ในบทนี้และบทต่อๆ ไป ผู้เขียนจะขอนำเสนอลักษณะพิเศษหรือ "จุดเด่น" ของพรรคเหนือทุน ที่ต่างไปจากพรรคกลุ่มทุนทั่วไป ซึ่งเฉพาะหน้านี้ บนเวทีการเมืองโลก มีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นพรรคต้นแบบที่ค่อนข้างสมบูรณ์
ณ ที่นี้ ผู้เขียนขอทำความเข้าใจไว้เป็นเบื้องต้นว่า การใช้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นต้นแบบ มิได้หมายถึงว่า พรรคการเมืองของไทยในอนาคต จะต้องก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาดำเนินการปฏิวัติสังคมด้วยความรุนแรง หรือถ้าหากก่อตั้งขึ้นมา ก็ต้องมีลักษณะเฉพาะที่เป็น "แบบไทย" และดำเนินกิจกรรมการเมืองอย่างสอดคล้องกับยุคสมัยแห่ง "สันติภาพและการพัฒนา" และเป็นไปตามความเรียกร้องต้องการของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไร พรรคการเมือง "เหนือทุน" ของประเทศไทย จะต้องเป็นพรรคที่มุ่งหมายและสามารถสามัคคีประชาชนไทยทั้งประเทศ ดำเนินการปรับปฏิรูประบบโครงสร้างต่างๆ ของสังคมไทย ให้เอื้อต่อการพัฒนาอย่างรอบด้านของประเทศไทย และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนไทย
เหตุที่ใช้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นต้นแบบ ก็เพราะเห็นว่าเป็นพรรคการเมืองที่พรั่งพร้อมด้วยแนวคิดทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น มี "วุฒิภาวะ" ในการบริหารจัดการ ทั้งภายในพรรคฯและในการบริหารประเทศ ทำให้พรรคฯจีนพัฒนาเติบใหญ่และเป็นที่ยอมรับของประชาชนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นพรรคการเมืองชั้นยอด สามารถบริหารประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศใหญ่ประชากรเยอะเจริญก้าวหน้าได้อย่างดียิ่ง เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนจีน เป็นที่ยอมรับทั่วไปในระดับโลก
จุดประสงค์ก็คือ เพื่อให้พรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน (แม้จะเป็นพรรคกลุ่มทุน) และพรรคการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (ที่เป็นพรรคเหนือทุนอย่างแท้จริง) ศึกษาเรียนรู้สิ่งดีๆ เช่นหลักคิดวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ อุดมการณ์รับใช้ประชาชน เป็นต้น ที่มีลักษณะ "สากล" ของพรรคฯ จีน มาปรับใช้กับพรรคการเมืองของประเทศเรา
พูดง่ายๆ คือ เมื่อเห็นเขามี "ดี" เราก็เอามา "ใช้"
แน่ละ เราไม่จำเป็นต้องเจริญรอยตามเขา แต่ "พรรคเหนือทุน" ไทยที่เกิดใหม่ ถึงอย่างไรก็ต้องศึกษาเรียนรู้จากเขา เพื่อที่จะสามารถก้าวเดินไปด้วยลำแข้งตนเองบนเส้นทางการเมืองของประเทศไทยในบริบทการเมืองโลกยุคปัจจุบัน
เป็นพรรคเหนือทุน "ทันสมัย" ระดับโลก ในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น (เฉพาะคำว่า "พรรคเหนือทุน" ก็สะท้อนให้เห็นถึงความทันสมัยนี้แล้ว)
กระนั้นก็ตาม ในการศึกษาแบบอย่างของพรรคฯ จีน สิ่งที่ควร "เคลียร์" ในเบื้องต้น ก็คือ เราจะต้องไม่ยึดติดกับ "ลำนำ" หรือเรื่องราวที่เป็นแบ็กกราวนด์หรือสภาวะแวดล้อมของสังคมจีน ที่เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงการเจริญเติบโตของพรรคฯ จีน แต่จงมุ่งเจาะลึกเข้าถึง "หลักการ" หรือองค์ความรู้ระดับที่สะท้อนกฎเกณฑ์หรือ "สัจธรรม" ทั่วไป ที่มีลักษณะ "สากล" ที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในสังคมไทยได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงตั้งเป้าไว้ว่า จะพยายาม "ดึง"เอาหลักการหรือสัจธรรมทั่วไป ที่ดำรงอยู่ในท่ามกลางการขับเคลื่อนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งในระยะการทำสงครามปฏิวัติปลดปล่อยประเทศ และในระยะของการสร้างสรรค์ประเทศ (แบ่งเป็นสองระยะย่อยคือ ระยะแรกก่อนการปฏิรูปและเปิดกว้าง ระยะหลังตั้งแต่ปฏิรูปและเปิดกว้าง) ออกมา แล้ว "ไฮไลต์" ขึ้นมาให้เห็นชัด เข้าใจได้ง่าย
แน่ละ หลักการหรือข้อสัจธรรมเหล่านั้น มิใช่ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของพรรคเหนือทุนไทยโดยตรง เป็นเพียงองค์ความรู้สำหรับการศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อนำไปสู่การจัดตั้ง บริหารจัดการพรรคการเมืองที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นพรรคเหนือทุนไทย ทำหน้าที่ตามภารกิจทางประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้า ไปบนเส้นทางร่วมกันของมวลมนุษย์เท่านั้นเอง
สิ่งที่พรรคเหนือทุนไทยจะต้องทำ ก็คือการทำความเข้าใจในลักษณะเฉพาะของยุคสมัยของสังคมมนุษย์ สภาวะเป็นจริงของสังคมไทย ความต้องการของประชาชนไทย เร่งจัดตั้งกันขึ้นมา ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ บนพื้นฐานผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน
ความเป็นพรรค "ก้าวหน้า"
จุดเด่นของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีลักษณะ "พื้นฐาน" ที่สุด ก็คือ ความเป็นพรรค "ก้าวหน้า" แสดงออกดังนี้
1. ก้าวนำหน้าประชาชนเสมอ
พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ได้พิสูจน์ตนเองมาแล้วทั้งในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ปฏิวัติ ปลดปล่อยประเทศจีน และในห้วงระยะของการสร้างสรรค์พัฒนาประเทศ
สิ่งที่เรียกว่า "ก้าวนำหน้า" นั้น หมายถึงว่า พรรคฯสำนึกและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นเบื้องแรกเสมอ ในการดำเนินการต่อสู้ปฏิวัติหรือพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศชาติ
ในทางจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็น "กองหน้า" ของประชาชนจีนเป็น "กองหน้า" ของชนชั้นกรรมกร
ในยุคสงครามและการปฏิวัติ (ต้นศตวรรษที่ 20) พรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของวี.ไอ.เลนิน เป็น "กองหน้า" ของชนชั้นกรรมาชีพ เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นกรรมกร ที่มีความตื่นตัวทางชนชั้นสูง มีความแข็งแกร่งทางความคิดและการจัดตั้ง สามารถนำประชาชนรัสเซียปฏิวัติจนได้รับชัยชนะ สถาปนารัฐสังคมนิยมขึ้นได้เป็นแห่งแรกของโลก
พรรคคอมมิวนิสต์จีนสืบทอดคุณสมบัติของความเป็น "กองหน้า" ชนชั้นกรรมกรจากพรรคบอลเชวิค เหมาเจ๋อตงให้คำจำกัดความพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า "เป็นพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพ ที่เกิดจากการรวมตัวจัดตั้งกันเข้าของกลุ่มคนที่มีความคิดก้าวหน้าของชนชั้นกรรมาชีพ" ซึ่งโดยนัยก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีนเกิดจากการรวมตัวกันเข้าของกลุ่มบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าของชนชั้นกรรมกรและประชาชนจีนเป็น "กองหน้า" ทั้งของชนชั้นกรรมกรและประชาชนจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล
พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงมีปณิธานเบื้องต้นเสมอมาว่า จะต้องทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน นั่นคือ แสดงบทบาทของความเป็น "กองหน้า" นำพาประชาชนจีนจัดตั้งกันขึ้นมาเคลื่อนไหวต่อสู้ทางด้านการผลิต ต่อสู้ทางการเมือง เพื่อบรรลุสู่เป้าหมายในการปลดปล่อยพลังการผลิต พัฒนาการผลิต ขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศจีน ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ในห้วงแห่งการปฏิวัติ พรรคฯ จีนเป็นกองหน้าในการนำประชาชนจีนสู้รบต่อต้านการล้อมปราบของรัฐบาลพรรคกั๋วหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) ต่อต้านการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นแบบอย่างเสมอในการสู้รบและการปฏิบัติตามระเบียบวินัย มีความตื่นตัวทางการเมือง มีความคิดอุดมการณ์ยาวไกล เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของมวลชนเสมอ
ในห้วงของการสร้างสรรค์พัฒนาประเทศ พรรคฯ จีนแสดงความเป็นกองหน้าด้วยการดำเนินแนวทางนโยบาย พัฒนาสร้างสรรค์ บริหารประเทศอย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนจีน สนองตอบต่อความต้องการของประชาชนจีนได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในห้วงระยะดังกล่าว พรรคฯ จีนในฐานะพรรคบริหารประเทศ ใช้อำนาจบริหารประเทศ สมาชิกพรรคดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระดับต่างๆ เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือที่เรียกว่า "คอร์รัปชัน" ไปทั่ว
ในการแก้ไขปัญหานี้ พรรคฯ จีนดำเนินการควบคู่กันไปทั้งในด้านการปราบปรามและป้องกัน มีการกวาดล้างจับกุมคุมขังดำเนินคดี ลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง พร้อมกับการพัฒนากฎหมายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ที่สำคัญคือ ได้ใช้มาตรการแก้ไขและป้องกัน "ภายใน" พรรคอย่างเป็นระบบ ทั้งกำหนดบทลงโทษต่อสมาชิกพรรคที่กระทำผิด และดำเนินการ "ศึกษายกระดับทางความคิด"ภายในพรรค สะสางขัดเกลาความคิดให้บริสุทธิ์สะอาด รักษาคุณสมบัติของความเป็นพรรคก้าวหน้า ในฐานะ "กองหน้า" ของประชาชนจีนไว้อย่างมั่นคง
2. เดินนำหน้ายุคสมัยเสมอ
พรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่เพียงเป็นผู้เดินนำหน้าประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้เดินนำหน้ายุคสมัยอีกด้วย
ด้วยโลกทัศน์ ชีวทัศน์ วัตถุนิยมวิภาษและวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ติดอาวุธทางความคิดที่สามารถมองทะลุสู่อนาคตได้เสมอ นั่นคือ สามารถเข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของมนุษย์โดยรวม เข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของระบอบสังคมในแต่ละยุค เข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของระบอบทุนนิยม และกฎเกณฑ์การพัฒนาของระบอบสังคมนิยม
รวมทั้งเข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของพรรคการเมืองกลุ่มทุน และพรรคการเมือง "เหนือทุน" อีกด้วย
ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ตระหนักรู้ถึงภารกิจหลักของตนในแต่ละห้วงของการเคลื่อนไหวปฏิบัติ เช่น ในห้วงระยะของการต่อสู้ปฏิวัติ ก็ตระหนักรู้ถึงภารกิจที่จะต้องดำเนินสงครามประชาชน และเมื่อก้าวเข้าสู่ระยะของการสร้างสรรค์พัฒนาก็ตระหนักรู้ถึงภารกิจที่จะต้อง "ถือเอาการพัฒนาเป็นภารกิจอันดับหนึ่ง" ดำเนินการปฏิรูปและเปิดกว้างไปทั่วทุกปริมณฑล สำหรับเปิดทางให้แก่การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการฟื้นฟูประชาชาติจีนให้รุ่งเรืองระดับโลก ประชาชนจีนมั่งคั่งและเป็นสุขถ้วนหน้า
การยืนอยู่ในแถวหน้าของยุคสมัย ทำได้ด้วยการวิเคราะห์ลักษณะของยุคสมัย ซึ่งครั้งหนึ่ง เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ขณะที่สังคมโลกยังระงมไปด้วยการแก่งแย่งกันครองโลกของมหาอำนาจทุนนิยม เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และวิกฤตใหญ่ทางเศรษฐกิจ ประชาชนผู้ใช้แรงงานประสบความเดือดร้อนแสนสาหัส ต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด ลักษณะของยุคสมัยก็คือ "สงครามกับการปฏิวัติ"
แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สังคมโลกถูกครอบงำด้วยสงครามเย็นระหว่างค่ายทุนนิยมตะวันตกที่มีสหรัฐฯเป็นหัวโจกกับค่ายสังคมนิยมตะวันออกที่มีสหภาพโซเวียตเป็นหัวโจก
สองค่ายนี้ต่างช่วงชิงการนำในกลุ่มประเทศดินแดนเมืองขึ้นและประเทศเกิดใหม่ทั่วโลก เกิดการต่อสู้และเผชิญหน้ากันในลักษณะ "สงครามตัวแทน" ไปทั่วในทวีปต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา เกิดความปั่นป่วนผันผวนทางเศรษฐกิจการเมืองในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ไปทั่ว
แต่ก็ไม่ถึงกับเกิดสงครามโดยตรงระหว่างมหาอำนาจสองค่ายนี้
ลักษณะยุคสมัยจึงผ่านพ้นความเป็น "สงครามกับการปฏิวัติ" เข้าสู่ยุค "สงครามเย็น"
ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งก็คือ ในยุคสงครามเย็นนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ "เล็งเห็น" แนวโน้มอนาคตของสังคมโลกไปล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับความไม่ลงรอยกันทางความคิดของพรรค จีนกับพรรคฯคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต พรรคฯ จีนจึงได้ปรับแนวคิดและแนวทางการพัฒนาสร้างสรรค์สังคมนิยมของจีน วางตัวเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่สามหรือประเทศกำลังพัฒนาดำเนินการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยไม่ติดอยู่ใน "กับดัก" ของสงครามเย็นระหว่างสองค่าย
การปรับตัวครั้งสำคัญนี้ ดำเนินมาตั้งแต่ในยุคการนำของเหมาเจ๋อตง (ต้นทศวรรษ ค.ศ. 1970) และพัฒนาเป็นแนวคิดเต็มรูปในยุคของเติ้งเสี่ยวผิง(ต้นทศวรรษ ค.ศ. 1980) ที่ชี้ชัดว่า ลักษณะของยุคสมัยคือ "สันติภาพและการพัฒนา"
ลักษณะของยุคสมัยที่ว่า ยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน
ณ ที่นี้ ผู้เขียนขอทำความเข้าใจไว้เป็นเบื้องต้นว่า การใช้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นต้นแบบ มิได้หมายถึงว่า พรรคการเมืองของไทยในอนาคต จะต้องก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นมาดำเนินการปฏิวัติสังคมด้วยความรุนแรง หรือถ้าหากก่อตั้งขึ้นมา ก็ต้องมีลักษณะเฉพาะที่เป็น "แบบไทย" และดำเนินกิจกรรมการเมืองอย่างสอดคล้องกับยุคสมัยแห่ง "สันติภาพและการพัฒนา" และเป็นไปตามความเรียกร้องต้องการของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไร พรรคการเมือง "เหนือทุน" ของประเทศไทย จะต้องเป็นพรรคที่มุ่งหมายและสามารถสามัคคีประชาชนไทยทั้งประเทศ ดำเนินการปรับปฏิรูประบบโครงสร้างต่างๆ ของสังคมไทย ให้เอื้อต่อการพัฒนาอย่างรอบด้านของประเทศไทย และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนไทย
เหตุที่ใช้พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นต้นแบบ ก็เพราะเห็นว่าเป็นพรรคการเมืองที่พรั่งพร้อมด้วยแนวคิดทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์ ปราศจากการยึดมั่นถือมั่น มี "วุฒิภาวะ" ในการบริหารจัดการ ทั้งภายในพรรคฯและในการบริหารประเทศ ทำให้พรรคฯจีนพัฒนาเติบใหญ่และเป็นที่ยอมรับของประชาชนจีนมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นพรรคการเมืองชั้นยอด สามารถบริหารประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศใหญ่ประชากรเยอะเจริญก้าวหน้าได้อย่างดียิ่ง เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนจีน เป็นที่ยอมรับทั่วไปในระดับโลก
จุดประสงค์ก็คือ เพื่อให้พรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน (แม้จะเป็นพรรคกลุ่มทุน) และพรรคการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (ที่เป็นพรรคเหนือทุนอย่างแท้จริง) ศึกษาเรียนรู้สิ่งดีๆ เช่นหลักคิดวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ อุดมการณ์รับใช้ประชาชน เป็นต้น ที่มีลักษณะ "สากล" ของพรรคฯ จีน มาปรับใช้กับพรรคการเมืองของประเทศเรา
พูดง่ายๆ คือ เมื่อเห็นเขามี "ดี" เราก็เอามา "ใช้"
แน่ละ เราไม่จำเป็นต้องเจริญรอยตามเขา แต่ "พรรคเหนือทุน" ไทยที่เกิดใหม่ ถึงอย่างไรก็ต้องศึกษาเรียนรู้จากเขา เพื่อที่จะสามารถก้าวเดินไปด้วยลำแข้งตนเองบนเส้นทางการเมืองของประเทศไทยในบริบทการเมืองโลกยุคปัจจุบัน
เป็นพรรคเหนือทุน "ทันสมัย" ระดับโลก ในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น (เฉพาะคำว่า "พรรคเหนือทุน" ก็สะท้อนให้เห็นถึงความทันสมัยนี้แล้ว)
กระนั้นก็ตาม ในการศึกษาแบบอย่างของพรรคฯ จีน สิ่งที่ควร "เคลียร์" ในเบื้องต้น ก็คือ เราจะต้องไม่ยึดติดกับ "ลำนำ" หรือเรื่องราวที่เป็นแบ็กกราวนด์หรือสภาวะแวดล้อมของสังคมจีน ที่เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงการเจริญเติบโตของพรรคฯ จีน แต่จงมุ่งเจาะลึกเข้าถึง "หลักการ" หรือองค์ความรู้ระดับที่สะท้อนกฎเกณฑ์หรือ "สัจธรรม" ทั่วไป ที่มีลักษณะ "สากล" ที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในสังคมไทยได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงตั้งเป้าไว้ว่า จะพยายาม "ดึง"เอาหลักการหรือสัจธรรมทั่วไป ที่ดำรงอยู่ในท่ามกลางการขับเคลื่อนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งในระยะการทำสงครามปฏิวัติปลดปล่อยประเทศ และในระยะของการสร้างสรรค์ประเทศ (แบ่งเป็นสองระยะย่อยคือ ระยะแรกก่อนการปฏิรูปและเปิดกว้าง ระยะหลังตั้งแต่ปฏิรูปและเปิดกว้าง) ออกมา แล้ว "ไฮไลต์" ขึ้นมาให้เห็นชัด เข้าใจได้ง่าย
แน่ละ หลักการหรือข้อสัจธรรมเหล่านั้น มิใช่ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของพรรคเหนือทุนไทยโดยตรง เป็นเพียงองค์ความรู้สำหรับการศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อนำไปสู่การจัดตั้ง บริหารจัดการพรรคการเมืองที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นพรรคเหนือทุนไทย ทำหน้าที่ตามภารกิจทางประวัติศาสตร์ ขับเคลื่อนสังคมไทยให้เจริญก้าวหน้า ไปบนเส้นทางร่วมกันของมวลมนุษย์เท่านั้นเอง
สิ่งที่พรรคเหนือทุนไทยจะต้องทำ ก็คือการทำความเข้าใจในลักษณะเฉพาะของยุคสมัยของสังคมมนุษย์ สภาวะเป็นจริงของสังคมไทย ความต้องการของประชาชนไทย เร่งจัดตั้งกันขึ้นมา ดำเนินกิจกรรมทางการเมืองทั้งในและต่างประเทศ ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ บนพื้นฐานผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน
ความเป็นพรรค "ก้าวหน้า"
จุดเด่นของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีลักษณะ "พื้นฐาน" ที่สุด ก็คือ ความเป็นพรรค "ก้าวหน้า" แสดงออกดังนี้
1. ก้าวนำหน้าประชาชนเสมอ
พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคการเมืองที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ได้พิสูจน์ตนเองมาแล้วทั้งในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ปฏิวัติ ปลดปล่อยประเทศจีน และในห้วงระยะของการสร้างสรรค์พัฒนาประเทศ
สิ่งที่เรียกว่า "ก้าวนำหน้า" นั้น หมายถึงว่า พรรคฯสำนึกและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นเบื้องแรกเสมอ ในการดำเนินการต่อสู้ปฏิวัติหรือพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศชาติ
ในทางจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็น "กองหน้า" ของประชาชนจีนเป็น "กองหน้า" ของชนชั้นกรรมกร
ในยุคสงครามและการปฏิวัติ (ต้นศตวรรษที่ 20) พรรคบอลเชวิค ภายใต้การนำของวี.ไอ.เลนิน เป็น "กองหน้า" ของชนชั้นกรรมาชีพ เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นกรรมกร ที่มีความตื่นตัวทางชนชั้นสูง มีความแข็งแกร่งทางความคิดและการจัดตั้ง สามารถนำประชาชนรัสเซียปฏิวัติจนได้รับชัยชนะ สถาปนารัฐสังคมนิยมขึ้นได้เป็นแห่งแรกของโลก
พรรคคอมมิวนิสต์จีนสืบทอดคุณสมบัติของความเป็น "กองหน้า" ชนชั้นกรรมกรจากพรรคบอลเชวิค เหมาเจ๋อตงให้คำจำกัดความพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า "เป็นพรรคการเมืองของชนชั้นกรรมาชีพ ที่เกิดจากการรวมตัวจัดตั้งกันเข้าของกลุ่มคนที่มีความคิดก้าวหน้าของชนชั้นกรรมาชีพ" ซึ่งโดยนัยก็คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีนเกิดจากการรวมตัวกันเข้าของกลุ่มบุคคลที่มีความคิดก้าวหน้าของชนชั้นกรรมกรและประชาชนจีนเป็น "กองหน้า" ทั้งของชนชั้นกรรมกรและประชาชนจีนอันกว้างใหญ่ไพศาล
พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงมีปณิธานเบื้องต้นเสมอมาว่า จะต้องทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน นั่นคือ แสดงบทบาทของความเป็น "กองหน้า" นำพาประชาชนจีนจัดตั้งกันขึ้นมาเคลื่อนไหวต่อสู้ทางด้านการผลิต ต่อสู้ทางการเมือง เพื่อบรรลุสู่เป้าหมายในการปลดปล่อยพลังการผลิต พัฒนาการผลิต ขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศจีน ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ในห้วงแห่งการปฏิวัติ พรรคฯ จีนเป็นกองหน้าในการนำประชาชนจีนสู้รบต่อต้านการล้อมปราบของรัฐบาลพรรคกั๋วหมินตั่ง (ก๊กมินตั๋ง) ต่อต้านการรุกรานของกองทัพญี่ปุ่น สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นแบบอย่างเสมอในการสู้รบและการปฏิบัติตามระเบียบวินัย มีความตื่นตัวทางการเมือง มีความคิดอุดมการณ์ยาวไกล เป็นที่ยอมรับและศรัทธาของมวลชนเสมอ
ในห้วงของการสร้างสรรค์พัฒนาประเทศ พรรคฯ จีนแสดงความเป็นกองหน้าด้วยการดำเนินแนวทางนโยบาย พัฒนาสร้างสรรค์ บริหารประเทศอย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนจีน สนองตอบต่อความต้องการของประชาชนจีนได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ในห้วงระยะดังกล่าว พรรคฯ จีนในฐานะพรรคบริหารประเทศ ใช้อำนาจบริหารประเทศ สมาชิกพรรคดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระดับต่างๆ เกิดการใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือที่เรียกว่า "คอร์รัปชัน" ไปทั่ว
ในการแก้ไขปัญหานี้ พรรคฯ จีนดำเนินการควบคู่กันไปทั้งในด้านการปราบปรามและป้องกัน มีการกวาดล้างจับกุมคุมขังดำเนินคดี ลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง พร้อมกับการพัฒนากฎหมายให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ที่สำคัญคือ ได้ใช้มาตรการแก้ไขและป้องกัน "ภายใน" พรรคอย่างเป็นระบบ ทั้งกำหนดบทลงโทษต่อสมาชิกพรรคที่กระทำผิด และดำเนินการ "ศึกษายกระดับทางความคิด"ภายในพรรค สะสางขัดเกลาความคิดให้บริสุทธิ์สะอาด รักษาคุณสมบัติของความเป็นพรรคก้าวหน้า ในฐานะ "กองหน้า" ของประชาชนจีนไว้อย่างมั่นคง
2. เดินนำหน้ายุคสมัยเสมอ
พรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่เพียงเป็นผู้เดินนำหน้าประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้เดินนำหน้ายุคสมัยอีกด้วย
ด้วยโลกทัศน์ ชีวทัศน์ วัตถุนิยมวิภาษและวัตถุนิยมประวัติศาสตร์ ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ติดอาวุธทางความคิดที่สามารถมองทะลุสู่อนาคตได้เสมอ นั่นคือ สามารถเข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของมนุษย์โดยรวม เข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของระบอบสังคมในแต่ละยุค เข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของระบอบทุนนิยม และกฎเกณฑ์การพัฒนาของระบอบสังคมนิยม
รวมทั้งเข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของพรรคการเมืองกลุ่มทุน และพรรคการเมือง "เหนือทุน" อีกด้วย
ด้วยความเข้าใจเช่นนี้ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ตระหนักรู้ถึงภารกิจหลักของตนในแต่ละห้วงของการเคลื่อนไหวปฏิบัติ เช่น ในห้วงระยะของการต่อสู้ปฏิวัติ ก็ตระหนักรู้ถึงภารกิจที่จะต้องดำเนินสงครามประชาชน และเมื่อก้าวเข้าสู่ระยะของการสร้างสรรค์พัฒนาก็ตระหนักรู้ถึงภารกิจที่จะต้อง "ถือเอาการพัฒนาเป็นภารกิจอันดับหนึ่ง" ดำเนินการปฏิรูปและเปิดกว้างไปทั่วทุกปริมณฑล สำหรับเปิดทางให้แก่การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย เพื่อบรรลุเป้าหมายในการฟื้นฟูประชาชาติจีนให้รุ่งเรืองระดับโลก ประชาชนจีนมั่งคั่งและเป็นสุขถ้วนหน้า
การยืนอยู่ในแถวหน้าของยุคสมัย ทำได้ด้วยการวิเคราะห์ลักษณะของยุคสมัย ซึ่งครั้งหนึ่ง เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ขณะที่สังคมโลกยังระงมไปด้วยการแก่งแย่งกันครองโลกของมหาอำนาจทุนนิยม เกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และวิกฤตใหญ่ทางเศรษฐกิจ ประชาชนผู้ใช้แรงงานประสบความเดือดร้อนแสนสาหัส ต้องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงเป็นที่สุด ลักษณะของยุคสมัยก็คือ "สงครามกับการปฏิวัติ"
แต่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง สังคมโลกถูกครอบงำด้วยสงครามเย็นระหว่างค่ายทุนนิยมตะวันตกที่มีสหรัฐฯเป็นหัวโจกกับค่ายสังคมนิยมตะวันออกที่มีสหภาพโซเวียตเป็นหัวโจก
สองค่ายนี้ต่างช่วงชิงการนำในกลุ่มประเทศดินแดนเมืองขึ้นและประเทศเกิดใหม่ทั่วโลก เกิดการต่อสู้และเผชิญหน้ากันในลักษณะ "สงครามตัวแทน" ไปทั่วในทวีปต่างๆ โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา เกิดความปั่นป่วนผันผวนทางเศรษฐกิจการเมืองในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ไปทั่ว
แต่ก็ไม่ถึงกับเกิดสงครามโดยตรงระหว่างมหาอำนาจสองค่ายนี้
ลักษณะยุคสมัยจึงผ่านพ้นความเป็น "สงครามกับการปฏิวัติ" เข้าสู่ยุค "สงครามเย็น"
ที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งก็คือ ในยุคสงครามเย็นนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ "เล็งเห็น" แนวโน้มอนาคตของสังคมโลกไปล่วงหน้าแล้ว ประกอบกับความไม่ลงรอยกันทางความคิดของพรรค จีนกับพรรคฯคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต พรรคฯ จีนจึงได้ปรับแนวคิดและแนวทางการพัฒนาสร้างสรรค์สังคมนิยมของจีน วางตัวเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่สามหรือประเทศกำลังพัฒนาดำเนินการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยไม่ติดอยู่ใน "กับดัก" ของสงครามเย็นระหว่างสองค่าย
การปรับตัวครั้งสำคัญนี้ ดำเนินมาตั้งแต่ในยุคการนำของเหมาเจ๋อตง (ต้นทศวรรษ ค.ศ. 1970) และพัฒนาเป็นแนวคิดเต็มรูปในยุคของเติ้งเสี่ยวผิง(ต้นทศวรรษ ค.ศ. 1980) ที่ชี้ชัดว่า ลักษณะของยุคสมัยคือ "สันติภาพและการพัฒนา"
ลักษณะของยุคสมัยที่ว่า ยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน