xs
xsm
sm
md
lg

มหา'ลัยไทยแย่ตรงไหน

เผยแพร่:   โดย: สุวัฒน์ ทองธนากุล

เมื่อวานนี้ใครที่เป็นอาจารย์ในวงการมหาวิทยาลัยเมืองไทย ต้องรู้สึกถูกกระทบความรู้สึก

ถ้าเปิดดูเว็บของ "ผู้จัดการออนไลน์" ที่นำข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันไปเผยแพร่ว่า เลขาธิการคณะกรรมการอุดมศึกษา กระตุ้นให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องทบทวนตัวเอง เพราะถดถอยลงมาเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

ข้อมูลนั้นอ้างการจัดอันดับ 200 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลก โดยนิตยสารไทม์ ปรากฏ 50 อันดับแรกมีมหาวิทยาลัยในเอเชียติดอันดับหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น (อันดับ 12 และ 29) จีน (อันดับ 17) สิงคโปร์ (อันดับ 18 และ 50) ฮ่องกง (อันดับ 39 และ 42)

เมื่อจัดเฉพาะ 40 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของเอเชีย รวมทั่วออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ปรากฏญี่ปุ่น (ติดอันดับ 1, 6, 15, 21, 34 และ 40)

รองลงมาคือ จีน (อันดับ 3, 18 และ 35) ตามมาด้วยสิงคโปร์ (อันดับ 4 และ 14) อินเดีย (อันดับ 11)

ฮ่องกง (อันดับ 9, 12, 23) ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซียมีมหาวิทยาลัย 2 แห่งติดอันดับครั้งนี้ (อันดับ 24 และ 29) ไต้หวันติดอันดับ 27 และเกาหลีใต้ติดอันดับ 32, 37 และ 39

ส่วนมหาวิทยาลัยของไทยไม่มีที่ใดติดอันดับการสำรวจครั้งนี้ ก็เลยถูกระบุว่า สถาบันระดับอุดมศึกษาของไทยน่าเป็นห่วงเรื่องคุณภาพ!

ท้ายข่าวบนจอออนไลน์ ก็เลยตามมาด้วยความเห็นของชาวเว็บที่ส่วนใหญ่พากันตำหนิ ซ้ำเติมไปตามกระแสข่าวนี้

หาว่าระบบการศึกษาไทยไม่ดี-นักศึกษาไม่ใฝ่ใจเรียน

หาว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่สนใจทำวิจัย ไม่ทุ่มเทให้งานสอนหนังสือเต็มที่ และมีคนไปรับงานข้างนอกเพื่อหารายได้พิเศษ

ถามว่าเราควรมองปรากฏการณ์จากข่าวนี้อย่างไร

ในแง่ความเห็นจากคนดูข่าว ก็เป็นความเห็นเฉพาะตัวอาจเหมือนรู้สึกผิดหวัง เมื่อผลการลงสนามของนักฟุตบอลทีมไทยที่สู้เขาไม่ได้

แต่ในแง่ข้อเท็จจริงกรณีคุณภาพ และประสิทธิผลทางการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยกับการจัดอันดับนั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่งซึ่งต้องมองลงไปในรายละเอียด

เพราะการจัดอันดับพิจารณาจากหลักเกณฑ์การชี้วัด ซึ่งสภาพการณ์โดยรวมของมหาวิทยาลัยแต่ละประเทศแตกต่างกัน แต่ก็ควรเป็นเป้าหมายที่น่าคำนึงถึง หากเกณฑ์นั้นเป็นหลักสากลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางวิชาการที่เป็นผลดีต่อการนำมาใช้ประโยชน์

ตัวอย่างเกณฑ์การพิจารณา เช่น การดูผลงานการวิจัยที่ต้องมีการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการในระดับสากล อาจารย์มหาวิทยาลัยของไทยก็มีผลงานการวิจัยมิใช่น้อย

หากมีคุณภาพในแง่ความน่าสนใจระดับสากล และสามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษก็สามารถเผยแพร่ตีพิมพ์ในแวดวงสากลได้

อย่างการสำรวจ และจัดอันดับของบางสถาบัน มหาวิทยาลัยของฟิลิปปินส์ยังเคยติดอันดับนำหน้ามหาวิทยาลัยของไทย ทั้งๆ ที่เรารู้สึกว่าระดับการขยายตัวของมหาวิทยาลัยไทยดูน่าจะดีกว่า

หรืออย่างกรณีเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยในมาเลเซีย 2 แห่งที่ติดอันดับ 40 อันดับดีเด่นของเอเชียก็เป็นเรื่องท้าทายที่น่าสงสัยว่า ทำไมเราไม่ติดอันดับ

โดยภาพรวมในประเทศไทยเรามีสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย มีมหาวิทยาลัยมหิดลซึ่งมีแนวทางการพัฒนาเป็นสถาบันอุดมศึกษาระดับสากล

แต่ถ้ามองภาพที่เจาะจงเฉพาะสาขาบริหารธุรกิจ นิตยสารเอเชียอิงค์ก็เคยจัดอันดับปี 2547 ให้สถาบันของไทยติดอันดับ 1 ใน 10 คือ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (อันดับ 3) สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อันดับ 5) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (อันดับ 6) และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (อันดับ 10)

ขณะที่การแข่งขันเฉพาะตัวที่ทีมนักศึกษาไทยไปแข่งระดับสากล ถ้าดูจากกรณีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการส่งนักศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ไปแข่งขันการเสนอแผนธุรกิจในเวทีนานาชาติที่เรียกว่า Moot Corp

ในระยะ 7 ปี ส่งไปทั้งหมด 15 ทีม สามารถผ่านเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ถึง 10 ทีม และที่น่าสนใจก็คือ เมื่อปี 2542 นักศึกษาระดับปริญญาโทจากธรรมศาสตร์ผ่านด่านการคัดเลือกในระดับมหาวิทยาลัยในเอเชียเป็นทีมเดียวที่ไปแข่งระดับโลกที่สหรัฐอเมริกา และได้รางวัล World Champian

ส่วนการแข่งขันปีล่าสุด 2547 ทีมนักศึกษาธรรมศาสตร์ก็ไปได้รางวัลชนะเลิศระดับ Asia Moot Corp และเป็นตัวแทนจากทวีปเอเชียไปแข่งระดับโลก Global Moot Corp ซึ่งต้องประชันกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกเกือบ 30 ทีม รวมทั้งมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกาด้วย

ผลปรากฏว่า ทีมจากมหาวิทยาลัย Cornegie Mellon ได้แชมป์โลก และทีมเจ้าภาพคือมหาวิทยาลัย Texas at Austin ได้ที่ 2 โดยทีมจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ที่ 3

ถ้าดูจากผลการแข่งขันดังกล่าว ตัวแทนจากมหาวิทยาลัยไทยก็ชนะทีมจากมหาวิทยาลัยในเอเชีย และรวมทั้งหลายแห่งในระดับสุดยอด 1 ใน 10 ของอเมริกาด้วยซ้ำไป

แล้วเราจะประเมินผลมหาวิทยาลัยของไทย หรือนักศึกษาไทยในแง่ใดมีคุณภาพระดับใด

หรือจะบอกว่า ถ้าคัดเอาระดับสุดยอดเฉพาะตัว เฉพาะแห่งเราไม่น้อยหน้า แต่คุณภาพโดยรวมเราอยู่ในระดับใดยังน่าสงสัย

อย่างไรก็ตาม น่าคิดว่าถ้าจะเร่งปรับปรุงทุกแห่งเพื่อหวังให้ติดอันดับอย่างสากล คงต้องลงทุนอีกมาก และต้องพิจารณาว่าสิ่งที่ได้นั้นสอดคล้องกับความต้องการ และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ

น่าจะถือโอกาสหลังเลือกตั้งทบทวนปฏิรูปการศึกษา กำหนดทิศทางพัฒนาระดับอุดมศึกษาทั้งระบบ ทั้งหลักสูตรการบริหาร และค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับภารกิจการพัฒนาศักยภาพผู้สำเร็จการศึกษาเพื่อให้คิดเป็น และสามารถประยุกต์ความรู้เป็นการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

ส่วนบางแห่งที่มีความพร้อม และมุ่งเป็นสถาบันที่หวังผลทางการตลาดระดับนานาชาติอย่างแท้จริง ก็ค่อยส่งเสริมเป็นการเฉพาะ
กำลังโหลดความคิดเห็น