xs
xsm
sm
md
lg

ใครและทำไมจึงต้องก่อการร้ายในภาคใต้ (2)

เผยแพร่:   โดย: ยอดธง ทับทิวไม้

tavanron@yahoo.com

เกือบจะทุกวันที่มีข่าวที่ไม่น่าจะเป็นข่าวเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ ที่ฟังดูแล้วน่าตื่นเต้นและมหัศจรรย์ในความรู้ความสามารถ และความรับผิดชอบของบ้านเมืองของเราอย่างยิ่ง ยิ่งสำหรับคนที่ไม่รู้วิธีการขายชาติและการหลอกลวงประชาชนของผู้ปกครองบ้านเมืองในแต่ละยุคแล้วจะต้องตื่นเต้นในความเก่งกาจในการทำงานที่ต้องรับผิดชอบอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวอย่างก็คือเมื่อสองสามวันที่ผ่านมานี้ หลังจากข่าว "สึนามิ" ค่อยๆ บรรเทาลงไป หนังสือพิมพ์ที่สนใจปัญหาบ้าน เมืองก็ลงข่าวเกี่ยวกับความเก่งกล้าสามารถในการจัดการกับปัญหาก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ของเจ้าหน้าที่และผู้รับผิดชอบอย่างน่าทึ่ง

"มติชน" วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม ที่ผ่านมา พาดหัวข่าวการจับผู้ก่อการร้ายได้สองรายจากศาลากลาง จ.ปัตตานีว่าผู้ก่อการร้าย 2 คน "ฝังตัวเป็นภารโรงศาลากลาง คอยส่งข่าวแก๊งเด็ดหัวบิ๊กขรก. ซึ่งเป็นทีมฆ่าผู้พิพากษา-นศ.มอ." และให้รายละเอียดของข่าวต่อไปว่า "เพรียวพันธ์เผย 2 ผู้ต้องหาที่จับกุมได้เกี่ยวพันคดีใหญ่ในภาคใต้ รวมทั้งยิงผู้พิพากษาปัตตานี-นักศึกษา มอ.ระบุหนึ่งในนั้น เป็นภารโรงประจำศาลากลาง จังหวัดปัตตานี ล่าสุดเตรียมสังหารทหารประจำศาลากลาง แต่ถูกจับได้ก่อน" (มติชน 9 มกราคม 2548)

ต่อมาในวันรุ่งขึ้นก็มีข่าวความเก่งกล้าของผู้ปกครองบ้านเมืองอีกชิ้นหนึ่งเกี่ยว
กับผู้ก่อการร้ายที่ว่านี้ซึ่ง "มติชน" อีกเหมือนกันพาดหัวว่า "ตั้งค่าหัวสะแปอิงเพิ่ม 10 ล้าน รวบอีก 5 ป่วนใต้มีอุสตาซ 3" (มติชน 11 มกราคม 2548) ซึ่งมีรายละเอียดต่อไปว่า "สิริชัยประกาศตั้งค่าหัวหน้าบีอาร์เอ็น "สะแปอิง" 10 ล้าน มีอุสตาซด้วย 3 คน ดีเอสไอ รีบนำตัวเข้าสอบเค้นตั้งค่าหัวสะแปอิง 10 ล้าน" (มติชน 11 มกราคม 2548)

ข่าวที่น่าตื่นเต้นมหัศจรรย์ 2 ข่าวนี้ สำหรับคนที่ไม่สนใจปัญหาบ้านเมืองและปัญหาของโลก อาจจะอัศจรรย์ใจในความเก่งกล้าสามารถของข้าราชการไทยหรือผู้รับผิดชอบบ้านเมืองของไทยที่มีความห่วงใยประเทศชาติประชาชน แต่สำหรับคนที่ติดตามเหตุการณ์เหล่านี้มาแล้วทุกคนอาจจะรู้สึกสลดใจว่าเราคิดอะไร ทำอะไร มันช้าเกินไปหรือเมื่อสุกงอมจนแก้ไม่ไหวแล้ว เราก็จะมาลงมือเสียเงินเสียทอง และเสียทุกอย่าง เพื่ออวดศักดาภินิหารกัน ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าแก่และเกิดขึ้นมาแล้วในเมืองไทยและทั่วโลก

การก่อการร้ายใน 3 จังหวัดภาคใต้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่เป็นการกระทำของคนสองสามคนหรือกองโจรแบ่งแยกดินแดนพวกใดพวกหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของความขัดแย้งของมนุษยชาติหรือคนสองจำพวกที่เกิดมาอยู่ในโลกนี้ คือคนที่นับถือศาสนามุสลิมกลุ่มหนึ่งทั้งโลก และคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นคนดูถูกเหยียดหยามและปล้นสะดมคนมุสลิมที่คนมุสลิมเรียกว่า คนนอกศาสนาหรือ Infidel ซึ่งได้ประกาศออกมาอย่างเปิดเผยและชัดเจนว่าคนนอกศาสนาพวกนี้โดยเฉพาะคือ คนผิวขาวหรือคนอเมริกัน และคนที่เป็นสมุนบริวารหรือเป็นสุนัขรับใช้อเมริกันตามภาษาที่คุณเหมาเจ๋อตุงนำมาใช้ ซึ่งถือกันว่าเป็นคำเรียกที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด บรรดาสุนัขรับใช้พวกนี้คือพวกที่ขายชาติขายตัวให้แก่อเมริกันถือว่าอเมริกันหรือคนผิวขาวเป็นเจ้าชีวิต ในประเทศบ้านเมืองต่างๆ ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่ประจบสอพลอพวกนอกศาสนา และทำทุกอย่างตามความพอใจของอเมริกันแล้ว ยังมีหน้าที่ขายชาติขายแผ่นดินและขายอิสรเสรีภาพให้แก่อเมริกาเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่ตนเอง และพรรคพวกขายชาติด้วยกันที่จะได้รับกันอย่างทั่วถึง

ความขัดแย้งระหว่างคนสองจำพวกนี้ คนมุสลิมที่นำกลุ่มดำเนินงานให้โลกรู้จักกันครั้งแรกคือ บิน ลาดิน ซีไอเอเก่าจากซาอุดีอาระเบียที่ประกาศออกมาให้คนมุสลิมทุกคนจงร่วมมือร่วมใจกันทำลายล้างพวกนอกศาสนาทั้งหมด เฉพาะอเมริกันไม่ว่ามันจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ว่าจะมีอาวุธหรือไม่มีอาวุธ ต้องฆ่ามันอย่างเดียว!!

และบิน ลาดินก็ได้จัดการกระทำให้เห็นเป็นตัวอย่างไปเรียบร้อยในการระเบิดตึกเวิลด์เทรด เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ที่ผ่านมาเป็นผลสำเร็จ

ผู้ที่สนใจขบวนการทำลายล้างของ บิน ลาดินนี้จะอ่านรายละเอียดได้จาก Holy War INC,-Inside The Secret World Of Osma Bin Laden By Peter L. Bergen : The Free Press New York จะหมดความสงสัย ปัญหาของการก่อการร้ายและคนก่อการร้ายทั้งหมด ไม่ว่าจะใน 3 จังหวัดภาคใต้หรือที่ไหน ถ้ามีการขายชาติหรือมีการเป็นสุนัขรับใช้อเมริกันที่ไหน การก่อการร้ายของคนมุสลิมจะเกิดขึ้นที่นั่น และจะเกิดติดต่อกันอย่างยาวนานอย่างไม่มีวันจบสิ้น

ในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งเป็นดินแดนแห่งทรัพยากรอันมหาศาล และยุทธศาสตร์ที่จะสะสมความร่ำรวยให้อเมริกัน ได้ถูกอเมริกาพยายามคิดพยายามทำมาเป็นร้อยๆ ปีมาแล้ว ที่จะฮุบเอาไปเป็นเมืองขึ้นหรือเป็นสุนัขรับใช้ประเภทที่ดีที่สุดให้ได้ แต่อเมริกาก็มีอุปสรรคและปัญหาขัดขวางเรื่อยมา การปล้นและการรุกรานทำมาได้แค่ฟิลิปปินส์เท่านั้น แต่ก็ไม่ถึงกับหวานคอแร้งตามที่หวังจนต้องเปลี่ยนวิธีการใหม่นานาประการมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงและใช้เล่ห์เพทุบายอย่างไรก็ตาม บังเอิญอเมริกามีเคราะห์กรรมที่จะต้องคว้าน้ำเหลวหลังจากถูกเหยียบออกมาจากเวียดนามและอินโดจีนอย่างย่อยยับมาแล้ว การจะยึดเอาฟิลิปปินส์เป็นหัวหอกสำหรับรุกต่อไปไม่ได้ เพราะที่นั่นเกิดมีคนมุสลิมส่วนหนึ่งเป็นเจ้าของประเทศอยู่เช่นเดียวกับอินโดนีเซียซึ่งเกือบทั้งชาติเป็นชาวมุสลิมที่จะต้องมีหน้าที่เชื่อตามความเห็นของคนมุสลิมที่เชื่อว่าอเมริกาคือพวกนอกศาสนาเป็นเจ้าของประเทศนี้

ในฟิลิปปินส์คนมุสลิมพวกหนึ่งได้รวมตัวกันขึ้นมา เพื่อปลดปล่อยตัวเองจากการเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกา โดยการรวมตัวมุสลิมในฟิลิปปินส์ทั้งหมดขึ้นมาเป็นองค์กรเช่นเดียวกับองค์กรเพื่อฆ่า อเมริกันทั่วโลก องค์กรนี้ชื่อว่า "โมโร อิสลามิก ลิเบอเรชัน ฟรอนต์" ( Moro Islamic Liberation Front) เป็นองค์กรชาวมุสลิมซึ่งมีนิวาสสถานอยู่ในบางสะโมโร ในเกาะมินดาเนาและใกล้เคียงกัน เป็นองค์กรที่มีชื่ออยู่ในภาษาฝรั่งว่า MILF ซึ่งได้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2530 โดยได้รับการสนับสนุนจากชาวเกาะมินดาเนาดั้งเดิม แต่ก็เป็นขบวนการที่มีความเห็นและจุดมุ่งหมายต่างออกไปจากขบวนการโมโร อิสลามิก ลิเบอเรชัน ดั้งเดิม ตรงที่ต้องการมุสลิมที่จัดตั้งขึ้นมาจากการสนับสนุนของชาวเกาะมินดาเนานี้ ต้องการร่วมมือกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ และมีส่วนร่วมในการปกครองกับรัฐบาลกลางของฟิลิปปินส์ แต่ขบวนการโมโรเดิมไม่เห็นด้วย และปฏิเสธที่จะร่วมมือและพร้อมที่จะปลดปล่อยคนมุสลิมออกจากการเหยียดหยามย่ำยีของอเมริกา ขบวนการโมโรที่ว่านี้จึงได้ตั้งป้อมสู้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์อย่างหนักหน่วงเรื่อยมาเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว โดยขบวนการโมโรกลุ่มนี้มีผู้ยอมตายเพื่อเกียรติของคนมุสลิม 2,900 คน เป็นสมาชิก

ว่ากันว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวมุสลิมเริ่มตื่นตัวขึ้นมากเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นอยู่ที่พยายามแสวงหา และเปลี่ยนแนวทางให้เหมาะสมกับยุคสมัย

คนมุสลิมในสมัยนั้นเป็นคนประเภทที่ยึดถืออย่างเหนียวแน่นต่อขนบประเพณีความเป็นเอกภาพหรือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา ครูสอนศาสนาหรืออุสตาซชาวมุสลิมได้เดินทางไปยังประเทศมุสลิมต่างๆ มากขึ้นและชาวมุสลิมฟิลิปปินส์ได้เดินทางออกไปต่างประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะไปในงานพิธีฮัจญ์หรือการไปศึกษาเล่าเรียนในประเทศมุสลิมที่ก้าวหน้ากันมากกว่าที่เคยเป็นมาก่อน คนมุสลิมเหล่านั้นได้เปลี่ยนความคิดเห็นจากความเก่าแก่ล้าหลังมาเป็นคนทันสมัย เป็นประชาชนที่ตื่นตัวขึ้นมาพร้อมทุกด้านและ สร้างชีวิตจิตใจและวิญญาณของเขาให้เป็นส่วนหนึ่งของมุสลิมที่ก้าวหน้า เฉพาะอย่างยิ่งการสร้างสังคมมุสลิมของตนเองให้เป็นมุสลิมระหว่างชาติ สิ่งที่มันเกิดขึ้นใหม่ในชมรมคนมุสลิมเหล่านั้นในระยะต่อมาก็คือ สุเหร่าใหม่ๆ ที่มีการสร้างขึ้นอย่างทันสมัย และโรงเรียนปอเนาะที่ทันสมัยที่จะต้องเรียน ต้องรู้จักคัมภีร์อัลกุรอานที่เป็นภาษาอารบิก มีสถาบันการศึกษาของชาวอิสลามระดับสูงมากขึ้น

การแบ่งชั้นชาวมุสลิมตามความเหมาะสมได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นกฎเป็นเกณฑ์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 พวกอิสลามรุ่นใหม่ไม่ค่อยจะพอใจมุสลิมรุ่นเก่าหรือโบราณ เช่น ดาโต๊ะ และสุลต่านกลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการสำหรับสังคมมุสลิมรุ่นนี้

ไม่เพียงแต่ความคิดอ่านทางด้านศาสนาเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงของมุสลิมรุ่นใหม่เหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทุกเรื่องทุกด้านตั้งแต่เรื่องการเมือง การทหาร และการทำสงครามจรยุทธ์เรื่อยไป

นั่นเป็นสาเหตุให้ฟิลิปปินส์เป็นฐานสำคัญฐานหนึ่งสำหรับการต่อสู้ปลดแอกจากการดูถูกเหยียบย่ำของอเมริกัน และคนผิวขาวที่มีปัญหามาจนถึงทุกวันนี้

พฤติกรรมของขบวนการโมโรของมุสลิมฟิลิปปินส์ที่มีการศึกษา การรวมตัว การติดต่อกับต่างประเทศ และการสู้รบกับชนชั้นปกครองของฟิลิปปินส์มาเป็นเวลา 20 กว่าปีนั้น จึงไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นเรื่องที่เป็นตัวอย่างอันดีอย่างยิ่งสำหรับปัญหาการก่อการร้ายในภาคใต้ที่ได้สำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใน 3 จังหวัดนี้เป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ ทุกอย่างเป็นการกระทำแบบเดียวกันทั้งสิ้น

ความจริงนั้น ในสมัยที่ขบวนการโมโรหรือขบวนการเจไอ อิสลามิยาในอินโดนีเซีย ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นนั้น คนมุสลิมในภาคใต้ของเรานั้นก็เป็นคนไทย ที่ไม่ได้ถูกแบ่งแยกออกไปเป็นพุทธหรือมุสลิม ทุกคนอยู่ร่วมกันและรักบ้านเกิดเมืองนอนเหมือนกัน และถือว่าเป็นคนไทยด้วยกันทั้งนั้น และในสมัยนั้นคนมุสลิมส่วนมากหรือเกือบทั้งหมดยังไม่มีใครยอมพูดภาษาไทย ยังพูดภาษาไทยกันไม่ได้เลย แต่ทุกคนก็อยู่อย่างคนไทยและคิดอย่างคนไทย

เฉพาะในหลายๆ จังหวัด ไม่มีความแตกต่างอะไรในการนับถือศาสนาหรือคิดว่าต่างคนต่างศาสนาและไม่ง้อคนไทย

ผมเคยไปเที่ยวจังหวัดพัทลุง และนราธิวาส ผมเห็นคนมุสลิมไปช่วยพระซ่อมแซมวัดและเช่นเดียวกันในงานของมัสยิด พระก็อาจจะเอาของไปช่วยและเยี่ยมเยียนโดยไม่คำนึงถึงความเป็นพุทธและมุสลิมนอกจากความเป็นคนไทยด้วยกัน

ไม่มีอะไรจะสร้างความแตกต่างหรือการแบ่งแยกดินแดนที่นักการเมืองชั่วรุ่นต่างๆ ของเราพยายามสร้างเรื่องขึ้นมาจนกระทั่งบัดนี้ แต่ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เราก็ได้ทอดทิ้งคนมุสลิมพวกนี้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีรัฐบาลไหนที่มาคิดสนับสนุนให้การศึกษาของพวกเขาพอที่จะนำไปทำมาหากินได้ คนที่พอมีโอกาสได้เรียนหนังสือก็ไปเรียนที่ปอเนาะซึ่งไม่สามารถจะช่วยให้มีสิทธิไปทำมาหากินอะไรได้ทุกคนจะมะงุมมะงาหราพึ่งตัวเองในการที่มีชีวิตอยู่กับความยากจน ซึ่งคนเหล่านี้ความจริงเป็นทรัพยากรอันมหาศาลของแผ่นดิน แต่เขาถูกปล่อยให้เดินเกะกะอยู่เหมือนวัวควายที่ไม่มีเจ้าของ คนไทยพวกนี้จึงกระเซอะกระเซิงออกไปทำมาหากินที่ไหนก็ได้ที่มันจะได้เงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง

ในตอนกลางคืนที่โรงแรมบางนรา จังหวัดนราธิวาสจะมีผู้หญิงสาวชาวมุสลิมที่เรียกกันว่า "อีแมะ" ไปหลบมุมมืดๆ เพื่อรับจ้างบำบัดความใคร่ให้แก่เด็กหนุ่มจากอีสานที่ไปรับจ้างตัดยางแถบนั้นแข่งกับอีตัวไทยที่เป็นเรื่องธรรมดาไป อาชีพอื่นอะไรดีกว่านั้นจะไม่มี เพราะฉะนั้นซีไอเอและปากีสถานประกาศรับสมัครนักรบอิสลามเพื่อขับไล่รัสเซียออกจากอัฟกานิสถาน มุสลิมไทยจำนวนมากที่ต้องการชีวิตใหม่ก็แห่กันไปที่นั่น และได้รับการฝึกฝนวิชาทหารจากซีไอเอมาอย่างดี และเมื่อซีไอเอในไทยต้องการให้เกิดขบวนการโมโรไทยขึ้น พวกนี้ลงมือจับอาวุธกันขึ้นแล้ว และแน่นอนที่สุด การที่จะไม่มีความสัมพันธ์ติดต่อกับมุสลิมทั่วโลกซึ่งกำลังปีกกล้าขาแข็งขึ้นมาอย่างพร้อมที่จะสู้ทุกอย่างแม้กระทั่งยอมตายนั้น อย่าไปคิดว่าไม่มี

และอย่าไปคิดว่าการไปจับครูสอนศาสนาเพียง 9 คน 10 คน และให้รางวัลนำจับ 10 ล้านบาท 100 ล้านบาทนั้น จะมาช่วยแก้ไขอะไรได้สำเร็จ เพราะขบวนการมุสลิมเหล่านี้ได้เคยพบปะ และร่วมงานกันมาแล้วภายใต้การอำนวยการของซีไอเอในการขับไล่รัสเซียออกจากอัฟกานิสถานก่อนที่อเมริกาจะเข้ายึดครองหลังจากขับไล่รัฐบาลตอลิบานของตนออกจากตำแหน่ง และเข้าไปครอบครองแทนแล้ว ปัญหาเรื่องการต่อสู้เพื่อฆ่าอเมริกาและสมุนบริวารนั้น สำหรับมุสลิมรุ่นนี้จะไม่มีวันยุติ แต่จะกระจายไปทั่วโลกเฉพาะในประเทศบ้านเมืองที่เป็น พันธมิตรนอกนาโต้ของอเมริกา และเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกา

ตอนนี้ แม้ว่าอเมริกาและไทยจะร่วมมือกันคอยรับมือ และล่าสังหารผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ทั่วทั้งเอเชีย ถึงจะต้องมายึดสนามบินอู่ตะเภาเป็นศูนย์บัญชาการ และขนทหารอเมริกันเข้ามาฝึกร่วมในนาม "คอบร้าโกลด์" มาฝึกคอยรับมืออยู่ทุกปีนั้นก็เถอะ ผู้ที่จะแหลกมันไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายอย่างที่โกหกกันอยู่ แต่มันจะเป็นคนไทยพวกเรานี่แหละที่จะรับกรรม
กำลังโหลดความคิดเห็น