xs
xsm
sm
md
lg

วันวานที่ผ่านไป

เผยแพร่:   โดย: เกษม ศิริสัมพันธ์

วันเวลาดูจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว รู้สึกคล้ายกับว่าเผลอไปเดี๋ยวหนึ่ง ก็ถึงวันสิ้นปีเก่าอีกแล้ว!

รู้สึกว่ายิ่งอายุมากขึ้น วันเวลายิ่งผ่านไปเร็วขึ้น!

มีความประหลาดอีกอย่างหนึ่ง คือเมื่อมองย้อนหลัง ก็ทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมานานแล้วนั้น ดูเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นในชีวิตเมื่อไม่นานมานี้เอง!

เมื่อสองสามสัปดาห์ที่แล้ว ได้ค้นเอาสมุดภาพถ่ายในอดีตมาเปิดดู เห็นภาพตัวเองเมื่อนานมาแล้ว แต่ในความทรงจำยังแจ่มชัด เหมือนเหตุการณ์เหล่านั้นเพิ่งเกิดขึ้น!

อย่างภาพที่ถ่ายกับเพื่อนฝูงที่เมื่อกำลังเรียนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ซึ่งเวลาผ่านไปกว่า 45 ปีมาแล้ว เรียกว่าใกล้ถึงครึ่งศตวรรษอยู่แล้ว!

แต่รูปถ่ายเหล่านั้นก็กระตุ้นให้เกิดความทรงจำต่างๆ ในชีวิตตอนนั้นได้อย่างสดชื่นและชัดเจน!

ในขณะเดียวกันบางภาพก็ทำให้เกิดความเศร้าใจได้เหมือนกัน! เพราะหลายคนในภาพเหล่านั้น บางคนเป็นผู้ใกล้ชิด บางคนก็เป็นมิตรสหาย แต่บัดนี้เขาเหล่านั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว!

ในสมุดภาพอีกเล่มหนึ่ง เป็นภาพชุดเดินทางไปกับคณะของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมช ซึ่งตอนนั้นท่านเป็นนายกรัฐมนตรี ไปเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อ พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นเวลาร่วม 30 ปีมาแล้ว

เห็นภาพเก่าๆ เหล่านั้นแล้ว ก็ทำให้สามารถรื้อฟื้นความทรงจำในชีวิตตอนนั้นได้ชัดเจน!

ครั้งหนึ่งในชีวิตในอดีต ได้เคยสัมผัสมือกับ นายพลจูเต๋อ ขุนพลผู้ยิ่งใหญ่ของกองทัพแดง ซึ่งตอนนั้นอายุ 90 กว่าปีแล้ว และดำรงตำแหน่งเป็นประมุขของสาธารณรัฐประชาชนจีน

ได้เห็นภาพถ่ายร่วมกับท่านโจวเอินไหล ซึ่งตอนนั้นท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของจีนนั้น กำลังร่วมกันยกแก้วแชมเปญดื่มในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีของจีน-ไทยลงนามในแถลงการณ์ร่วมเปิดความสัมพันธ์ทางการทูต

จำได้ว่า ท่านโจวเอินไหลได้ออกปากขอโทษว่า ในแก้วของท่านไม่ใช่แชมเปญ แต่เป็นน้ำชา เพราะท่านกำลังป่วย ดื่มสุราไม่ได้ทุกชนิด

หน้าตาของท่านโจวเอินไหลในภาพนั้น ชัดเจนว่าเป็นคนป่วย ท่านป่วยเป็นมะเร็ง เมื่อเราเดินทางกลับมาได้ไม่นาน ท่านก็ถึงแก่อสัญกรรม

ยังมีสมุดภาพอีกเล่มหนึ่ง เป็นภาพตอนหาเสียงเลือกตั้งเป็น ส.ส.!

เห็นแล้วก็เกิดอารมณ์คึกคัก ว่าครั้งหนึ่งก็เคยเดินหาเสียง แถมยังเคยปราศรัยหาเสียงบนหลังคารถมาแล้วด้วย!

เคยเป็นผู้แทนเขตสัมพันธวงศ์อยู่ 3 สมัย เป็นเวลานานประมาณถึง 9 ปี เคยเดินทักทายผู้คนแถวสำเพ็ง-เยาวราช จนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว

เมื่อไม่นานมานี้ ไปรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนฝูง ที่ภัตตาคารจีนในโรงแรมใหญ่ตรงสี่แยกราชวงศ์ มีคนจำได้ว่าเคยเป็นผู้แทนเก่า เขาซักถามว่า เลือกตั้งคราวนี้จะสมัครอีกหรือเปล่า

ต้องบอกเขาว่าเลิกการเมืองมานานกว่า 10 ปีแล้ว ตอนนี้คงไม่สมัครอีกแล้ว เพราะนอกจากอายุจะมากเกินไปแล้ว การเมืองยุคนี้ได้เข้มข้นดุเดือดจนเกินความสามารถของตัวเองไปเสียแล้วกระมัง!

สมุดภาพถ่ายในอดีตเหล่านี้ ทำให้เห็นว่าอดีตของชีวิตทอดไปได้ยืนยาวทีเดียว!

แต่เมื่อได้คิดอย่างนั้นแล้ว ก็ต้องหวนมาคำนึงว่า อนาคตของตนเองนั้น คงไม่ยาวไกลไปได้!

ทำให้รำลึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ จำได้ว่านั่งในรถไปต่างจังหวัดด้วยกัน เป็นเวลาเย็น โพล้เพล้แล้ว พระอาทิตย์กำลังตกดิน ส่องแสงอ่อนลงทุกที

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ชี้ให้ดูท้องฟ้าที่ใกล้ค่ำ พร้อมกับบอกว่า "ชีวิตผมตอนนี้ก็เหมือนกับใกล้จะมืดแล้ว พระอาทิตย์กำลังตกดินแล้ว!"

ผมฟังท่านพูดแล้วก็เกิดอารมณ์เศร้าขึ้นมาทันที!

ท่านคงสังเกตเห็นสีหน้าผมสลด ท่านพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ "ผมยังไม่ทันเจ็บทันตาย! อย่ามาตีหน้าเศร้าใส่ผมนะ!" ท่านพูด "คนเรามันต้องแก่ต้องตายกันทั้งนั้นแหละ! จะให้ผมอยู่ค้ำฟ้าไม่ได้หรอก!"

ตอนนั้นท่านอายุ 70 กว่า ผมเองตอนนั้นคงประมาณ 50 กว่า

แต่ตอนนี้ตัวเองอายุ 72 แล้ว พอสังเกตเห็นเวลาโพล้เพล้ทีใด ก็คิดถึงเรื่องที่อาจารย์คึกฤทธิ์พูดครั้งนั้นได้เสมอทีเดียว!

มีพุทธวัจนะบทหนึ่งความว่า :

"ทหรา จ มหนฺตา จ เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา
สพฺเพ มจฺจุ วสํ ยนฺติ สพฺเพ มจจุ ปรายนา"

แปลความว่า :

"ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตายทั้งหมดไม่มีเหลือ ล้วนมีความตายอยู่เบื้องหน้า"

เมื่อต้นเดือนนี้ ผมไปเดินดูหนังสือที่ศูนย์หนังสือจุฬาฯ สยามสแควร์ ได้หนังสือมาเล่มหนึ่ง ชื่อ "ประตูสู่สภาวะใหม่" ซึ่งพระไพศาล วิสาโล แปลจาก หนังสือเรื่อง "The Tibetan Book of Living and Dying" ซึ่งโซเกียล รินโปเช (Sogyal Rinpoche) เป็นผู้เขียน

ผมมีหนังสือเล่มนี้ฉบับภาษาอังกฤษแล้ว แต่ที่ซื้อฉบับภาษาไทยอีก ก็เพราะผมชอบอ่านหนังสือที่เขียนโดย พระไพศาล วิสาโล แต่การแปลหนังสือเล่มนี้ ผู้แปลท่านแปลแต่ตอนที่สอง เรื่องกำลังตาย ตอนที่สาม เป็นเรื่องความตายและการกลับชาติมาเกิดหรือ Rebirth และตอนที่สี่ เป็นบทสรุปเท่านั้น

ท่านผู้แปล ยังไม่ได้แปลตอนแรก ซึ่งเป็นตอนหลักการดำรงชีวิต ท่านให้เหตุผลว่าตอนนั้น ก็เป็นเรื่องธรรมะในพระพุทธศาสนา ซึ่งคนไทยคุ้นเคยกันอยู่แล้ว

โซเกียล รินโปเช ผู้แต่งหนังสือนี้ เป็นอาจารย์มีชื่อเสียง สอนพุทธศาสนาสายทิเบต มีสำนักอยู่ในสหรัฐฯ และเคยสอนพุทธศาสนานิกายทิเบตในยุโรปมาแล้วด้วย หนังสือเล่มนี้ (ฉบับภาษาอังกฤษ) ถือว่าเป็นหนังสือมาตรฐานของพุทธศาสนาฝ่ายทิเบต เฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดฝ่ายทิเบตในเรื่องความตายและชีวิตหลังความตาย

เมื่อประมาณสองปีมาแล้ว โซเกียล รินโปเช เคยเดินทางมาเมืองไทย ได้ไปปาฐกถาที่สยามสมาคม

ผมมีความประทับใจในการปฏิบัติกับผู้ใกล้ตาย ซึ่งเต็มไปด้วยความระมัดระวังและความเมตตากรุณา แต่ต้องสารภาพว่ายังไม่ปักใจเชื่อในแนวคิดเรื่องความตายและสภาวะหลังความตาย เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกลับชาติมาเกิด

ตัวอย่างที่มักนำมากล่าว คงเป็นเรื่องของบุคคลที่อยู่ในสถานะที่สูงและสำคัญของทิเบต เช่น ดาไล ลามะ หรือเป็นพระเถระผู้ใหญ่ฝ่ายนิกายทิเบต ที่เรียกว่า รินโปเชน ซึ่งมีการติดตามจนพบทารกหรือเด็กที่บุคคลเหล่านั้นได้กลับชาติมาเกิด

แต่ไม่ค่อยปรากฏหลักฐานเรื่องการกลับชาติมาเกิดสำหรับชาวบ้านธรรมดาในทิเบตเลย! หรือว่าการกลับชาติมาเกิดจำกัดอยู่เพียงผู้บรรลุสถานะสูงทางธรรมะของนิกายทิเบตเท่านั้น ถ้าเช่นนั้นชาวบ้านสามัญในทิเบต ตายแล้วไปไหน?

นอกจากนี้ ผมยังมีข้อสงสัยว่า การกลับชาติมาเกิดนั้น เป็นมนุษย์ก็ต้องกลับชาติมาเป็นมนุษย์ เป็นผู้ชายก็กลับชาติมาเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงก็เป็นผู้หญิงอย่างนั้นหรือ? สลับกันบ้างไม่ได้หรือ? หรือสลับกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์บ้างไม่ได้หรือ? เช่นชาตินี้เป็นคน พอตายแล้วกลับชาติมาเกิดเป็นลิง เป็นแมว เป็นสุนัขบ้างไม่ได้เทียวหรือ?

ผมมีเรื่องมาเล่าอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาวะหลังการตาย

วันหนึ่งผมตามท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไปรับประทานอาหารกลางวันที่วังสวนผักกาด ท่านเจ้าของวังในสมัยนั้น คือ ม.ร.ว.พันธ์ทิพย์ บริพัตร ซึ่งรู้จักกันในนามว่า "คุณท่าน"

ระหว่างนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ คุณท่านเอ่ยถามผมขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยว่า "คุณเกษม! เชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่หรือเปล่า?"

ได้หยุดคิดสักครู่แล้วตอบไปว่า "เรื่องนี้กระผมไม่รู้และกระผมไม่คิดเสียด้วยสิครับ!"

"ทำไมจึงตอบอย่างนั้น?" คุณท่านซักต่อ

"เพราะเรื่องเช่นนี้ คิดเท่าใดก็ไม่มีทางพิสูจน์ความจริงกันได้! กระผมจึงตอบว่าไม่รู้และไม่คิด!" ผมตอบท่าน

"ฉันคิดไปอีกทางหนึ่ง" คุณท่านบอกบ้าง "ฉันคิดว่าตายแล้วก็สูญหมด ดับหมด ไม่มีอะไรสืบต่อหลังตายแล้ว!"

"กระผมก็ไม่ได้คิดไปถึงเท่านั้นนะครับ! เพียงแต่เรียนว่าไม่รู้และไม่คิด ปล่อยให้เป็นเรื่องที่ถึงเวลาก็คงได้ประสบพบเห็นเอง! หรืออาจเป็นอย่างที่คุณท่านว่าก็ได้ คือดับหมดสูญหมด! ไม่มีทางรู้อะไรได้เลย ก็เป็นได้เหมือนกัน!" ผมอธิบายขยายความ

ถึงตอนนี้อาจารย์คึกฤทธิ์เข้ามาขัดจังหวะบ้าง "อาจารย์เกษมพูดอย่างนี้ แสดงว่าไม่เชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า เรื่องสวรรค์ เรื่องนรก และเรื่องความคิดแบบไทยๆ ทั่วไป ที่ถือว่า การทำบุญในชาตินี้ เป็นการสะสมบุญ เหมือนฝากออมสินไว้ สามารถไปเบิกใช้ได้ในชาติหน้า"

ผมไม่ตอบข้อข้องใจของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์โดยตรง แต่เลี่ยงตอบไปว่า "กระผมเชื่อในหลักทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ผลบุญและผลกรรมก็เห็นกันอยู่ในชาตินี้อยู่แล้ว! ส่วนชาติหน้าจะมีจริงหรือไม่กระผมก็ไม่รู้! ส่วนถ้ามีจริงจะมีผลอย่างไร ถึงเวลาก็คงเห็นเองนะครับ!"

จนทุกวันนี้ ผมยังสงสัยว่าทำไมคุณท่านไม่ถามท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เรื่องนี้บ้าง? ผมจึงเลยยังไม่รู้ว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์คิดอย่างไรในเรื่องนี้! ผมจะถามเองก็เป็นผู้น้อยไม่กล้าถาม

บทความครั้งนี้ เป็นหลายเรื่องหลายรส เพราะเห็นว่าเป็นบทความสุดท้ายของรอบปี พุทธศักราช 2547

ขอถือโอกาสนี้ส่งความสุขปีใหม่ พุทธศักราช 2548 สำหรับท่านผู้อ่านทุกท่านด้วย!
กำลังโหลดความคิดเห็น