ผู้จัดการรายวัน – เพชรยูบิลลี่เผย 3 กลยุทธ์เด็ดดันยอดขายปีนี้โต 15% สวนกระแสตลาดรวมที่คาดว่าจะหดตัวลง 15% จากปัจจัยลบที่รุมกระหน่ำไทย ล่าสุดได้รับการคัดเลือกจากไซด์โฮลเดอร์ รายใหญ่จากเบลเยี่ยมให้เป็นศูนย์กลางขายเพชรในย่านเอเชีย เผยช่วงไตรมาสแรกของปีเป็นช่วงไฮซีซั่น พร้อมเตรียมรับเทศกาลจัดโปรโมชั่นพิเศษเอาใจคอเพชร
นายคงเดช โอฬารรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเพชรและเครื่องประดับเพชร ภายใต้ชื่อ “เพชรยูบิลลี่” เปิดเผยถึงการทำตลาดในปีนี้ว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปีนี้โตขึ้น 15% โดยมีกลยุทธ์หลัก 3 ประการ คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการควบคู่กันไป ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ของเพชรยูบิลลี่ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโปรดักส์ คอนเซ็ปต์ มียอดขายดีสุด คิดเป็น 60% , อี เวนต์ คอนเซ็ปต์ 20%และ เทรนด์ คอนเซ็ปต์ 20%
ประกอบกับการช่องทางการจัดจำหน่ายที่ต้องเลือกให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย จากปัจจุบันมีสาขาทั่วประเทศ 95 สาขา โดยในปีนี้มีแผนเพิ่มเคาน์เตอร์จำหน่ายอีก 2-3แห่ง รวมถึงการเน้นสื่อสารทางการตลาดและประชาสัมพันธ์มากกว่าปีที่แล้ว โดยในปีนี้บริษัทฯ ได้ทุ่มงบตลาดกว่า 15 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมทั้งอโบฟ เดอะ ไลน์ เพื่อขยายฐานลุกค้าให้กว้างขึ้น และกิจกรรมบีโลว์ เดอะ ไลน์ผ่านนิตยสาร ทั้งนี้ช่วงไตรมาสแรกของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นและมีเทศกาลมาก ทั้งวันวาเลนไทน์และตรุษจีน
ด้านนายวิโรจน์ พรประกฤต ประธานกรรมการบริหาร เพชรยูบิลลี่ เปิดเผยว่า เพชรยูบิลลี่ได้รับการคัดเลือกจากไซด์โฮลเดอร์ จากเมืองแอนท์เวิร์ป ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งมีกำลังผลิตเพชรมากสุดถึง 300,000 กะรัตต่อปี ให้เป็นศูนย์กลางการจำหน่ายเพชรกะรัต โดยมีใบรับประกันคุณภาพจากสถาบันเฮชอาร์ดี (HRD) ในย่านภูมิภาคเอเชีย ล่าสุดในเดือนมกราคมนี้บริษัทฯได้นำเพชรกะรัต ชุดมาสเตอร์พีสเซ็ทและเพชรร่วงที่ยังไม่ได้ขึ้นตัวเรือนมาแสดงและจำหน่ายที่โชว์รูมสีลม มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
“เพชรเฮชอาร์ดีเป็นตลาดใหม่ที่เราจะทำ โดยเราตั้งเป้ายอดขายเพชร 1พันเม็ดจากยอด 3 แสนกะรัต ซึ่งราคาเพชรในแต่ละเม็ดก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งราคาเฉลี่ยของเพชรกะรัตละประมาณ 240,000 บาท”
ตลาดรวมเพชรปี 2547 มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นตลาดระดับบน 2 หมื่นล้านบาท ร้านทอง 9.6 พันล้านบาทและเป็นตลาดเคาน์เตอร์เซลล์ 6 พันล้านบาท โดยเพชรยูบิลลี่มีส่วนแบ่งทางการตลาดในช่องทางเคาน์เตอร์เซลล์ คิดเป็น 10%
ในขณะที่ภาพรวมตลาดเพชรในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่หดตังลงหรือลดลงประมาณ 15% จากปัจจัยลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาพเศรษฐกิจ, จีดีพีที่อาจปรับลดลงเหลือ 5 หรือเหตุการณ์คลื่นสึนามิถล่มภาคใต้ของไทยและวิกฤตน้ำมัน เป็นต้น ในขณะที่ปัจจัยบวกในช่วงนี้ก็มีการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้
นายคงเดช โอฬารรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายเพชรและเครื่องประดับเพชร ภายใต้ชื่อ “เพชรยูบิลลี่” เปิดเผยถึงการทำตลาดในปีนี้ว่า บริษัทฯตั้งเป้ายอดขายปีนี้โตขึ้น 15% โดยมีกลยุทธ์หลัก 3 ประการ คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการควบคู่กันไป ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ของเพชรยูบิลลี่ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโปรดักส์ คอนเซ็ปต์ มียอดขายดีสุด คิดเป็น 60% , อี เวนต์ คอนเซ็ปต์ 20%และ เทรนด์ คอนเซ็ปต์ 20%
ประกอบกับการช่องทางการจัดจำหน่ายที่ต้องเลือกให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย จากปัจจุบันมีสาขาทั่วประเทศ 95 สาขา โดยในปีนี้มีแผนเพิ่มเคาน์เตอร์จำหน่ายอีก 2-3แห่ง รวมถึงการเน้นสื่อสารทางการตลาดและประชาสัมพันธ์มากกว่าปีที่แล้ว โดยในปีนี้บริษัทฯ ได้ทุ่มงบตลาดกว่า 15 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมทั้งอโบฟ เดอะ ไลน์ เพื่อขยายฐานลุกค้าให้กว้างขึ้น และกิจกรรมบีโลว์ เดอะ ไลน์ผ่านนิตยสาร ทั้งนี้ช่วงไตรมาสแรกของปีถือเป็นช่วงไฮซีซั่นและมีเทศกาลมาก ทั้งวันวาเลนไทน์และตรุษจีน
ด้านนายวิโรจน์ พรประกฤต ประธานกรรมการบริหาร เพชรยูบิลลี่ เปิดเผยว่า เพชรยูบิลลี่ได้รับการคัดเลือกจากไซด์โฮลเดอร์ จากเมืองแอนท์เวิร์ป ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งมีกำลังผลิตเพชรมากสุดถึง 300,000 กะรัตต่อปี ให้เป็นศูนย์กลางการจำหน่ายเพชรกะรัต โดยมีใบรับประกันคุณภาพจากสถาบันเฮชอาร์ดี (HRD) ในย่านภูมิภาคเอเชีย ล่าสุดในเดือนมกราคมนี้บริษัทฯได้นำเพชรกะรัต ชุดมาสเตอร์พีสเซ็ทและเพชรร่วงที่ยังไม่ได้ขึ้นตัวเรือนมาแสดงและจำหน่ายที่โชว์รูมสีลม มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
“เพชรเฮชอาร์ดีเป็นตลาดใหม่ที่เราจะทำ โดยเราตั้งเป้ายอดขายเพชร 1พันเม็ดจากยอด 3 แสนกะรัต ซึ่งราคาเพชรในแต่ละเม็ดก็จะแตกต่างกันออกไป ซึ่งราคาเฉลี่ยของเพชรกะรัตละประมาณ 240,000 บาท”
ตลาดรวมเพชรปี 2547 มีมูลค่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นตลาดระดับบน 2 หมื่นล้านบาท ร้านทอง 9.6 พันล้านบาทและเป็นตลาดเคาน์เตอร์เซลล์ 6 พันล้านบาท โดยเพชรยูบิลลี่มีส่วนแบ่งทางการตลาดในช่องทางเคาน์เตอร์เซลล์ คิดเป็น 10%
ในขณะที่ภาพรวมตลาดเพชรในปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่หดตังลงหรือลดลงประมาณ 15% จากปัจจัยลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาพเศรษฐกิจ, จีดีพีที่อาจปรับลดลงเหลือ 5 หรือเหตุการณ์คลื่นสึนามิถล่มภาคใต้ของไทยและวิกฤตน้ำมัน เป็นต้น ในขณะที่ปัจจัยบวกในช่วงนี้ก็มีการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์นี้