xs
xsm
sm
md
lg

บันทึกลับ 2540

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางด้านเศรษฐกิจของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้จัดทำหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่าบันทึกลับ 2540 เป็นหนังสือขนาด 16 หน้ายกพิเศษ หรือแบบพ็อคเกตบุ๊ก มีความหนา 396 หน้า มีเนื้อหาโดยรวมเกี่ยวกับวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงปี 2540

เป็นการรวบรวมและประมวลข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ที่ลึกลับซับซ้อนและที่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ และนำออกมาเปิดเผยเป็นครั้งแรก นับว่าได้ใช้ความพยายามในการแสวงหาข้อเท็จจริงอย่างยิ่ง

ไม่เสียทีที่เป็นที่ปรึกษา ดีกว่าอดีตรัฐมนตรีขี้หมาจำนวนไม่น้อยในรัฐบาลของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ที่เป็นพวกหน้าตัวเมีย ขี้ขลาดตาขาว และไม่กล้ารับผิดชอบใด ๆ และเพราะเหตุนั้นจึงทำให้รัฐบาลนั้นอ่อนแอจนต้องล้มลงอย่างง่ายดาย

แม้จะไม่พูดจากันอย่างชัดเจนว่าการจัดทำหนังสือนี้ออกมาในช่วงนี้มีวัตถุประสงค์อย่างไร แต่เมื่อหวนย้อนไปดูคำพูดคำจาของผู้คนในวงการการเมืองในระยะเวลาที่ผ่านมาแล้วก็พอจะเข้าใจได้ว่าหนังสือนี้มีความมุ่งหมายที่จะนำเสนอความจริงหลายประการที่ถูกปกปิดและที่ถูกบิดเบือนไว้ และได้ถูกใช้ข้อปกปิด ข้อบิดเบือนเหล่านั้นเป็นประโยชน์ในทางการเมืองของคนบางกลุ่มตลอดมา

เมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แถลงไว้ตอนหนึ่งว่าพรรคการเมืองบางพรรคและนักการเมืองบางคนหากินกับการเป็นสัปเหร่อ ทำให้พรรคการเมืองและนักการเมืองบางคนร้อนตัว เพราะเข้าใจไปว่าหมายถึงการซ้ำเติมวิกฤตทางเศรษฐกิจที่มีลักษณะปล้นชาติและขายชาติในยุคหลังรัฐบาลของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ

ต่อมาคุณชวน หลีกภัย ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ย้อนคำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าถึงแม้จะเป็นสัปเหร่อก็เป็นสัปเหร่อที่เก็บซากศพจากวิกฤตทางเศรษฐกิจ ซึ่งชวลิต-ทักษิณ ได้ทำไว้

ได้ยินมาว่าพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เห็นข่าวแล้วก็มาถึงจุดที่ฟางเส้นสุดท้ายทำให้ความอดทนหมดลง เพราะเรื่องนี้พลพรรคประชาธิปัตย์ได้พูดย้ำแล้วย้ำอีกย้ำเล่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจปี 2540 เป็นการกระทำของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ แต่เพียงคนเดียว และได้โยนความผิดทั้งหมดให้กับพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เพียงคนเดียว

เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงถ้อยคำป้ายผิดเป็นว่า ชวลิต-ทักษิณ ก็ในช่วงที่กำลังจะมีการเลือกตั้งกันในครั้งนี้ ก็พอได้เห็นลีลากระบวนท่าป้ายสีทางการเมืองที่ช่ำชองชำนาญสมคำร่ำลือมาแต่โบราณกาล

และเพราะเหตุนี้ความอดทนของคนอย่างพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ จึงสิ้นสุดลง และย่อมเป็นที่มาของการเปิดไฟเขียวให้คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อมูลตลอดจนพยานหลักฐานของวิกฤตทั้งห้วงก่อนและห้วงหลัง รวมทั้งชี้เบาะแสผู้รับผิดชอบให้ปรากฏไว้ด้วย

ในปี 2540 เป็นปีที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าฟองสบู่แตก รัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในช่วงนี้นับเวลาได้ 9 เดือนเศษ ก็ต้องลาออกโดยที่ไม่เคยก่อหนี้เพิ่มเติมให้กับบ้านเมือง

เรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลนั้นมีอยู่สองเรื่อง คือ การปกป้องค่าเงินบาทและการปิดสถาบันการเงิน ทั้งสองเรื่องนี้ในห้วงเวลานั้นแม้หนังสือดังกล่าวได้ระบุไว้ชัดเจนว่าใครเป็นคนทำ และเป็นหน้าที่ของใคร แต่พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ได้แสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนไม่ได้ทำไปแล้วด้วยการลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่ทว่าฟองสบู่จู่ ๆ มีมาอย่างไร มาแตกขึ้นแล้วเกิดผลอย่างไร เป็นคนละเรื่อง เป็นคนละส่วนกับเหตุการณ์วิกฤตในปี 2540

ในห้วงก่อนเกิดวิกฤตนั้นแม้ว่าจะมีหลายรัฐบาลเข้าบริหารราชการแผ่นดิน แต่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็มีส่วนสำคัญอยู่ในห้วงเวลาดังกล่าวเพราะเป็นรัฐบาลเองและร่วมเป็นรัฐบาลอยู่ร่วม 20 ปี

หนังสือนี้นำเสนอตัวเลขว่าฐานะของประเทศไทยในวันที่พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นมีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินกว่า 70,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีฐานะเป็นผู้ล้มละลายอยู่แล้ว

และยังได้แสดงที่มาของหนี้เหล่านั้นว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุใด โดยรวมก็คือเกิดขึ้นจากนวัตกรรมบันลือโลกของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ หรือที่เรียกกันว่ารัฐบาลชวน 1 ที่เปิดเสรีทางการเงินโดยเอาประเทศไทยทั้งประเทศไปค้ำประกันอัตราแลกเปลี่ยน และเป็นต้นเหตุให้มีหนี้สินล้นประเทศ

แล้วถามว่าคนที่ก่อหนี้ไว้นั้นได้พูดถึงความรับผิดชอบของตนไว้บ้างหรือไม่ ได้ยอมรับความจริงเรื่องนี้ไว้บ้างหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ ศปร.ก็ดี หน่วยงานทางการเงินสำคัญ ๆ ของโลกก็ได้ยืนยันไว้อย่างชัดเจนแล้ว

ก็ใครเล่าที่ไม่รู้จักสำนึกรับผิดชอบ ไม่ยอมรับผิดชอบในเรื่องใด ๆ แม้กระทั่งเรื่องครอบครัว เรื่องสังคม เรื่องประชาชนและบ้านเมือง

การก่อหนี้จนท่วมประเทศและเป็นเหตุให้ชาติล้มละลายก่อนที่พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ จะเข้ารับตำแหน่งนั้นไม่ใช่การกระทำและไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ หนังสือนี้จึงได้นำเสนอว่าต้องมีคนที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ และใครคือผู้รับผิดชอบ?

ในการที่รัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งนั้น หนังสือนี้ได้ชี้เบาะแสไว้อย่างชัดเจนว่ารัฐบาลนั้นก็ได้รู้ว่ามีแผนการล้มรัฐบาลเพื่อช่วงชิงอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเลย มีการสมคบกันเป็นวงกว้างและกระทำการทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจ และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ

ดังนั้นการกระทำและความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของรัฐบาลชวน 2 ซึ่งเข้าบริหารประเทศหลังจากรัฐบาลพรรคความหวังใหม่พ้นจากตำแหน่ง จึงไม่ใช่ความรับผิดชอบและไม่ใช่การกระทำของรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ร่วมรัฐบาลนั้นอยู่เพียงระยะเวลาสั้น ๆ และไม่เกี่ยวกับเรื่องการเงิน การคลังแม้แต่น้อย แต่ก็ยังสู้อุตส่าห์ป้ายผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนได้ นี่แหละลีลาการป้ายผิดชั้นครูที่คนไทยได้รู้ ได้เห็น มาเป็นเวลานานแล้ว

นวัตกรรมบันลือโลกที่รัฐบาลชวน 2 ได้กระทำหลังพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกแล้ว หนังสือนี้ได้สรุปไว้ว่ามีอยู่ 4 ประการที่สำคัญคือ

ประการแรก การปิดสถาบันการเงินอย่างถาวร ปิดโอกาสการฟื้นตัวอย่างถาวร ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ให้หยุดกิจการชั่วคราว เพื่อปกป้องสถาบันการเงินเหล่านั้นที่ถูกคนก่อกระแสปลุกระดมปล่อยข่าวว่าให้ถอนเงินออกจากสถาบันการเงิน ด้วยหวังว่าเมื่อความตื่นตระหนกผ่านไปแล้วก็จะเปิดดำเนินการได้ตามปกติ

ประการที่สอง เมื่อปิดสถาบันการเงินอย่างถาวรแล้วก็มีการโอนสินทรัพย์ประมาณ 800,000 ล้านบาท ไปให้กับ ปรส. โดยรัฐบาลรับภาระหนี้สินชำระเงินฝากคืนประชาชนในจำนวนเท่ากัน จากนั้นกระบวนการสัปเหร่อหากินกับศพก็เกิดขึ้น คือมีการสมคบกับทุนต่างชาติเข้ามาปล้นสินทรัพย์นี้ และขายไปอย่างมีเงื่อนงำ โดยมีผลขาดทุนกว่า 400,000 ล้านบาท เป็นนวัตกรรมบันลือโลกทางการเงินของโลกที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ ทำลายภาคธุรกิจและนักธุรกิจไทยอย่างย่อยยับ

ประการที่สาม การสมคบกับต่างชาติบีบบังคับยึดและขายธนาคารและสถาบันการเงินของคนไทยให้กับต่างชาติ

ประการที่สี่ การปล้นชาติด้วยการรื้อถอนมาตรการทั้งหลายที่ธนาคารแห่งประเทศไทยในสมัยรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้วางไว้เพื่อปกป้องความเสียหายจากการโจมตีค่าเงินบาท โดยมีธุรกรรมสำคัญ 2 อย่าง คือ การขยายเวลาชำระหนี้ให้กับนักโจมตีค่าเงินเพื่อไม่ให้ตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาถึง 2 ครั้ง เพราะนักโจมตีค่าเงินบาทไม่สามารถหาเงินบาทมาส่งมอบให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ อันเป็นผลมาจากมาตรการป้องกันที่วางไว้นั้น จากนั้นก็เปิดตลาดเงินบาทให้นักโจมตีค่าเงินบาทสามารถหาเงินบาทมาส่งมอบแล้วทำให้เกิดความเสียหายขึ้น

นวัตกรรมทั้งสี่ประการนี้หนังสือดังกล่าวนี้ได้นำเสนอหลักฐานและข้อมูลอย่างชัดเจน สิริรวมแล้วความเสียหายที่เป็นตัวเงินเด่นชัดจากนวัตกรรมสี่ประการมีมูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงความเสียหายต่อเนื่องที่ประเทศไทยต้องกลายเป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจของต่างชาติและความฉิบหายวายวอดของนักธุรกิจไทย ซึ่งประมาณค่ามิได้

ความเสียหายเหล่านั้นเป็นมรดกตกทอดมาถึงรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และโชคดีของประเทศไทยและคนไทยที่รัฐบาลนี้สามารถแก้ไขปัญหาความเสียหายเหล่านั้นให้หมดสิ้นไปในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้ประเทศไทยฟื้น ทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้น ทำให้นักธุรกิจไทยฟื้น และกลับคืนสู่เวทีโลกได้อย่างสง่างามดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้

แล้วถามว่าความฉิบหายเหล่านั้นเป็นการกระทำของใคร? และรัฐบาลไหนเล่าที่ต้องรับผิดชอบ? มีใครสักคนหรือไม่ที่แสดงความรับผิดชอบหรือรับผิดชอบในเรื่องนี้?

ไม่มีเลย มีแต่คนคิดอ่านใส่ร้ายป้ายผิดให้กับคนอื่น ทั้ง ๆ ที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยหมู่คณะตน และเกิดขึ้นในรัฐบาลชวน 2

มาถึงวันนี้เรื่องสำคัญ 2 เรื่อง ที่ได้กระทำในรัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ คือการปกป้องค่าเงินบาทเรื่องหนึ่ง และการปิดสถาบันการเงินชั่วคราวอีกเรื่องหนึ่ง ได้ถูกเปิดเผยให้เห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำและเป็นการกระทำที่ถูกต้อง

เพราะหน้าที่การปกป้องค่าเงินบาทเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของธนาคารแห่งประเทศไทย เช่นเดียวกับกองทัพที่มีหน้าที่ปกป้องเอกราชอธิปไตยจากภัยรุกรานโดยอัตโนมัติ ฉันใดก็ฉันนั้น

เพราะการลอยตัวค่าเงินบาท เงินบาทจึงมีค่าตามความเป็นจริง และปลดแอกประเทศไทยจากภาระค้ำประกันหนี้ที่รัฐบาลชวน 1 ได้สร้างไว้ และเป็นผลให้ประเทศไทยได้กำไรดุลการค้าตั้งแต่เดือนกันยายน 2540 เป็นครั้งแรกถึงเดือนละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และเรื่องนี้เป็นที่ยอมรับกันแล้วในปัจจุบันว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง

ดังนั้นหากจะกล่าวให้ชัดก็กล่าวได้ว่ารัฐบาลชวน 1 คือรัฐบาลที่ก่อหนี้ท่วมประเทศ ด้วยการเปิดเสรีทางการเงิน ทำให้ประเทศอยู่ในฐานะล้มละลาย รัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ คือรัฐบาลที่ถูกทวงหนี้โดยมีไอ้โม่งเที่ยวร้องตะโกนว่าไฟไหม้บ้าน ทำให้ตกใจอลหม่านและรัฐบาลชวน 2 ก็คือรัฐบาลที่พาโจรเข้าปล้นบ้านจนเกิดความเสียหายกว่า 800,000 ล้านบาท

แล้วมีใครหน้าไหนสำนึกรับผิดชอบ กล้ารับผิดชอบและแสดงความรับผิดชอบบ้างเล่า? อย่างนี้แล้วยังจะมีหน้ามาเสนอหน้าอาสาประชาชนกันอีกหรือ!
กำลังโหลดความคิดเห็น