลาด บุคคลจะมีผู้แทนของตนในทางการเมืองอยู่ 2 ประเภท คือ 1. ผู้แทนเขตเลือกตั้ง 2. ผู้แทนอาชีพ
ท่านมีอาชีพอะไร เช่น กรรมกรทั่วไป (ลูกจ้างผู้ไม่มีปัจจัยการผลิต, หรือไม่มีหุ้นส่วน) กรรมกรรัฐวิสาหกิจ (Labor) พิจารณาเลือก พรรคความหวังใหม่ เป็นตัวแทนของท่าน
ผู้มีอาชีพ เกษตรกรสาขาต่างๆ หรือรู้ตัวว่าเป็นผู้เสียเปรียบในสังคม พิจารณาเลือก พรรคพลังเกษตรกร หรือเลือกพรรคอาชีพของตน เป็นผู้แทนของท่าน ให้เข้าไปเป็นปากเป็นเสียงในสภาฯ บ้างถึงจะไม่มากนักก็ยังดีกว่าไม่มีเอาเสียเลย เพื่อเป็นการปูทางก้าวแรกและก้าวต่อไป ให้การเมืองของประชาชนทุกสาขาอาชีพให้เกิดความสมดุลทางการเมือง ส่วนพรรคใหญ่เขาเป็นผู้ได้เปรียบตลอดกาลอยู่แล้ว สมดังอุปมาที่ว่า "วัวไม่เลือกเสือมาเป็นผู้นำฉันใด กรรมกร, ชาวนา ก็ควรเลือกตั้งอย่างชาญฉลาดรอบคอบที่สุด ฉันนั้น" เพื่อความยุติธรรมจะได้เกิดขึ้นบ้าง