xs
xsm
sm
md
lg

มั่ว - ชุ่ย

เผยแพร่:   โดย: เกษม ศิริสัมพันธ์

ต้องยอมรับความจริงว่า คนไทยเรามีนิสัยมั่วและนิสัยชุ่ย ไทยจึงเป็นสังคมที่มีคุณลักษณะของความมั่วและความชุ่ยอยู่เกือบทุกด้านและทุกระดับ!

ได้ตรวจสอบพจนานุกรม ทั้งฉบับราชบัณฑิตยสถานและฉบับมติชน ทั้งสองฉบับให้อรรถาธิบายของคำทั้งสองนี้ไปในทำนองเดียวกัน

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายคำว่า "มั่ว" ว่า สุมกัน รวมกัน ประชุมปะปนกันจนแยกไม่ออก ส่วนฉบับมติชน อธิบายไว้ว่า หมายถึง ปนกัน ชุมนุมกันอยู่ คละระคนจนสับสน

ส่วนคำว่า "ชุ่ย" พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน บอกว่าหมายถึง หวัดๆ มักง่าย ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว ส่วนฉบับมติชน ก็อธิบายเช่นเดียวกันว่า เป็นความมักง่าย หวัด ไม่เรียบร้อย ไม่ประณีต

ในช่วงระยะประมาณเดือนหนึ่งที่ผ่านมา เมืองไทยเราได้ประสบภัยพิบัติติดต่อกันเรื่อยมา เริ่มตั้งแต่ก่อนปีใหม่ไม่กี่วันจังหวัดภาคใต้ชายฝั่งทะเลอันดามันประสบภัยคลื่นสึนามิ ต่อมาในเดือนนี้ก็เกิดกรณีไฟไหม้อาคารแถวรองเมืองใกล้วัดดวงแข ปรากฏว่าตึกพังทับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเสียชีวิต มาถึงกรณีสุดท้ายคือเรื่องรถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน มีคนบาดเจ็บ 100 กว่าคน

เรื่องเหล่านี้ล้วนมีความมั่วหรือความชุ่ย ปรากฏแทรกอยู่ทั้งนั้น

ถึงแม้กรณีสึนามิจะเป็นเรื่องของภัยพิบัติทางธรรมชาติก็ตาม แต่ก็มีทั้งความชุ่ยและความมั่วปรากฏให้เห็นเหมือนกัน!

เมื่อครั้ง คุณสมิทธ ธรรมสโรช เป็นอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้เคยบันทึกเตือนรัฐมนตรีว่าอาจเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติจากคลื่นสึนามิขึ้นได้

ต่อมาปรากฏว่าผู้ที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม สมัยที่คุณสมิทธเป็นอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกมาสารภาพว่า ไม่ได้อ่านบันทึกของคุณสมิทธเรื่องเตือนภัยจากคลื่นสึนามิครั้งนั้นโดยตลอดอย่างละเอียดถี่ถ้วน!

นี่แสดงว่าคนระดับเป็นรัฐมนตรีก็มีความชุ่ยเหมือนกัน!

คราวนี้มาถึงเรื่องความมั่วที่ปรากฏในภัยพิบัติธรรมชาติครั้งนี้กันบ้าง!

แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ พร้อมทั้งทีมงาน ได้ทุ่มเททำงานทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ ตรวจพิสูจน์ศพถึงจำนวน 2,000-3,000 ศพผู้ประสบเคราะห์กรรมครั้งนี้ที่วัดย่านยาว เขาหลัก จังหวัดพังงา

จังหวัดพังงาเป็นพื้นที่ซึ่งมีการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินหนักที่สุด แต่ไม่มีผู้ใหญ่ลงไปดูแลอย่างจริงจังเลย! มีคุณหมอพรทิพย์และทีมงานเท่านั้นที่ลงไปลุย!

ผมมีคนรู้จักชอบพอกันคนหนึ่ง เดินทางไปเกาะหลักที่พังงา ตอนก่อนวันปีใหม่ ไปเป็นเพื่อนสุภาพสตรีคนหนึ่งที่ต้องเดินทางไปตามหาศพบิดามารดาและน้องสาวที่เสียชีวิตในภัยพิบัติครั้งนี้

คนรู้จักกันคนนั้นมาเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นสภาพที่เกาะหลักมีศพอยู่เกลื่อนกลาด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ศพ มีอาสาสมัครกำลังเก็บศพเหมือนกัน ทำงานกันแบบหามรุ่งหามค่ำ แต่เขาบอกว่า ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนเป็นหลักในบริเวณนี้เลย!

แม้แต่รัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายให้ผู้ดูแลพื้นที่จังหวัดพังงา ก็ไม่เคยโผล่หน้ามาให้ประชาชนที่ประสบเคราะห์กรรมได้พบปะเลย! คงปรากฏตัวเมื่อจะแถลงข่าวบนที่ว่าการอำเภอ หรือเมื่อมีนักข่าวโทรทัศน์มาบันทึกภาพ จึงแสดงท่าเดินตรวจดูความสูญเสีย!

เขาชมคุณหมอพรทิพย์ว่า เป็นผู้ใหญ่คนเดียวที่ทุ่มเททำงานอยู่ในบริเวณนั้น ทุกฝ่ายล้วนแต่ต้องพุ่งเข้ามาหาคุณหมอพรทิพย์ทั้งนั้น ไม่ว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ หรือเป็นคนไทย รวมทั้งชาวบ้านที่มาตามหาญาติพี่น้องที่ประสบภัยพิบัติคราวนี้ ต่างต้องยึดเอาคุณหมอพรทิพย์เป็นที่พึ่งกันทั้งนั้น!

แต่คนรู้จักกันคนนั้นได้เตือนไว้ว่า คุณหมอพรทิพย์ทุ่มเททำงานเช่นนี้ จะเกิดอันตรายแก่ตัวคุณหมอพรทิพย์เอง! ผมถามว่าจะมีอันตรายอะไรอีกเล่า?

เขาบอกว่าเป็นอันตราย อันเกิดจากคติของหลวงวิจิตรวาทการที่ว่า "ทำดีแต่อย่าเด่น จะเป็นภัย!" คำพูดของผู้นั้นก็เป็นความจริงในเวลาต่อมา!

หลังจากที่คุณหมอพรทิพย์ทุ่มเทตรวจศพไปได้เกือบ 3,000 ศพแล้ว ฝ่ายตำรวจจึงปรากฏกายออกมา พร้อมกับสั่งชี้นิ้วบอกว่า คุณหมอพรทิพย์ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการตรวจศพ และการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ของคุณหมอพรทิพย์ก็ไม่ถูกต้อง! ไม่ตรงกับมาตรฐานของตำรวจสากล!

แถมยังสั่งให้ขนย้ายศพประมาณ 3,000 ศพไปเก็บรวมกันที่ศูนย์เก็บศพอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต!

การสูญเสียทางจังหวัดภูเก็ตนั้นน้อยกว่าทางพังงาหลายเท่า! แต่ให้ขนศพทางพังงาจำนวนมากไปรวมเก็บไว้ที่ศูนย์เก็บศพที่ภูเก็ต! ก็แปลกดี!

นี่เป็นอาการของความมั่ว! อันเกิดจากอารมณ์ที่เห็นใครทำดีทำเด่นกว่าตนไม่ได้นั่นเอง!

คราวนี้มาถึงภัยพิบัติอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องไฟไหม้แถวรองเมือง ขณะที่เพลิงลุกไหม้อยู่นั้น อาคารได้เกิดพังครืนลงมาทับเจ้าหน้าที่ดับเพลิงเสียชีวิต!

ต่อมาปรากฏว่าอาคารที่พังนั้น เคยมีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเพลิงลุกไหม้ขึ้น จึงพังลงมา!

คราวนี้เกิดเป็นเรื่องฮือฮากันใหญ่โตถึงเรื่องการก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารที่ผิดกฎมาย!

ปรากฏว่ามีอาคารที่ก่อสร้างเพิ่มเติมเช่นนี้อีกมากมายทั่วกรุงเทพฯ!

ปรากฏว่าผู้ว่าฯ กทม.พุ่งเป้าไปยังอาคารในบริเวณสยามสแควร์ ซึ่งใช้เป็นโรงเรียนกวดวิชา! เรื่องจึงไปเดือดร้อนถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นเจ้าของที่ศูนย์การค้าสยามสแควร์

เนื่องจากผู้ว่าฯ กทม.คนนี้เป็นประชาธิปัตย์! และตอนนี้เป็นฤดูหาเสียงเลือกตั้ง รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ มหาดไทย ซึ่งเป็นไทยรักไทย จึงต้องเคลื่อนไหวบ้างเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเปรียบกันในการหาเสียงหาความนิยม

รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ มหาดไทยจึงสั่งให้กรมโยธาธิการ ทำการสำรวจอาคารต่างๆ ในกทม.ซึ่งก่อสร้างเพิ่มเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการผิดกฎหมายบ้าง!

แต่ทั้งผู้ว่าฯ กทม.และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยไปวุ่นวายเรื่องการก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตที่นั่นที่นี่ทำไม?

ก็รู้กันอยู่ทั้งบ้านทั้งเมืองว่า การอนุญาตการก่อสร้างอาคารและเพิ่มเติมอาคารนั้น อยู่ที่ฝ่ายงานควบคุมการก่อสร้าง สำนักงานเขตต่างๆ ของ กทม.นั่นเอง!

อันที่จริงฝ่ายการก่อสร้างของสำนักงานเขตต่างๆ รู้ดีว่า มีการก่อสร้างหรือต่อเติมอาคารที่ไม่ได้รับอนุญาตที่ไหนบ้างในเขตท้องที่ของตน

แต่เพราะมีม่านมาบังตาไว้ คือได้รับผลประโยชน์อันมิชอบ ทำให้เอาหูไปนา เอาตาไปไร่เสีย! ไม่สามารถมองเห็นการก่อสร้างต่อเติมที่ไม่ได้รับอนุญาต! ใช่ไหม?

คิดดูก็แล้วกัน อาคารตรงสี่แยกบางลำพูนั้น สร้างสูงเกินแบบที่ได้รับอนุญาตตั้งหลายชั้น การก่อสร้างก็ต้องกินเวลา แต่ก็ไม่มีผู้ใดมองเห็นหรือทักท้วง ปล่อยให้ก่อสร้างจนแล้วเสร็จ!

ต่อมามีเรื่องโวยวายขึ้นจนถึงโรงถึงศาล ศาลได้พิพากษาให้รื้ออาคารที่ก่อสร้างเกินแบบออก ทางเจ้าหน้าที่ก็ยังปล่อยให้การรื้ออาคารนั้นโดยปราศจากมาตรการรักษาความปลอดภัย จนมีเหตุพังลงมาทับคนตาย!

เมื่อเกิดเรื่องตึกไฟไหม้พังครั้งนี้ ผู้บริหารกทม.ก็รู้อยู่เต็มอกว่า เป็นเรื่องในความรับผิดชอบของสำนักงานเขตต่างๆ แต่ก็ทำเฉยเสียเพื่อให้ผู้คนหลงประเด็นว่า เป็นความผิดฝ่ายเดียวของเจ้าของอาคารหรือผู้ก่อสร้างเพิ่มเติมที่ไม่ได้รับอนุญาตเหล่านั้น

อย่างนี้เรียกว่าใช้ความมั่ว เพื่ออำพรางความจริง เป็นการช่วยให้ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเสียหายเช่นนี้ขึ้นมา สามารถลอยนวลประพฤติเช่นนั้นต่อไปได้!

คราวนี้มาถึงภัยพิบัติเรื่องสุดท้าย คือรถไฟฟ้าใต้ดินชนกัน มีผู้คนบาดเจ็บเกือบ 200 คน แต่ยังดีที่ไม่มีคนตาย!

รถไฟฟ้าใต้ดินเพิ่งเปิดดำเนินการจริงๆ จัง ๆ เมื่อเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว วิ่งได้เพียงห้าเดือนก็เกิดเรื่องเสียแล้ว!

บริษัทซีเมนส์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบติดต่อระบบการเดินรถไฟฟ้าใต้ดิน ถึงกับออกปากว่า ได้ติดตั้งระบบการเดินรถไฟฟ้าใต้ดินมาหลายแห่งหลายประเทศแล้วไม่เคยมีเรื่อง แต่มาเกิดเรื่องที่เมืองไทยนี่แหละ!

เมื่อเกิดเรื่องขึ้น นายกรัฐมนตรีก็ลั่นวาจาว่าเป็นเรื่อง "ชุ่ย" ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับการขับและการควบคุมการเดินรถ

แต่เมื่อได้ติดตามโดยละเอียดถึงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุครั้งนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า เจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นมาได้ แต่บุคคลเหล่านี้ล้วนด้อยประสบการณ์ แสดงว่าการฝึกอบรมที่ได้รับก่อนหน้านั้นคงไม่เพียงพอนั่นเอง!

ดังนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านี้ จึงไม่ได้ "ชุ่ย" อย่างที่นายกรัฐมนตรีพูดง่ายๆ ออกมา!

ความ "ชุ่ย" นั้นใช่ว่าจะจำกัดอยู่แต่เฉพาะผู้คนระดับล่างเท่านั้น! ผู้ที่อยู่ในระดับสูงก็ "ชุ่ย" ได้เหมือนกัน!

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และแม้แต่ตัวนายกรัฐมนตรีเองซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลนั่นแหละเป็นคนทั้ง "มั่ว" ทั้ง "ชุ่ย!" เพราะชอบเร่งรัดขีดเส้นตายให้โครงการใหญ่ๆ ได้เสร็จเมื่อนั้นเมื่อนี้ ทั้งนี้โดยไม่คำนึงถึงความสมบูรณ์และความปลอดภัยของโครงการเลย!

มีเสียงเตือนว่า ให้ระวังเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิไว้ให้ดีเถิด! ขนาดยกคณะรัฐมนตรีไปปักเต็นท์นอนค้างประชุมกันเพื่อเร่งรัดการก่อสร้าง เมื่อรีบร้อนกันนัก เมื่อเปิดใช้แล้วถ้ามีเหตุเกิดขึ้นอีกรายเช่นเดียวกัน! คราวนี้ได้งามหน้าเมืองไทยกันละ!
กำลังโหลดความคิดเห็น