xs
xsm
sm
md
lg

จุดยืนของขบวนการธงเขียว

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

ในยามหัวเลี้ยวหัวต่อของการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ศกนี้ ขบวนการธงเขียวซึ่งเงียบหายไปนานก็ปรากฏตัวขึ้นในยุทธจักรบู๊ลิ้มอีกแล้ว จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามอง

คือต้องจับตามองให้ดีว่าการปรากฏตัวในบู๊ลิ้มของขบวนการธงเขียวครั้งนี้เป็นการปรากฏตัวขึ้นเพื่อทำอะไร? และทำไปเพื่อใครกันแน่? เพราะจะฟังแต่ข้อกล่างอ้างอย่างผิวเผินที่ว่าเพื่อคุ้มครองประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนอย่างง่าย ๆ ก็อาจจะถูกเขาหลอกเอาง่าย ๆ

การปรากฏตัวของขบวนการธงเขียวในครั้งนี้ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศช่วยกันถ่วงดุลอย่าให้พรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียงมากเกินไป อ้างว่าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เนื่องจากหากมีคะแนนเสียงมากเกินไปก็จะใช้อำนาจมากเกินไป

พูดกันให้ชัด ๆ ก็คือขบวนการธงเขียวต้องการให้ประชาชนชาวไทยอย่าไปเลือกผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยนั่นเอง และเมื่อไม่เลือกผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยแล้วก็ต้องไปเลือกผู้สมัครของพรรคฝ่ายค้าน

เมื่อขยายภาพเช่นนี้แล้วก็จะเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าการปรากฏกายของขบวนการธงเขียวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้สมัครของพรรคฝ่ายค้านให้ได้รับเลือกตั้งมากขึ้น โดยขอให้ประชาชนอย่าไปเลือกผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย ภายใต้ข้ออ้างว่าเพื่อถ่วงดุลทางการเมือง

ภาพที่ชัดเจนเช่นนี้ไม่มีทางที่จะเห็นเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองชนิดหนึ่ง เพื่อประโยชน์ในทางการเมืองที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ชัดเจนแล้วคือช่วยเหลือผู้สมัครของพรรคฝ่ายค้าน เป็นแต่ทำทีอ้างประชาธิปไตย อ้างผลประโยชน์ของชาติและของประชาชน

เริ่มต้นก็กล่าวได้ว่าเป็นการหลอกลวงประชาชนเสียแล้ว ไม่ต่างอะไรกับการเอาผ้าเหลืองมาห่มแล้วพาสมัครพรรคพวกไปปล้นชาวบ้าน ซึ่งต้องถือว่าเป็นการกระทำที่ร้ายกว่าโจร เพราะโจรนั้นจะปล้นก็ปล้นเลย ไม่ไปทำให้ผ้าเหลืองมัวหมอง เสื่อมเสียหายต่อพระศาสนา

นี่ก็เหมือนกัน จะช่วยเหลือพรรคฝ่ายค้านก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำได้ แต่ก็น่าที่จะประกาศตัวและจุดยืนอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นสมัครพรรคพวกของฝ่ายค้าน เป็นกระบวนการทางการเมืองของฝ่ายค้าน และต้องการให้ประชาชนลงคะแนนเสียงให้กับฝ่ายค้าน

หากพูดกันชัด ๆ เช่นนี้ประชาชนก็จะเข้าใจได้ง่ายและตัดสินใจได้ง่ายว่าจะเชื่อถือหรือไม่ จะสนองตอบต่อข้อเสนอนั้นหรือไม่ แล้วทำไมจะต้องมาหลอกกันด้วย หรือคิดว่าบ้านเมืองนี้ไม่มีใครรู้เท่าทัน ซึ่งออกจะเป็นการดูถูกชาวบ้านมากเกินไป

การเคลื่อนไหวของขบวนการธงเขียวในวันนี้เป็นการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องและอยู่ในทำนองเพลงเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำการรณรงค์ “201” คือขอให้ประชาชนเลือกผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้ 201 เสียง โดยอ้างว่าจะได้ไปถ่วงดุลทางการเมืองกับรัฐบาล

พรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้ประชาชนช่วยกันเลือกผู้สมัครของพรรคให้ได้จำนวน 201 เสียง โดยมีข้ออ้างว่าเพื่อการถ่วงดุลทางการเมือง ขบวนการธงเขียวก็ปรากฏกายออกมาเรียกร้องให้มีการถ่วงดุลทางการเมือง คืออย่าเลือกผู้สมัครของพรรคไทยรักไทยมากเกินไป โดยสร้างความหวาดกลัวว่าจะทำให้มีการใช้อำนาจมากเกินไป

โดยเนื้อหาก็เป็นอย่างเดียวกันคือต้องการให้ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งมากขึ้น และเพื่อให้ผู้สมัครพรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งน้อยลง

ที่กล่าวดังนี้ไม่ได้คัดค้านว่าทำไม่ได้ เพราะเห็นด้วยว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ในระบอบประชาธิปไตย แต่ที่ต้องกล่าวถึงก็เฉพาะในเรื่องที่ว่าในเมื่อมีสิทธิ์ที่จะทำได้ตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว ทำไมจะต้องมาหลอกประชาชน อ้างตนเป็นองค์กร กลาง ๆ อ้างตนเป็นนักประชาธิปไตย ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องซึ่งคนไทยยอมรับไม่ได้

อย่ามาหลอกกัน จะสนับสนุนเป็นฝักฝ่ายพรรคไหนก็ว่าไปตรง ๆ เพราะประชาชนย่อมมีวิจารณญาณที่จะคิดพิจารณาและตัดสินใจได้ด้วยตนเอง

และเพื่อจะได้ทราบถึงภูมิหลังของขบวนการธงเขียวให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องนำความหลังมากล่าวเพื่อทวนความจำกันอีกครั้งหนึ่ง

คงจะจำกันได้ว่าในช่วงหลังเดือนพฤษภาทมิฬ มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อให้เป็นไปตามความปรารถนาของปวงชนที่ต้องการปฏิรูปทางการเมือง

เหตุที่ต้องการปฏิรูปทางการเมืองก็เพราะว่าการเมืองในยุคก่อนหน้านั้นมีพรรคการเมืองหลายสิบพรรค ล้วนเป็นพรรคเล็กพรรคน้อย มีพรรคเก่าแก่อยู่ก็แต่พรรคสองพรรคเท่านั้น การเมืองของประเทศจึงอ่อนแอไร้เสถียรภาพ เต็มไปด้วยการต่อรองและการคอร์รัปชัน เป็นเหตุให้มีการปฏิวัติรัฐประหารบ่อยครั้ง หากเป็นเช่นนั้นต่อไปประเทศไทยก็ล่มจม

จึงนำไปสู่กระแสใหญ่ในการปฏิรูปทางการเมืองและมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้น โดยนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีในสมัย รสช. ทำหน้าที่เป็นประธานในการร่างรัฐธรรมนูญนั้น และมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับขบวนการธงเขียว ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงนั้นเพื่อสนับสนุนการร่างรัฐธรรมนูญและกดดันรัฐสภาให้จำต้องยอมรับรัฐธรรมนูญนั้น

ในทันทีที่จะมีการร่างรัฐธรรมนูญโดยที่ยังไม่รู้หน้า รู้ตา ว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีหน้าค่าตาอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ออกมาสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญซึ่งยังไม่ทันร่างนั้นอย่างเต็มกำลัง ช่วงชิงความเป็นพรรคเทพ ในขณะที่พรรคการเมืองจำนวนมากถูกกล่าวหาว่าเป็นพรรคมาร รวมทั้งพรรคชาติไทยในปัจจุบันนี้ด้วยก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นพรรคมารในขณะนั้น

ในช่วงนั้นเองก็มีการก่อตั้งขบวนการธงเขียว ภายใต้ร่มเงาภาพผู้ดีรัตนโกสินทร์ โดยแกนนำคนสำคัญมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดทั้งทางธุรกิจ ข่ายงานกับอิสราเอลและอีกหลายคนมีความใกล้ชิดกับธุรกิจและข่ายงานกับหน่วยงานสืบราชการลับของมหาอำนาจบางประเทศ

ขบวนการธงเขียวถูกก่อตั้งขึ้นก็เพื่อเป็นองครักษ์ปกป้องขบวนการร่างรัฐธรรมนูญและต้องการผลักดันให้รัฐธรรมนูญนั้นผ่านการใช้บังคับตามที่มีการจัดร่างขึ้น โดยมีการล็อกสเป็กกันไว้ก่อนว่ารัฐธรรมนูญที่ร่างมานั้นรัฐสภาจะแก้ไขอะไรไม่ได้ จะต้องเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น

ภายใต้ร่มเงาภาพผู้ดีรัตนโกสินทร์และโดยการร่วมมืออย่างใกล้ชิดของนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ขบวนการธงเขียวได้เปิดการรณรงค์อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ กดดันประณามความคิดเห็นใด ๆ ก็ตามที่ท้วงติงการร่างรัฐธรรมนูญ สร้างกระแสว่ารัฐธรรมนูญที่สร้างขึ้นนั้นเลอเลิศประเสริฐศรีและมีความสมบูรณ์แบบ

นั่นก็คือกระบวนการที่กดดันรัฐสภาให้ต้องเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญอย่างเดียวเท่านั้น

ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าความร่วมมือระหว่างขบวนการธงเขียวกับพรรคประชาธิปัตย์ได้เกิดขึ้นและดำเนินไปตั้งแต่ช่วงร่างรัฐธรรมนูญแล้ว

และเมื่อร่างรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในขณะนั้นก็ปรากฏว่าสมาชิกรัฐสภาจำนวนมากมีความเห็นไปในทางเดียวกันว่าร่างรัฐธรรมนูญมีความบกพร่องและจะก่อเกิดปัญหาในทางปฏิบัติมากหลาย สมควรที่จะได้รับกลับไปแก้ไขจุดบกพร่องเหล่านั้นเสียก่อน แล้วนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาก็พร้อมที่จะเห็นชอบอยู่แล้ว

เท่านั้นแหละบรรดาผู้ที่อภิปรายท้วงติงถูกรุมกันประณาม กระทั่งกดดันนานาประการ จนในที่สุดรัฐบาลพรรคความหวังใหม่ก็ยอมจำนน และร่วมมือกับสมาชิกรัฐสภาเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ทั้ง ๆ ที่รู้กันอยู่เต็มอกว่าเต็มไปด้วยปัญหาและข้อบกพร่อง

มาถึงวันนี้ได้รู้เช่นเห็นชาติกันแล้วไม่ใช่หรือว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นหรือรัฐธรรมนูญในปัจจุบันนี้มีข้อบกพร่องและปัญหามากหลาย นี่เป็นความผิดของใครกัน? หากไม่ใช่ความผิดของขบวนการธงเขียวและพรรคการเมืองบางพรรคที่สุมหัวกันกดดันรัฐสภาอย่างมีวาระซ่อนเร้นอยู่ในใจ

สมใจของพรรคการเมืองและขบวนการธงเขียว! ดังนั้นการดำเนินการตามวาระซ่อนเร้นเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นกระบวนการ โดยเฉพาะคือการโหมกระแสวิกฤตทางเศรษฐกิจเพื่อขับไล่รัฐบาลพรรคความหวังใหม่ออกจากตำแหน่ง

รัฐธรรมนูญผ่าน รัฐบาลพรรคความหวังใหม่ก็ต้องพังทลาย นี่ไม่ใช่เป็นการร่วมมือกันกระทำการอย่างเป็นกระบวนการดอกหรือ? รัฐบาลพรรคความหวังใหม่ล้มลงแล้วใครเล่าที่ก้าวเข้ามาครองอำนาจแทน โดยสร้างประวัติศาสตร์งูเห่าอันด่างพร้อยขึ้นในระบอบประชาธิปไตยของประเทศ?

รัฐบาลนั้นเปี่ยมไปด้วยอำนาจเป็นล้นพ้น จนแม้บางห้วงเวลาที่ไม่มีฝ่ายค้านในสภาเลย ความเป็นประชาธิปไตยไม่หลงเหลืออยู่อีกเลย แต่รัฐบาลนั้นก็ยังคงยืนกรานบริหารบ้านเมืองต่อไปโดยไม่ฟังเสียงราษฎร

รัฐบาลนั้นได้กระทำย่ำยีต่อชาติบ้านเมือง ต่อประชาชน โดยเฉพาะภาคธุรกิจอย่างย่อยยับ นำพาประเทศไปสู่ความเป็นอาณานิคมแผนใหม่ของทุนต่างชาติและเอื้อประโยชน์ให้กับต่างชาติในการยึดครองประเทศไทยในทุกรูปแบบ รวมทั้งการล้างผลาญชาติด้วยนวัตกรรมบันลือโลกคือการขายทรัพย์สินของ ปรส. ที่ขาดทุนกว่า 400,000 ล้านบาท

จนประชาชนชาวไทย รวมทั้งพระสงฆ์องคเจ้าต้องพากันรณรงค์ต่อต้านและประณามรัฐบาลนั้นว่าเป็นรัฐบาลขายชาติให้ปรากฏไว้ในประวัติศาสตร์ของชาติ

แล้วขบวนการธงเขียวหายหัวไปอยู่เสียที่ไหน? เหตุใดจึงไม่มาเรียกร้องให้เกิดความสมดุลทางการเมืองเล่า?

แต่ทว่าบ้านเมืองนี้ศักดิ์สิทธิ์ ใครคิดไม่ชอบต่อแผ่นดินย่อมไม่อาจดำรงคงอยู่ได้ยาวนาน ดังนั้นผลกรรมอันประจักษ์ต่อสายตาประชาชาติไทยจึงส่งวิบากให้ปรากฏขึ้นในการเลือกตั้งปี 2544 โดยประชาชนพร้อมเพรียงกันเลือกพรรคไทยรักไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลแทน

วันเวลาผ่านไปยังไม่ทันนาน คนไทยยังไม่ลืมดอก! อย่างนี้แล้วยังจะมีหน้ามาพูดถึงประชาธิปไตย พูดถึงความสมดุลอะไรกันอีกเล่า!
กำลังโหลดความคิดเห็น